ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาวะในปัจจุบันมีคนไทยอยู่ในภาวะจิตตกมากมาย และเป็นปัญหาที่กระทบสุขภาพต่อเนื่องเป็นลูกโซ่และคุณภาพประสิทธิภาพในการทำงานด้อยลง จนต้องมีการใช้ยามากมายมหาศาล ซึ่งยาหลายชนิดอาจทำให้มีปฏิกิริยาเสริมเพิ่มกันและกัน และกลับทำให้มีผลแทรกซ้อน หรือผลข้างเคียงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ความวิตกกังวลโดยเนื้อแท้เป็นกลไกตามธรรมชาติ ที่ทำให้คนเราต้องมีความรอบคอบในการทำงาน ทำกิจกรรมให้ไม่ผิดพลาด และผลงานออกมาสมบูรณ์
แต่ถ้ามีมากเกินไปจนเพี้ยนจะกลับกลายเป็นได้ผลลบในทางตรงข้าม และจนถึงขนาดที่ทำงานไม่ได้ จนต้องออกจากงาน และความวิตกกังวลมีได้หลายรูปแบบ โดยที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองเมื่อมีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์บางอย่างเข้ามากระทบ
โดยปกติผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวลจะเป็นคนที่มีบุคลิกบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง เช่น อายผู้อายคน รู้สึกไม่สะดวกใจจนกระทั่งถึงต้องหลีกหนีเมื่อพบคน หรือต้องเจอะเจอสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและยิ่งประกอบกับเคยมีภาวะเครียด หรือมีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจในวัยเด็กหรือแม้แต่วัยโตก็ตาม และถ้ามีคนในครอบครัวที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่ รวมกระทั่งโรคทางกายที่ผิดปกติซึ่งรวมถึงโรคของต่อมไทรอยด์และโรคหัวใจเต้นผิดปกติ
...
ภาวะความผิดปกติ วิตกกังวล ออกมาได้ในหลายรูปแบบ ได้แก่ โรควิตกกังวลโดยทั่วไป กังวลกับเรื่องทั้งหลายทั้งปวง เรื่องสุขภาพตนเอง เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน ลื่นไหลไปแทบทุกเรื่อง จนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ และนอนไม่ได้หรือนอนไม่ดี
ภาวะแพนิค (Panic) ความรู้สึกกลัวกะทันหัน คาดการณ์ไม่ได้เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ชอบเข้ามากระทบ เกิดเหงื่อแตก ใจสั่น เจ็บหน้าอก รู้สึกเหมือนมีก้อนจุกคอ จนกระทั่งต้องไปห้องฉุกเฉิน กลัวหัวใจวาย
ภาวะตื่นกลัว โฟเบีย (phobia) มักเป็นกับบางสิ่งบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง เช่น กลัวงู จิ้งจก แมลงสาบ กลัวเลือด กลัวความสูง กลัวถูกฉีดยา และพวกเราเห็นอยู่บ่อยพอสมควร เวลาคนไข้มาเจาะเลือด หรือกลัวเวลามีปฏิสัมพันธ์ในสังคม จะกังวลว่าจะมีคนมานินทา หรือกลัวว่าตัวเองจะทำขายหน้าเป็นที่ตลกขบขันเลยไม่ยอมเข้าสังคม ภาวะกลัวยังมีไปจนกระทั่งถึงกลัวที่แคบ ที่โล่ง อยู่ในกลุ่มคนหนาแน่น หรือแออัด รวมทั้งในรถโดยสารสาธารณะ และที่รุนแรงจนกระทั่งไม่ยอมออกจากบ้าน
นอกจากนั้น ยังมีภาวะกังวลต่อการต้องพลัดพรากจากพ่อแม่จากคนที่รัก
ประมาณการกันว่าในผู้ใหญ่มีภาวะผิดปกติของความวิตกกังวลจิตตกอยู่ไม่ต่ำกว่า 30% ในต่างประเทศ และเป็นได้ทุกอายุโดยเริ่มตั้งแต่เด็กวัยรุ่นขึ้นมาจนแก่ และทั้งโลกมีประมาณ 301 ล้านคนที่มีความแปรปรวนนี้และภาวะลำไส้หงุดหงิด (irritable bowel syndrome) ท้องผูก ท้องเสีย สลับกันไปมา อาจมีส่วนเกี่ยวพันกับภาวะวิตกกังวลด้วย
เมื่อถูกกระทบกับภาวะจิตตกเช่นนี้และช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยการควบรวมปรึกษานักจิตวิทยาคลินิกโดยไม่ใช้ยา และหลีกเลี่ยงกาแฟ ในกรณีที่มีใจสั่นใจเต้นเร็ว จนกระทั่งถึงต้องใช้นักจิตวิทยาบำบัด และใช้ยาร่วมด้วยโดยแพทย์เฉพาะทาง
ยาที่ใช้เป็นตระกูลแอนตี้ คือแอนตี้ความวิตกกังวล (anti-anxiety) แอนตี้ความหดหู่ซึมเศร้า (anti-depressant) จนกระทั่งยาแอนตี้ความดันบางกลุ่มที่มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว และตัวสั่น มือสั่น
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งมาจากการศึกษาของคณะทำงาน anxiety research program ที่ Georgetown university medical center วอชิงตัน ดี.ซี. และรายงานในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน JAMA Psychiatry วันที่ 9 พฤศจิกายน 2022 เป้าหมายของคณะทำงานนี้มีจุดประสงค์ที่จะช่วยคนที่เจ็บป่วยที่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการรักษาทางจิตวิทยาบำบัด รวมกระทั่งถึงการที่ต้องใช้ยาโดยต้องไปพบแพทย์เฉพาะทาง
...
จึงได้ทำการวิจัยถึงการทำสมาธิ ที่เรียกว่า mindfulness meditation การทำสมาธิเจริญสติให้จดจ่ออยู่กับช่วงเวลาของปัจจุบันซึ่งต่างจากพฤติกรรมบำบัด (cog nitive behavioral psycho therapy)
ในการศึกษานี้มีผู้เข้าร่วมเป็นผู้ใหญ่ 276 ราย อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 33 ปี เป็นสตรี 75% ผิวขาว 59% ผิวดำ 15% และเป็นคนเอเชีย 20% โดยทั้งหมดมีผลกระทบจากภาวะวิตกกังวลจิตตก 136 คนจะได้รับการบำบัดด้วยการเจริญสติและอีก 140 คนได้รับยาที่เพิ่มซีโรโทนิน ชื่อ escitalopram หรือชื่อการค้าคือ laxapro
กลุ่มเจริญสติจะมีการเข้าคลาสเป็นกลุ่ม อาทิตย์ละ 2.5 ชั่วโมงและหนึ่งวันเต็มวันสุดสัปดาห์ นอกจากนั้นจะให้ฝึกทำเองที่บ้านวันละ 45 นาที โดยเป็นการเรียนและฝึกฝนสมาธิเจริญสติให้จดจ่อ กำหนดลมหายใจสำรวจร่างกายตนเองและสำรวจจิตที่มีการเคลื่อนไหว
กลุ่มใช้ยาจะได้ยาขนาด 10 มิลลิกรัมต่อวันในอาทิตย์แรกและถ้าไม่มีผลข้างเคียงเพิ่มเป็น 20 มิลลิกรัมในอาทิตย์ที่สองเป็นต้นไป
การประเมินใช้แบบทดสอบมาตรฐานสำหรับภาวะจิตตก (Clinical global impression of severity. CGI-S) โดยมีคะแนนหนึ่งถึงเจ็ด หนึ่งคือปกติแล้ว เจ็ดคือเป็นมากที่สุด และแบบทดสอบนี้สามารถใช้ประยุกต์ได้กับภาวะวิตกกังวลได้เกือบทุกแบบ
เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นลงที่แปดอาทิตย์ มีคนที่เข้าร่วมจนกระทั่งเสร็จสิ้นการศึกษา 208 คน ผลปรากฏว่า ในกลุ่มที่เจริญสติ จำนวน 102 คนนั้น คะแนนตั้งต้นอยู่ที่ 4.44 และเมื่อครบแปดอาทิตย์คะแนนดีขึ้นโดยเฉลี่ย 1.35 แต้ม และในกลุ่มที่ใช้ยา 106 คน คะแนนตั้งต้นอยู่ที่ 4.51 และเมื่อจบการศึกษาพบว่า คะแนนดีขึ้น 1.43 แต้ม ซึ่งหมายความว่าได้ผลเท่ากัน
ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์อาการของทั้งสองกลุ่มแล้ว ดีขึ้นประมาณ 30% โดยที่ในกลุ่มใช้ยามี 10 รายออกจากการศึกษา เนื่องจากผลข้างเคียงและไม่มีใครในกลุ่มเจริญสติที่ออกจากการศึกษาเลย
...
ดังนั้น การเจริญสติสมาธิจดจ่อน่าจะเป็นวิธีการรักษาแบบแรกก่อนที่จะเริ่มใช้ยาด้วยซ้ำ
คณะผู้วิจัยได้เสริมว่า ในการเจริญสตินั้นเป็นการเรียนเพื่อที่จะรับรู้สภาพ ปรับตัวกับสถานการณ์โดยไม่รู้ตัวและจะไม่มีการตัดสินถูกผิดใดๆทั้งสิ้น ในความคิดของตนเองและเป็นการสอนตนเองให้สามารถให้อภัยตนเองได้โดยไม่ต้องฝืนใจและไม่ต้องให้คนอื่นปลอบใจ แต่ทั้งนี้การฝึกมีการฝึกเป็นกลุ่มซึ่งสามารถทำให้เรียนรู้ตนเองได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นในกลุ่มที่ใช้ยาจะมีถึง 78% ที่มีผลที่ไม่พึงประสงค์ของการใช้ยา ได้แก่ การนอนผิดปกติ คลื่นไส้อาเจียน และปวดหัว ต่างกับกลุ่มเจริญสติ ซึ่งมีความแปรปรวนอยู่ 15.4% ในกลุ่มเจริญสตินั้น มีผลข้างเคียงที่พบ คือรู้สึกเหนื่อยล้า (fatigue) ทั้งนี้ เนื่องจากไม่สามารถใช้โทรศัพท์หรือเล่นมือถือได้ และเหมือนกับไม่ได้มีการกระตุ้นตามปกติ
ข้อแตกต่างของการฝึกเจริญสติด้วยตนเองและพร้อมกับกลุ่ม กับการใช้แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมที่หาได้ในอินเตอร์เน็ต คือการฝึกจากโปรแกรมจะไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับคนในกลุ่ม รวมทั้งไม่ได้รับการแนะนำจากผู้ฝึกและเพื่อนร่วมกลุ่ม
...
การฝึกเจริญสติในลักษณะนี้ ไม่ถึงกับต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ therapist และสามารถทำได้ แม้กระทั่งในที่ทำงาน หรือเวลาไปฝึกโยคะ ใครๆก็สามารถเรียนและฝึกทำได้ และในที่สุดสามารถฝึกเจริญสติที่บ้านได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาทีต่อวันเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้เกินคุ้ม เมื่อเทียบกับการใช้ยาซึ่งไม่ใช่เป็นการรักษาตรง แต่เป็นความพยายามที่จะปรับสารเคมีในสมองเพื่อบรรเทาอาการ และคงต้องใช้ยาหรือพึ่งยาไปตลอด
การเรียนรู้ลงทุนเพื่อช่วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยา เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คนไทยต้องการในขณะนี้ และความเอื้อเฟื้อใส่ใจซึ่งกันและกัน.
หมอดื้อ