นอกจากอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ล่าสุดบทความทางการแพทย์ในหลายประเทศ รวมทั้งอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเกือบจะมากที่สุดในช่วงของการระบาดใหญ่ ได้เผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับ “ภาวะวัคซีนเข้าข้างไวรัส” ที่น่าสนใจมาก
Covid Forum เวทีเสวนาว่าด้วยเรื่องโควิดหลากหลายแง่มุม ได้สัมภาษณ์ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรณีที่มีข้อมูลเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ประเด็นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียให้เกิดภาวะวัคซีนเข้าข้างไวรัส ส่งผลทำให้เกิดอาการรุนแรงที่มากขึ้นกรณีที่ติดเชื้อโควิด โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า เรื่องของแอนติบอดีที่เหนี่ยวนำให้เกิดความรุนแรงขึ้น เป็นเรื่องที่วงการแพทย์รู้กันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 แล้ว และเกิดขึ้นตลอดมาในไวรัสหลายตัว
“มีตัวอย่างในบางประเทศ อย่างเช่น เกาหลีใต้ฉีดวัคซีนเข้มข้นมากรวมทั้งเข็มกระตุ้นแต่อัตราการติดเชื้อกลับมหาศาลและเสียชีวิตมากมาย ข้อมูลยืนยันทางการแพทย์ที่ตอบได้ทันทีคือ ไม่ว่าติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติหรือฉีดวัคซีนจะมีแอนติบอดีเกิดขึ้น ในกรณีของติดเชื้อโควิดจะมีแอนติบอดีต่อ ACE2 receptor ต่อไป และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ไปเรื่อย ส่วนกรณีของโควิดวัคซีนอาจเกิดขึ้นได้เฉพาะในบางราย ไม่ใช่ทุกราย” คุณหมอธีระวัฒน์บอกและว่า เมื่อมีการสร้างแอนติบอดีตัวที่หนึ่งต่อไวรัส ร่างกายจะมีการสร้างแอนติบอดีตัวที่สองต่อไวรัสตัวที่หนึ่ง = เป็นตัวไวรัสใหม่และไปจับกับ ACE2 receptor ทำให้เกิดการอักเสบ นี่เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์จากวัคซีน
...
หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ ยังบอกด้วยว่า กรณีที่มีแอนติบอดีอยู่แล้วและมีการติดเชื้อโควิดซึ่งเปลี่ยนหน้าตาออกไป แอนติบอดีที่มีอยู่แล้ว (ในบางราย) อาจเพิ่มพูนประสิทธิภาพของการติดเชื้อ (enhance infectivity) และหรือการอักเสบได้
“กรณีที่มีการแชร์กันในสื่อออนไลน์ เป็นการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน โดยข้อเท็จจริงของเนื้อหามีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ
ประการที่ 1 เราทราบดีว่าภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนหรือหลังหายติดเชื้อไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ โดยมีข้อมูลทั่วโลกยืนยันตรงกัน
ประการที่ 2 ต่างฝ่ายเห็นตรงกันว่าการระบาดของโอมิครอน ที่วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ แต่ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
ประการที่ 3 การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังมีความจำเป็น
“โดยส่วนตัวผมไม่เคยต่อต้านวัคซีน แต่ไม่ต้องการให้ฉีดมากเกินไป การกระตุ้นวัคซีนเข็ม 3 หมายความว่าเราเริ่มต้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา 2 เข็ม ยังจำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 3 ขณะเดียวกัน การฉีดด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม ไม่ควรตามด้วยแอสตราฯ แต่ควรฉีดด้วย mRNA เป็นเข็มที่ 3 ตรงกับข้อมูลขององค์กรแพทย์ยุโรปแนะนำ แต่สำหรับไทยที่มีการฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม สิ่งที่เราจะสื่อสารคือ กรณีนี้ควรได้รับอีก 2 เข็ม คือไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา รวมเป็น 4 เข็ม ฉะนั้น ระดับที่เหมาะสมคือ 3-4 เข็ม ภูมิเลวและชั่วร้ายมีพิสูจน์อยู่ทั่วไป ดูบทความทางวิชาการในวารสารวิทยาศาสตร์การแพทย์ ค้นนิดเดียวก็เจอแล้ว”
คุณหมอธีระวัฒน์ บอกพร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ส่วนประเด็นเรื่องภูมิคุ้มกันที่อาจจะไม่เป็นมิตรกับภูมิฯตามธรรมชาติหรือจากวัคซีน ทั้งนี้ อธิบายถึงกรณีหากไปพบกับเชื้อโควิดใหม่ที่อาจผันแปรรหัสพันธุกรรม ทำให้ภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำลายได้ ขณะเดียวกันก็อาจมีผลกระทบในทางลบ ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ.2020-2022 มีตัวเลขข้อมูลภูมิคุ้มกันที่เป็นลบรายงานออกมาเรื่อยๆ โดยยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก ต้องจับตามองใกล้ชิด เนื่องจากมีการพบกลไกดังกล่าวในไวรัสหลายตัว โดยเฉพาะตระกูลโคโรนา ทั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ได้พัฒนาวิธีตรวจหาภูมิคุ้มกันดีและไม่ดี เพื่อหาผลกระทบว่าจะเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงหรือไม่ ขณะเดียวกัน สามารถทดสอบโปรตีนไม่ดีที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมหลังติดเชื้อโควิดด้วย
...
ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและตรวจในคนไทยอยู่ การฉีดวัคซีนในเข็มที่ 3 หรือ 4 แล้วก็อาจประวิงเวลา เพื่อรอให้มีวัคซีนรุ่นใหม่ที่สามารถต่อต้านการติดเชื้อ รวมถึงลดอาการรุนแรงและ เสียชีวิตลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ.