คอลลาเจน มาจากภาษากรีก ที่ออกเสียงว่า คอลลา (Kolla) หมายถึงกาว ซึ่งประโยชน์ของคอลลาเจนต่อมนุษย์ คือคุณสมบัติเสมือนกาวที่ยึดเหนี่ยวเซลล์ผิวหนังกับร่างกายให้ประกอบกันเป็นร่างกาย ปัจจุบันกรรมวิธีผลิตคอลลาเจนเป็นอาหารเสริม รวมถึงการฉีดเข้าผิวหนัง แต่คอลลาเจนก็มีสารอาหารที่พบได้ในเนื้อสัตว์ตามธรรมชาติ มาดูกันว่าเราควรบริโภคคอลลาเจนแบบใดจึงได้ประโยชน์สูงสุด
คอลลาเจน คืออะไร
คอลลาเจน คือส่วนประกอบของโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายของคนและสัตว์ ช่วยยึดโครงสร้างเซลล์ระดับเนื้อเยื่อให้คงรูปร่างเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย คอลลาเจนอยู่ในร่างกายของมนุษย์ในส่วนกระดูกอ่อน เส้นเอ็น กระดูก และผิวหนัง ดังนั้นในเนื้อสัตว์ที่นำมาประกอบอาหารได้ ก็จะพบคอลลาเจนในส่วนอวัยวะเหล่านี้เช่นกัน
...
คอลลาเจนมีหลายประเภท พบในร่างกายมนุษย์ 5 ประเภท ได้แก่
1. Collagen Type I : พบในเส้นเอ็น เส้นเลือด กระดูก และอวัยวะต่างๆ
2. Collagen Type II : พบในกระดูกอ่อน
3. Collagen Type III : พบในเส้นใยร่างแหภายในเซลล์เนื้อเยื่อ
4. Collagen Type IV : พบในผิวหนังชั้นหนังกำพร้า และเซลล์ที่เป็นฐานของผิว
5. Collagen Type V : พบในเส้นผมและรก
คอลลาเจน มีประโยชน์อย่างไร
1. เสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ
เนื่องจากคอลลาเจนเป็นสิ่งที่มีอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กล้ามเนื้อ เอ็น และกระดูกของเนื้อสัตว์ก็เป็นแหล่งอาหารที่มีคอลลาเจนสูง เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ระบบโครงสร้างร่างกายก็เสื่อมไปตามวัย ดังนั้นควรบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนด้วย แต่ปัจจุบันเพื่อความสะดวกก็มีคอลลาเจนสังเคราะห์ ผสมอาหารหรือน้ำดื่ม แต่ควรบริโภคอย่างไรนั้น ต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมควบคู่กับโรคประจำตัวที่มีอยู่
2. ลดเลือนริ้วรอย
คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของเซลล์ร่างกาย และผิวหนัง ดังนั้นการรับประทานคอลลาเจนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว และความยืดหยุ่นของผิวหนังได้ แต่ไม่ช่วยเรื่องความขาว
เลือกกินคอลลาเจนอย่างไร
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทานคอลลาเจนเพียง 5-7 กรัมต่อวัน ไม่ควรรับประทานเกิน 10 กรัมต่อวัน ซึ่งพบในอาหารประเภทเอ็น เนื้อสัตว์ และกระดูกอ่อน แต่หากเป็นคอลลาเจนสำเร็จรูป ควรเลือกคอลลาเจนที่อยู่ในรูปคอลลาเจนไฮโดรไลซ์ (Hydrolysed Collagen)
คอลลาเจน มีโทษอย่างไรบ้าง
คอลลาเจนสำเร็จรูป มักมีส่วนผสมของสารแต่งสี และสารแต่งกลิ่น ผู้ที่มีอาการแพ้ มักเกิดจากการรับประทานในขนาดที่สูงเกินไป และติดต่อกันเป็นเวลานาน จนได้รับสารเหล่านี้เข้าไปสะสม ควรบริโภคแต่พอดี
โรคที่ห้ามกินคอลลาเจน
โรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน หลอดเลือด และเมแทบอลิซึม ไม่ควรบริโภคคอลลาเจน ได้แก่
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง SLE หรือ HIV
- โรคธาลัสซีเมีย
- โรคไวรัสตับ
- โรคไต
- โรคลิ่มเลือดหัวใจ
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประโยชน์ของคอลลาเจน
- มีคอลลาเจนบางประเภทเท่านั้นที่ร่างกายมนุษย์ย่อยและดูดซับได้
- คอลลาเจนผลิตได้ด้วยร่างกายของเราเอง แต่เสื่อมสลายได้จากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ หรือการรับแสงแดดมากเกินไป
- เมื่อร่างกายเกิดบาดแผล ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้จากการส่งคอลลาเจนไปยังบริเวณบาดแผลได้
- เครื่องสำอางที่โฆษณาว่ามีส่วนผสมของคอลลาเจน มักเป็นคอลลาเจนโมเลกุลใหญ่ ไม่สามารถดูดซับเข้าผิวหนัง แต่เคลือบผิวให้มีความชุ่มชื้นได้ชั่วคราว
- โรคจากพันธุกรรมและกระบวนการแก่ชรา เป็นสิ่งที่ทำให้คอลลาเจนลดตามธรรมชาติ
...
คอลลาเจนสําหรับผู้สูงอายุ
การรับประทานคอลลาเจนสําหรับผู้สูงอายุนั้นไม่สามารถช่วยให้ปริมาณคอลลาเจนกลับมาเหมือนวัยหนุ่มสาวได้ คอลลาเจนมีส่วนช่วยเรื่องการเสริมสร้างกระดูกอ่อนและกระดูกบางส่วนที่เปราะบาง หรือข้อเข่าเสื่อม แต่ต้องไม่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตที่ทำลายการสร้างคอลลาเจน เช่น สูบบุหรี่ และยังป้องกันข้อเข่าเสื่อมควบคู่กันได้ด้วยวิธีอื่น เช่น ใช้เครื่องมือพยุงร่างกายขณะเคลื่อนไหว และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
วิธีป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน
คอลลาเจนถูกใช้งานเสื่อมสภาพไปได้ในทุกๆ วัน มีวิธีการป้องกันดังนี้
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน
- อาหารประเภทโปรตีน ไข่ขาว, เนื้อสัตว์, ชีส, ถั่วเหลือง
- อาหารที่มีสารแอนโทไซยานิน ได้แก่ แบล็กเบอร์รี, เชอร์รี, ราสเบอร์รี
- อาหารที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม, สตรอว์เบอร์รี, พริก และบร็อกโคลี
- อาหารที่มีวิตามินเอ ได้แก่ ฟักทอง, ผักและผลไม้สีเหลือง
- ทองแดง ได้แก่ หอย, ถั่วเนื้อแดง, น้ำแร่
...
2. หลีกเลี่ยงการออกไปยังที่แจ้ง ป้องกันผิวหนังสัมผัสแสงแดดจ้าโดยตรง
3. งดการสูบบุหรี่ เพราะใบยาสูบมีผลต่อกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิวหนัง