คอลัมน์ บทสัมภาษณ์ความเห็นทางวิชาการ กองบรรณาธิการ วารสารจุลนิติ โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, แพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญ สาขาประสาทวิทยา แพทยสภา Fellow of Neurology & Neuroimmunology, University School of Medicine U.S.A., Johns Hopkins หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ อาคาร อปร.ชั้น 9

แนวทางการฟื้นฟูประเทศ จากวิกฤตการณ์โรคระบาดร้ายแรง (ตอนที่ 1)

จุลนิติ : การฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตการณ์โรคระบาดร้ายแรงที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย “ในมิติด้านการแพทย์และสาธารณสุข” ควรมีแนวทางอย่างไร

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา : ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) ของประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ซึ่งวิธีหยุดยั้งการแพร่ระบาดคือ หยุดการแพร่เชื้อของผู้ติดเชื้อ

...

โดยประเทศไทยเริ่มตรวจพบการติดเชื้อโควิด–19 ครั้งแรกตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่าผู้ปล่อยเชื้อส่วนมากจะไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อเนื่องจากไม่แสดงอาการ ทำให้แพร่เชื้อออกไปเรื่อยๆ ดังนั้น จึงต้องเน้นการตรวจคัดกรองเชิงรุกจริงๆ

โดยในปี พ.ศ.2563 ประเทศไทยไม่ได้มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกเลย มีเพียงการตรวจแบบ contact testing คือ เมื่อมีการติดเชื้อก็หากลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และติดตามกลุ่มเสี่ยงเพื่อตรวจหาเชื้อไปเรื่อยๆ ซึ่งประสบผลสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกรณีการติดเชื้อจากสถานที่ที่ชัดเจน เช่น สนามมวย ผับ

แนวทางการฟื้นฟูประเทศ จากวิกฤตการณ์โรคระบาดร้ายแรง (ตอนที่ 1)

แต่สถานการณ์ปัจจุบันจะแตกต่างไปจากปีที่ผ่านมา กล่าวคือ การแพร่ระบาดระลอกใหม่เริ่มมาจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนใหญ่ โดยตั้งแต่ประมาณเดือนสิงหาคม 2563 สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้มีรายงานว่า มีการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่รัฐยะไข่ นครย่างกุ้ง จนมาถึงบริเวณด่านแม่สอด จังหวัดตาก ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งประเทศไทยพลาดโอกาสในการป้องกันตั้งแต่ในช่วงนั้น

และพลาดโอกาสที่จะใช้มาตรการเข้มงวดการตรวจคัดกรองแรงงานต่างด้าวแบบเชิงรุกที่แท้จริงที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยและเข้ามารวมกลุ่มกับแรงงานที่มีอยู่แล้ว

ทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีแรงงานชาวเมียนมาเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่จำนวนมากคือ สถานที่พักอาศัยมีความแออัด สภาพแวดล้อมภายในโรงงาน โรงอาหาร และยานพาหนะในการรับส่งคนงานยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing)

ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเกือบ 50%

ดังนั้น การจัดการที่จำเป็นต้องดำเนินการคือ ต้องแยกที่พักอาศัย จัดการยานพาหนะที่นำแรงงานเข้ามาที่โรงงาน ซึ่งนั่งกันมาอย่างแออัด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมามีแต่คำว่า “ทำไม่ได้” เพราะสภาพแวดล้อมในการพักอาศัยของคนงานที่อาศัยอยู่ด้วยกันจำนวนมาก ซึ่งโรงงานไม่สามารถจัดหาที่พักให้กับคนงานให้เป็นไปตามมาตรฐานในการรักษาระยะห่างทางสังคม ทั้งที่รู้ว่าโรคโควิด-19 จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ และรู้ว่าถ้ามีคนติดเชื้อในกลุ่มคนที่แออัดจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ประเทศไทยพลาดโอกาสในการป้องกันการแพร่ระบาด ดังกล่าวมาแล้ว

ในส่วนของการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ควรใช้เทคโนโลยีต่างๆที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยประเทศไทยควรใช้กระบวนการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อที่มีความรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ เมื่อตรวจแล้วต้องมีความไว 100% เพื่อให้สามารถแยกตัวผู้ติดเชื้อออกมาได้อย่างรวดเร็ว และแยกผู้ติดเชื้อไปอยู่ในสถานที่กักตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น

แนวทางการฟื้นฟูประเทศ จากวิกฤตการณ์โรคระบาดร้ายแรง (ตอนที่ 1)

...

โดยในส่วนของการใช้เทคโนโลยีในการหาผู้ติดเชื้อในเชิงรุกนั้น ปัจจุบันมีการตรวจหาเศษชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัสจากการแยงจมูก ที่เรียกว่า Antigen ซึ่งใช้ไม่ได้ หรือการบ้วนน้ำลาย และแยงจมูกเพื่อเก็บสิ่งคัดหลั่งมาตรวจ เพื่อหาท่อนรหัสพันธุกรรม เรียกว่า RT-PCR ซึ่งองค์การอนามัยโลกหรือประเทศต่างๆรวมถึงประเทศไทย มีข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่าไม่สามารถคัดกรองผู้ติดเชื้อได้อย่างแม่นยำและเหมาะสม

แต่ประเทศไทยก็ยังคงใช้วิธีการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อด้วยวิธีการแยงจมูก ซึ่งการแยงจมูกเพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 นั้น พบว่าการแยงจมูกเพียงครั้งเดียวอาจจะยังไม่ได้
ข้อสรุป

กล่าวคือ ถ้าไม่พบในครั้งแรกต้องแยงจมูก 3 ครั้ง ภายใน 10–14 วัน ดังนั้น การแยงจมูกจึงเป็นการตรวจที่มีกระบวนการที่ทำยาก และไม่สามารถยืนยันผลได้ภายในครั้งเดียว รวมถึงราคาค่อนข้างแพง คือ ประมาณ 2,200 บาท ต่อการตรวจ 1 ครั้ง

ดังนั้น หากใช้วิธีการตรวจแบบนี้ในเชิงรุกกับผู้ใช้แรงงานประมาณ 50,000-100,000 คน จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก และการตรวจไม่พบการติดเชื้อในครั้งแรกก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ติดเชื้อ 100%

แนวทางการฟื้นฟูประเทศ จากวิกฤตการณ์โรคระบาดร้ายแรง (ตอนที่ 1)

...

ซึ่งจะต้องมีการตรวจซ้ำตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

การตรวจหาผู้ติดเชื้อในเชิงรุกที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทางศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ได้เคยเสนอไปยังรัฐบาลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2563 โดยใช้วิธีการตรวจเลือด กล่าวคือ เมื่อคนติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อ

ซึ่งกรณีของไวรัสโควิด–19 ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันประมาณ 4 วันหลังจากติดเชื้อ ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ได้ใช้การตรวจเลือดมาตรฐาน ซึ่งสามารถบอกภูมิคุ้มกันได้ 3 ระดับ โดยใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงก็จะทราบผล.

หมอดื้อ