ในประเทศที่เบี้ยน้อยหอยน้อย มิหนำซ้ำเจอ โควิด-19 ซ้ำเติม ไหนเศรษฐกิจจะล่มจม แล้วยังต้องรักษาคนที่ติดแล้วมีอาการจนต้องเข้าโรงพยาบาลและเมื่ออาการมากขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นต้องใช้ยาประกบหลายขนาน
ทั้งนี้เริ่มตั้งแต่ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสไปจุดชนวนการอักเสบ ทั้งนี้โดยผ่านการหลอกล่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ทำให้ผลิตสารอักเสบอย่างมากมายมหาศาล และกระทบเนื้อเยื่อทุกอวัยวะของร่างกายรวมกระทั่งถึงหลอดเลือดและทำให้เลือดข้นไปอีก
เมื่ออาการแย่ลงยังต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการช่วยชีวิตในระดับต่างๆ และห้องไอซียูซึ่งต้องการห้องที่มีความดันลบเพื่อกันไม่ให้ละอองเชื้อหลุดออกมาจากห้องผู้ป่วย รวมกระทั่งถึงบุคลากรมากมายมหาศาลซึ่งต้องใส่ชุดป้องกันตัว

คนที่ติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการจนต้องเข้าโรงพยาบาลในความรุนแรงต่างๆกัน ต่างก็ต้องอยู่ในโรงพยาบาลกันตั้งแต่สองสัปดาห์ไปจนกระทั่งนานกว่าสามเดือนก็มี และถ้าคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล แน่นอนแต่ละคนเริ่มตั้งแต่เป็น 100,000 จนกระทั่งมากกว่าสามถึงสี่ล้านบาท และในคนที่โชคร้าย อวัยวะเสียหายถาวรจึงต้องมีการใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ไตวายในช่วงที่ติดเชื้อโควิด-19 และไม่ฟื้นจึงต้องทำการล้างไตตลอดชีวิต
...
การศึกษาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจะมาจากประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก เช่น ประเทศกรีซ รายงานการใช้ยารักษาปวดข้อเกาต์ colchicine ก็สามารถที่จะลดการอักเสบได้อย่างน่าพอใจ ถ้าเริ่มให้ตั้งแต่ระยะแรกที่เกิดมีการอักเสบ และเช่นเดียวกับยาลดไขมันในกลุ่มสเตติน ซึ่งมีสรรพคุณในการลดการอักเสบเช่นกัน
และพบว่าคนที่ใช้ยาในกลุ่มนี้อยู่แล้ว โรคจะมีความรุนแรงน้อยกว่ายาอื่นๆที่มีการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลคือยารักษามาลาเรีย hydroxy chloroquine โดยใช้ขนาดยาไม่มาก เมื่อใช้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นที่มีการจุดชนวนการอักเสบขึ้น โดยจะร่วมหรือไม่ร่วมกับยาโรคกระเพาะ ranitidine bismuth citrate สามารถที่จะบรรเทาความรุนแรงลงได้ ทั้งนี้โดยใช้กลไกในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสร่วมกับการบรรเทาการอักเสบ

ยาประเภทนี้เรียกว่าเป็นยาเก่าที่นำมาใช้รักษาโรคใหม่ (repurposing drugs)
ยาอีกตัวที่มีการศึกษาและมีการรายงานจากประเทศสเปน เป็นยาฆ่าพยาธิ ไอเวอเมกติน (ivermectin) ใน EClinical Medicine 14 มกราคม 2021 ทั้งนี้มีระเบียบวิจัยและวิธีการที่รัดกุม
ยาฆ่าพยาธิดังกล่าว เป็นยาที่ใช้มาเนิ่นนานและมีประสิทธิภาพกับพยาธิหลายชนิด ทั้งนี้เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2020 มีคณะผู้วิจัยได้ตีพิมพ์ประสิทธิภาพของยานี้ในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสโควิด-19 ในหลอดทดลองโดยใช้ความเข้มข้นของยาเล็กน้อย จากนั้นมีความเห็นแตกต่างกันเป็นสองฝ่ายทั้งที่ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง กับฝ่ายที่เห็นด้วยและนำไปใช้
แม้ว่าจะไม่ได้มีการทำการศึกษาความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพในคนที่ติดเชื้อโควิด-19 จริงอย่างกว้างขวางก็ตาม เนื่องจากเหตุผลของความเร่งด่วนและความที่เป็นยาถูกและสามารถเข้าถึงได้
ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้วเป็นต้นมา ก็เริ่มมีรายงานหลายฉบับจากการสังเกตและรวมผู้ป่วยจำนวนหลายรายเข้าในรายงาน แสดงให้เห็นถึงความมีประโยชน์ของยาฆ่าพยาธินี้ซึ่งเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานและมีการใช้ยาหลอกมาเปรียบเทียบด้วย โดยผู้รักษาและผู้ป่วยไม่ทราบว่าได้รับยาอะไร
การศึกษานี้รวมผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับโควิด-19 ในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงของการที่มีอาการไข้หรือไอ โดยที่มีการตรวจหาเชื้อว่ามีเชื้อจริง จากกระบวนการ PCR
ทั้งนี้คนที่ไม่พบเชื้อแต่มีภูมิคุ้มกัน IgG ขึ้นอย่างเดียวหรือมีโรคอย่างอื่นที่สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคโควิด-19 อย่างรุนแรงขึ้น ในระยะต่อมาหรือที่มีหลักฐานว่ามีปอดบวมตั้งแต่ต้น จะไม่รวมอยู่ในการศึกษานี้

...
การศึกษานี้ทำในช่วงระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคมถึงวันที่ 11 กันยายนของปี 2020 โดยใช้ยาฆ่าพยาธิในขนาด 400 ไมโครกรัมต่อกิโลและให้กินครั้งเดียวเท่านั้น
จุดประสงค์ในการศึกษาเพื่อที่จะพิจารณาประสิทธิภาพของการใช้ยาฆ่าพยาธิเพียงหนึ่งโดส และให้แก่ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงและไม่มีปัจจัยเสี่ยงภายในเวลา 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีอาการ ทั้งนี้เพื่อดูว่าสามารถที่จะลดการแพร่ของเชื้อไวรัสต่อไปได้หรือไม่
การประเมินผู้ป่วยทำอย่างถี่ยิบ ในวันที่ 4 7 14 21 และ 28 มีการตรวจร่างกาย และมีการเจาะเลือดเพิ่มเติมในวันที่ 7 และ 14 โดยครอบคลุมการตรวจเม็ดเลือดมาตรฐาน ค่าไต การตรวจดูค่าและผลการอักเสบในเลือด (CRP procalcitonin ferritin creatinine phosphokinase LDH troponin T. D dimer IL6)
การแยงจมูกเพื่อหาเชื้อทำในวันแรก วันที่ 4 7 14 และ 21 โดยตรวจหายีน N E และหาค่าปริมาณไวรัส และถ้าพบเชื้อท่อนพันธุกรรมจะนำไปเพาะในเซลล์เพาะเลี้ยง เพื่อพิสูจน์ว่ายังสามารถติดต่อได้
ผู้ติดเชื้อในการศึกษานี้เริ่มต้นมี 94 รายแต่ตัดออก 50 รายเนื่องจากไม่ตรงกับลักษณะที่กำหนด และ 20 รายปฏิเสธที่จะร่วมในการศึกษา ทั้งนี้เหลือ 12 รายที่ได้รับยาและอีก 12 รายที่ได้รับยาหลอก
ผลของการศึกษาเมื่อติดตามไปจนกระทั่งถึง 28 วัน พบว่าในกลุ่มที่ได้รับยา มีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนไวรัสลดลงบ้าง แต่อย่างไรก็ตามไม่ถึงกับมีนัยสำคัญทางสถิติที่มีความหมาย
แต่เมื่อประเมินอาการของผู้ป่วยปรากฏว่ากลุ่มที่ได้รับยา จะมีอาการไอลดลง 30% และมีอาการไม่รู้กลิ่นและไม่รับรสน้อยลงในกลุ่มที่ไม่ได้รับยาถึง 50% ทั้งนี้ผลของการติดตามค่าเลือดที่บอกระดับของการอักเสบต่างๆนั้นไม่แตกต่างกัน และไม่มีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการได้ยาฆ่าพยาธิตัวนี้

...
ทำไมผลของการศึกษายาฆ่าพยาธิตัวนี้ ถึงได้รับความสนใจมากถึงขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ายาฆ่าพยาธิตัวนี้ใช้ได้ผลในโรคของการอักเสบที่ผิวหนัง ที่ใช้กลไกของการอักเสบแบบเดียวกับที่เกิดในโควิด-19 และถึงแม้ว่าการดูระดับการอักเสบในเลือดจะไม่เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม แต่อาจจะเป็นไปได้ว่ากลไกในการปรับเปลี่ยนการอักเสบนั้นไม่ได้ตรงไปตรงมาและผ่านทาง cathelicidin LL-37 ที่เกี่ยวพันกับกลไกของวิตามินดีอีกต่อหนึ่ง
นอกจากนั้น กลไกในการยับยั้ง การเพิ่มจำนวนของไวรัสนั้น อาจไม่มีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มระดับยาในขนาดสูงมาก เพื่อที่จะทำให้ยามีปริมาณมากพอที่จะไปสะสมที่เนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจและในปอด ทั้งนี้โดยผ่านทางการปรับเปลี่ยน nicotinic acetylcholine receptor ซึ่งจะมีผลทำให้มีตัวรับไวรัสลดลง (ACE-2 receptor) และทำให้ไวรัสเคลื่อนผ่านเข้าสู่เซลล์น้อยลงซึ่งรวมทั้งเซลล์ในโพรงจมูกที่รับกลิ่น และที่เกี่ยวข้องกับการรับรส
ผลของการศึกษานี้เปิดประตูความคิดสร้างสรรค์ในการนำยาเก่า ยาถูกมาใช้ในโรคใหม่ซึ่งถึงแม้จะไม่แสดงผลตามที่หวังทุกประการก็ตาม แต่เป็นการแสดงว่า ยานี้อาจจะมีประโยชน์จริง ถ้ามีการปรับเปลี่ยนขนาดและวิธีการให้อย่างเหมาะสมและประเมินการใช้ในคนไข้จำนวนมากขึ้นและที่อาจมีอาการหลากหลายขึ้น
นี่คือการวิจัยและพัฒนาที่เป็นจริง และเพื่อต่อยอด ไม่ใช่ทำวิจัยทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าผลจะเป็นอย่างไร.
หมอดื้อ