"เห็ด" เมนูจานโปรดของสาวๆ หลายคน Lady MIRROR รู้หรือไม่ว่า นอกจากรสชาติที่อร่อยคล้ายเนื้อสัตว์ แถมยังไม่มีไขมันที่ทำให้อ้วน และ "เห็ด" ยังมีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งทางด้านสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางโภชนาการ จนทำให้เหล่าพ่อครัวแม่ครัว นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นอาหารที่หลากหลายเมนู อาทิ ยำเห็ด ลาบเห็ด แกงเห็ด เห็ดทอดกรอบ เห็ดต้มน้ำปลา แกงเลียงเห็ด หรือเห็ดผัดน้ำปลา จะบอกว่าแต่ละเมนูน่ากินมากๆ แล้วเห็ดที่นำมาปรุงอาหารก็มีอยู่มากมายหลากหลายชนิด ว่ากันว่า...เราสามารถจำแนก "เห็ด" ได้มากกว่า 30,000 ชนิดเลยทีเดียว วันนี้ MIRROR จึงอยากจะมาแนะนำความรู้เรื่อง "เห็ด" มาฝาก เริ่มต้นกันที่เรื่องราวของพืชชนิดนี้กันเลย

...

ในความหมายของเห็ดนั้น เราถือว่า "เห็ด" เป็นพืชชั้นต่ำที่จัดเป็น "รา" ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทฟังไจ ที่ "เห็ด" จะแตกต่างไปจากพืชชนิดอื่น คือไม่มีคลอโรฟิลล์ หรือสารสีเขียว จึงไม่สามารถสงเคราะห์แสงได้ ต้องอาศัยสารอินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต เห็ดจึงไม่สามารถสร้างอาหารได้เองโดยวิธีสังเคราะห์แสง สาวๆ ไม่แปลกใจเลยใช่มั้ยล่ะ ทำไมถึงมีแต่เห็ดสีขาวๆ และไม่มีสีเขียวในเห็ดเลย      

ตำนานของ "เห็ด"

ตำนานของเห็ด เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ รู้เพียงแค่ว่า...มนุษย์ทั่วโลกรู้จักเห็ดมานานมากแล้ว โดยใช้เห็ดมาปรุงเป็น "อาหาร" โดยปัจจุบันได้มีการจำแนก "เห็ด" ไว้มากกว่า 30,000 ชนิด มีทั้ง "เห็ดกินได้" และ "เห็ดกินไม่ได้" รวมถึง "เห็ดพิษ" บางชนิด ที่กินแล้วเกิดอาการต่างๆ เช่น อาการประสาทหลอน จนถึงบางชนิดที่กินแล้วถึงแก่ความตาย

ประโยชน์ของ "เห็ด"

"เห็ด" คือแหล่งโปรตีนจากธรรมชาติ ที่ปราศจากไขมัน ส่วนที่ใช้มากินกันหลักๆ คือ "ก้านเห็ด" และ "ดอกเห็ด" เหมาะมากๆ สำหรับผู้ที่ "ลดน้ำหนัก" เพราะเห็ดมีวิวัฒนาการมาจากการประสานเส้นใยจำนวนมากของเชื้อราชั้นสูงนั่นเอง ที่สำคัญเห็ดยังให้คุณค่าทางโภชนาการ และมีสรรพคุณทางยาสูง ซึ่งมีคุณสมบัติที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบของร่างกาย เพราะมีวิตามินบีและดีสูง นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันในเลือด ต่อต้านการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง 

รวม 5 "เห็ด" เพื่อ "สุขภาพ" สรรพคุณและประโยชน์เพียบ

1. เห็ดพิมาน

"เห็ด" ชนิดนี้มีชื่อเรียกหลากหลายมาก และแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น โดยชาวบ้านในภาคเหนือเรียกว่า "คะยา" หรือ "หนามขาว" ชาวสุโขทัย เรียกว่า "กระถินป่า" หรือ "กระถินวิมาน" ชาวภาคกลางเรียก "กระถินหางกระรอก" หรือ "กระถินพิมาน" โดยเห็ดชนิดนี้เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม สูงประมาณ 8-10 เมตร มักขึ้นตามป่าละเมาะ หรือป่าเบญจพรรณที่แห้งแล้ง อย่างในประเทศไทยก็พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สรรพคุณตามตำรับยาสมุนไพร ระบุไว้ว่า ส่วน "ต้น" ของ "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถนำไปใช้ทำยาได้หลากหลาย ขณะที่ "ราก" ซึ่งมีรสฝาดเฝื่อน สามารถนำไปแก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้พิษงูได้ ส่วน "ลำต้น" ซึ่งมีรสเมาเบื่อ ไปแก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ถ้านำเห็ดไปฝนกับน้ำปูนใสหรือเหล้าแล้วนำไปหยอดหู จะแก้ปวดหู แก้พิษฝีในหูได้ นอกจากนั้นยังสามารถนำมาทาบาดแผลที่เน่าเปื่อย น้ำเหลืองเสีย สามารถแก้เริม แก้งูสวัดได้อีกด้วย และที่สำคัญคือสามารถรักษามะเร็งได้ เพราะมีสารโพลีแซคคาไลน์ สารเบตากลูแคน สารไตรโตรปินอย สารเนเชอรัลสเตอรอยด์ ที่เข้าไปช่วยยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกรวยไต มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี

...

2. เห็ดหลินจือ

"เห็ดหลินจือ" สุดยอดแห่งเห็ด ที่คนเอเชียโดยเฉพาะคนจีน นิยมนำมาใช้เป็น "ยา" นานกว่า 2,000 ปีแล้ว นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิจิ๋นซี เป็นต้นมา เห็ดหลินจือ ถือเป็น "ยาจีน" และเป็นของหายากที่มีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน และได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณชื่อ "เสินหนงเปินเฉ่า" ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีนว่า เห็ดหลินจือเป็น "เทพเจ้าแห่งชีวิต" ในสมัยโบราณกล่าวกันว่า...เห็ดหลินจือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น ใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีกำลัง ทำให้ความจำดีขึ้น ทำให้ประสาทสัมผัสต่างๆ ชัดเจนดีขึ้น ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสีหน้าแจ่มใส ชะลอความแก่ 

นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณอื่นๆ เช่น รักษาและต้านมะเร็ง รักษาโรคตับ ความดันโลหิตสูง ขับปัสสาวะ ปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ ภาวะมีบุตรยาก การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคภูมิแพ้ โรคประสาท ลมบ้าหมู เส้นเลือดอุดตันในสมอง อัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดเมื่อย ปวดข้อ โรคเกาต์ โรคเอสแอลอี เส้นเลือดหัวใจตีบ ตับแข็ง ตับอักเสบ ปวดประจำเดือน ริดสีดวงทวาร อาหารเป็นพิษ แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงสายตา และความเชื่อดังกล่าว...ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันแม้จะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันชัดเจน

...

3. เห็ดหอม

"เห็ดหอม" หรือ "เห็ดซิตาเกะ" เป็นเห็ดพื้นเมืองแถบเอเชียตะวันออก โดยดอกเห็ดจะมีหมวกเห็ดที่ค่อนข้างกลม มีสีน้ำตาลเข้ม บริเวณก้านดอกหรือโคนดอกจะมีสีขาว มีความอ่อนนิ่ม และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และขนาดประมาณ 5-10 ซม. โดยเห็ดชนิดนี้จะมีแคลอรีต่ำ เป็นแหล่งไฟเบอร์ชั้นดี ทั้งยังอุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามินหลากชนิด เช่น กรดโฟลิก กรดอะมิโน ซิลิเนียม สังกะสี วิตามินบี หรือวิตามินดี และยังมีสารประกอบทางชีวภาพอย่างสารอิริตาดีนีน สารสเตอรอล สารเบต้ากลูแคน รวมถึงสารเลนทิแนน ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ นิยมนำมาใช้ประกอบอาหาร โดยเฉพาะอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น สามารถนำไปตากแห้งเพื่อให้เก็บไว้ได้นาน

สรรพคุณทางยาของ "เห็ดหอม" คือ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน โดยสารเบต้ากลูแคนจากเห็ดหอมอาจเป็นสารสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อและช่วยฟื้นฟูร่างกาย เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และยังลดระดับคอเลสเตอรอล เพราะมีสารอิริตาดีนีน ที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอเลสเตอรอล ซึ่งถ้าคอเลสเตอรอลสูง อาจปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะหลอดเลือดแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคสมองขาดเลือดชั่วคราวได้ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพราะเห็ดหอมเป็นพืชชนิดเดียวที่เป็นแหล่งของวิตามินดีจากธรรมชาติ ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัสเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก สำคัญคือช่วยรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากในเห็ดหอมมีสารเลนทิแนน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็งด้วยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโต และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้อีกด้วย

...

4. เห็ดหูหนู

"เห็ดหูหนู" เป็น "เห็ด" ที่อยู่ในวงศ์ Auriculariaceae โดยดอกเห็ดจะเป็นวุ้นทรงถ้วย ในตำรับยาจีนโบราณ ชาวจีนนิยมนำมาปรุงประกอบเป็นอาหารและยาเพื่อบำบัดอาการต่างๆ ได้แก่ ท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคความดันโลหิตสูง ลดไขมันในเลือด ห้ามเลือด ช่วยขจัดอาการเลือดคั่ง และบำรุงเลือดทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกายลดอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากมีสารอาหารที่สามารถเข้าไปซ่อมแซมร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงรู้สึกหายจากอาการอ่อนเพลีย และเหมาะกับผู้สูงอายุที่เป็นโรคหัวใจ เนื่องจากสามารถลดปริมาณการเกาะตัวของเกล็ดเลือดได้

นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณที่สำคัญ คือ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้การไหลเวียนเลือดของหัวใจดีขึ้น ลดอาการหลอดเลือดหัวใจขาดและตีบ มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดอาการแทรกซ้อน ภายหลังจากการฉายแสงรักษาโรคมะเร็ง

5. เห็ดเข็มทอง

สรรพคุณของ "เห็ดเข็มทอง" คือ ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีสาร Flammulin ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย และดักจับไขมันส่วนเกินในเลือด และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่ายกาย ช่วยให้ร่างกายดูดซับสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยได้ลดน้ำหนัก และป้องกันโรคอ้วน และยังทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้กับสาวๆ รักษาโรคตับ กระเพาะอาหาร และลำไส้เรื้อรัง สำหรับผู้ป่วยเบาหวานก็สามารถรับประทานได้ เนื่องจาก "เห็ด" ชนิดนี้ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ และยังบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำให้ดียิ่งขึ้น

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ :