จุฬาฯ จัดเสวนาระดมความคิด พลิกวิกฤติ PM 2.5 เสนอแนวทางรับมือและร่วมแก้ไขวิกฤติฝุ่นพิษ พร้อมเผยงานวิจัย PM 2.5 ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑลมีโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง แนะภาครัฐควรให้ความสำคัญทุกมิติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน
วันที่ 29 มกราคม 2568 มีรายงานว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาทางวิชาการ Chula the Impact ครั้งที่ 30 ภายใต้หัวข้อ "จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤติ PM 2.5" ระดมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และนำเสนองานวิจัย เพื่อเป็นฐานในการขับเคลื่อน สื่อสารชี้นำสังคม และสนับสนุนมาตรการ นโยบายในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน
ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 กลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประชาชน ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศนี้ ได้แก่ การเผาไหม้ในที่โล่ง การคมนาคมที่หนาแน่น การดำเนินกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรม และปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่มีองค์ความรู้และงานวิจัยครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิทยาศาสตร์ งานเสวนา Chula the Impact ครั้งที่ 30 ในหัวข้อ “จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤติ PM 2.5” จัดขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลสุขภาพในสถานการณ์มลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือในระยะยาว
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWd4WarvWv0w7J1lHuX2rNhUxead.jpg)
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดงานเสวนาครั้งนี้ โดยเน้นย้ำบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการใช้ความรู้และงานวิจัยจากคณาจารย์ นักวิจัยจุฬาฯ ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 "เมื่อสังคมมีปัญหา จุฬาฯ มีคำตอบ" พร้อมชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน
งานเสวนาครั้งนี้มีการนำเสนอข้อมูลความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ PM 2.5 ในด้านต่าง ๆ โดยคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาฯ ดำเนินรายการโดย อ.ภก.ดร.วีระพงษ์ ประสงค์จีน อาจารย์พิเศษ ศูนย์การศึกษาทั่วไป จุฬาฯ
อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย สิรินารา ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า "จากที่มีประเด็นถกเถียงกันในสังคมว่า PM 2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพจริงหรือไม่ เรื่องนี้ขอยืนยันว่า PM 2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพจริง จากงานวิจัยทั่วโลกจำนวนมากให้ผลยืนยันตรงกันว่า PM 2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งผลกระทบเฉียบพลันและเรื้อรัง
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWd4WarvWv0w7JvLPNgzNiLmMehF.jpg)
ตัวอย่างผลกระทบเฉียบพลันจาก PM 2.5 เช่น อาการระคายเคืองตา ไอแห้ง เจ็บคอ หายใจไม่สะดวก ผื่นคันตามตัว ผลกระทบเรื้อรัง เช่น หอบหืดกำเริบ หลอดลมอักเสบ มะเร็งปอด โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ นอกจากนี้ PM 2.5 ไปทำให้เซลล์ของร่างกายอักเสบบ่อย ๆ จนความสามารถซ่อมแซมเซลล์ของยีนเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด"
อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย เผยว่า "จากงานวิจัยพบว่าฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น สารหนู แคดเมียม และโครเมียมในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด" พร้อมแนะนำให้ประชาชนใส่หน้ากาก N95 หรือสูงกว่าเพื่อป้องกัน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งเมื่อค่าฝุ่นอยู่ในระดับสูง
"ประเทศไทยใช้ค่า cutoff ของ PM 2.5 ที่ปลอดภัยมานานที่ < 50 mcg/m³ และเพิ่งปรับเป็น < 37.5 mcg/m³ ในปี 2566 แต่จากงานวิจัยพบว่าหากเราลดค่า cutoff ลงมาเท่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกที่ < 15 mcg/m³ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในประชากรไทยได้ถึง 44% และหากลดลงมาอยู่ที่ < 25 mcg/m³ ก็ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ 17%" อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย กล่าว
รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า "การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศต้องเริ่มจากการตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจต้นเหตุของปัญหา และต้องมีการแก้ไขที่แหล่งกำเนิด ควบคู่ไปกับการจัดการแบบบูรณาการในทุกมิติ เพราะแต่ละแหล่งกำเนิดมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมาย การจัดการแบบแยกส่วนจะไม่ได้ผล นอกจากนี้ควรเป็นการจัดการที่มีส่วนร่วมจากชุมชน และมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม"
รศ.ดร.ศิริมา ยังเน้นว่า "ภาครัฐต้องมีความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ และต้องกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ"
รศ.ดร.ทรรศนีย์ เจตน์วิทยาชาญ ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า "วิกฤติฝุ่น PM 2.5 ที่มีค่าสูงต่อเนื่องหลายวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สามารถอธิบายด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสองปัจจัยหลัก ได้แก่ แหล่งกำเนิดมลพิษและสภาพอากาศ ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากการเผาไหม้เป็นหลัก ซึ่งผลการวิจัยที่วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นชี้ให้เห็นว่า แหล่งกำเนิดที่สำคัญในกรุงเทพฯ ได้แก่ การจราจร โรงงานอุตสาหกรรม การเผาชีวมวล และละอองลอยจากเกลือทะเล นอกจากนี้ การเกิดฝุ่นทุติยภูมิจากปฏิกิริยาเคมีในบรรยากาศก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ อิทธิพลของสภาพอากาศ โดยเฉพาะลมอ่อน อุณหภูมิผกผัน และมวลอากาศเย็นที่มีความเร็วลมต่ำในช่วงฤดูหนาว ทำให้ฝุ่นสะสมและกระจายตัวช้า
![](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aveWd4WarvWv0w7JsHqOoyZCTjDy0e.jpg)
รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาฯ กล่าวว่า "การจัดการคุณภาพอากาศเป็นเรื่องของทุกคน เราต้องตั้งรับ ปรับตัว และป้องกันตนเองและครอบครัว โดยเพิ่มการรับรู้ความเสี่ยงและทักษะ Data Literacy ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่เปราะบางต่อปัญหานี้"
รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กล่าวว่า "ควรมีการสื่อสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงคาดการณ์ที่สามารถช่วยให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับปัญหาได้ล่วงหน้า และภาครัฐควรให้ความสำคัญกับวิกฤติ PM 2.5 ในทุกมิติ ไม่ใช่แค่ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ต้องรวมถึงมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน"