กรมลดโลกร้อน หนุน 8 แนวทางเสริมความเข้มแข็งเครือข่ายฯ เพื่อลดความรุนแรงของผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้น "รุก รับ ปรับตัว รวมพลังสามัคคี ลดโลกร้อน"
เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2567 กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีเปิดการประชุมมหกรรมเครือข่ายภาคประชาชน และภาคีความร่วมมือ "รุก รับ ปรับตัว รวมพลังสามัคคี ลดโลกร้อน" โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน
มีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 400 คน ประกอบด้วย องค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมฯ เครือข่าย ทสม. เครือข่ายชาติพันธุ์ เครือข่ายเกษตร เครือข่ายประมงพื้นบ้าน เครือข่ายเพื่อนตะวันออก เครือข่ายเยาวชน ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ ร่วมกันระดมสมองจัดการปัญหาโลกร้อน ณ โรงแรม เอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี
ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัญหาโลกร้อนได้ส่งผลกระทบกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ และทุกระบบนิเวศ ซึ่งการแก้ไขปัญหานั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเครือข่ายที่มาในวันนี้เป็นภาคีสำคัญที่ร่วมขับเคลื่อนการทำงานที่มีความสอดคล้องกับแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ความท้าทายที่จะต้องยกระดับการจัดการให้ทันต่อสถานการณ์ใหม่
มีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคม และความรุนแรงของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงขยายผลการทำงานในมิติใหม่ ให้พื้นที่อื่นได้ร่วมเรียนรู้และนำไปสู่การปฏิบัติได้ ดังนั้น เพื่อให้เครือข่ายภาคประชาชนและภาคีความร่วมมือ สามารถดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมลดโลกร้อน ได้กำหนดแนวทางการสนับสนุนการดำเนินงาน 8 แนวทาง ได้แก่
1. สนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่ายภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนแนวทางการจัดการโลกร้อนในเชิงนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่
2. พัฒนาศักยภาพ บทบาทและเสริมองค์ความรู้เครือข่ายภาคประชาชน และเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. สนับสนุนการจัดทำแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับประเด็นการปรับตัวและสามารถดำเนินงานได้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ
4. สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนทั้งเงินกองทุนสิ่งแวดล้อมและกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
5. จัดทำฐานข้อมูลเครือข่ายให้มีความเชื่อมโยงกันกับเครือข่ายของหน่วยงานอื่น และองค์กรที่ร่วมทำงาน
6. สนับสนุนปฏิบัติการในเชิงพื้นที่ในประเด็นที่จะนำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสริมความเข้มแข็งในการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชน และสามารถขยายผลสู่การเรียนรู้ร่วมกันของเครือข่ายทางสังคม
7. สนับสนุนเครื่องมือ งานวิชาการ งานวิจัย และกลไกเจ้าหน้าที่ประสานความร่วมมือและพัฒนาเครือข่ายประจำจังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 47 คน ใน 47 จังหวัด และจะขยายให้ครบทุกจังหวัดในอนาคต
8. พัฒนาการสื่อสาร สร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโลกร้อน พร้อมทั้งสร้างคุณค่าการทำงานผ่านสิ่งต่างๆ ที่จะถูกถ่ายทอดลงไปสู่ประชาชนในระดับพื้นที่ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ทั้งนี้ ดร.พิรุณ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาโลกร้อนมีความรุนแรงมากขึ้นและเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน นำไปสู่การเสริมพลังการทำงานซึ่งกันและกัน ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาโดยนำต้นทุนที่มีอยู่มาต่อยอด พัฒนาเพื่อแก้ "วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"