เนสท์เล่ ประเทศไทย ประกาศแผนการดำเนินธุรกิจปี 2567 สานต่อกลยุทธ์ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค Good for You Good for the Planet พร้อมแผนธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050
วันที่ 23 เมษายน 2567 เมื่อเวลา 10.30 น. ที่โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ได้ประกาศแผนการดำเนินธุรกิจปี 2567 โดยกล่าวว่า ในปีนี้ เรายังคงเดินหน้ากลยุทธ์การขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง และตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต โดยเนสท์เล่ในประเทศไทยจะขับเคลื่อนการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันล้วนเป็นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง รสชาติอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาที่เข้าถึงได้ จากการผลิตด้วยแนวทางความยั่งยืน
นอกจากนี้ เรามีพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัยและเราได้จัดพอร์ตอาหารและเครื่องดื่มของเราให้ส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุลอีกด้วย นอกจากแผนงานด้านผลิตภัณฑ์แล้ว ในปีนี้ เนสท์เล่จะเร่งเครื่องการส่งเสริมพร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยกินอยู่อย่างสมดุล ซึ่งเป็นแนวทางการเลือกรับประทานด้วยการปรับเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย เพื่อความสุขกายและสุขใจอย่างยั่งยืน”
จากเทรนด์ของผู้บริโภคสู่แนวคิดการกินอยู่อย่างสมดุล หรือ Balanced Diet
ผลสำรวจผู้บริโภคทั่วโลกที่จัดทำโดยเนสท์เล่และคันทาร์ในปี 2022 พบว่า 91% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการรับประทานอาหารที่ดี และต้องการให้คนในครอบครัวมีการกินอยู่อย่างสมดุล ในขณะเดียวกันกลับพบว่ามีเพียง 42% ที่สามารถใช้ชีวิตด้วยการกินอยู่อย่างสมดุล โดย 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคไทยไม่สามารถกินอยู่อย่างสมดุลได้ ประกอบด้วย เหตุผลด้านราคา เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าอาหารเพื่อสุขภาพมักจะมีราคาสูง เหตุผลอีกประการคือ ความต้องการสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันด้วยการรับประทานของหวานหรือขนม และประการสุดท้ายคือ การไม่มีเวลาในการปรุงหรือเตรียมอาหารที่ดีด้วยความเร่งรีบจากกิจวัตรประจำวัน
จัดพอร์ตผลิตภัณฑ์ ชูสองกลยุทธ์ ส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล
เนสท์เล่มุ่งดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคไทยเป็นหัวใจสำคัญ และตระหนักดีถึงบทบาทของอาหาร ที่มีความสำคัญต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ในปีนี้ จึงมีการแบ่งพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน (Everyday Goodness) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของเนสท์เล่ ประเทศไทย เช่น เนสกาแฟ ไมโล นมตราหมี เนสวีต้า น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ และแม็กกี้
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม (Tailored Nutrition) คือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคบางกลุ่ม เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจ เนสท์เล่ เฮลท์ ไซเอนซ์ และผลิตภัณฑ์เพื่อโภชนาการเด็ก เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ เอส 26 ตราหมี คาร์เนชั่น และแนน
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง (Mindful Indulgence) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้อย่างพอประมาณ เพื่อสร้างสมดุลที่ดีทางจิตใจ อาทิ ไอศกรีมเนสท์เล่ คิทแคท เนสท์เล่ คอฟฟีเมต รวมถึงเครื่องดื่มเนสท์เล่ที่จำหน่ายในช่องทางการบริโภคนอกบ้าน
เดินหน้าสร้างการเติบโตทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเน้น 2 กลยุทธ์หลัก
กลยุทธ์แรก : ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Grow a Healthier Portfolio) ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม ผ่านการมอบทางเลือกที่ดีขึ้นเพื่อสุขภาพ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมทั้งลดน้ำตาลและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ ปัจจุบัน เนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 รายการที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo) นับเป็นจํานวนผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองสูงสุดในบรรดาบริษัทอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดในไทย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เสริมแร่ธาตุและวิตามิน ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์โภชนาการสำหรับเด็กและผลิตภัณฑ์นม รวมถึงผลิตภัณฑ์บางชนิดสำหรับผู้ใหญ่ ส่งต่อผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้บริโภคทั่วประเทศ
กลยุทธ์ที่ 2 : ส่งเสริมการรับประทานอย่างสมดุล (Guide with Balanced Choice) สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง ด้วยการปรับสูตรอาหารให้ผู้บริโภคได้รับประทานอย่างพอเหมาะ เช่น ไอศกรีมสำหรับเด็กทุกชนิดที่ให้พลังงานเพียง 110 กิโลแคลอรีหรือน้อยกว่า ขนมแบบมัลติเสิร์ฟสำหรับการบริโภคแบบหลายคนหรือบริโภคหลายครั้ง จะมีการระบุปริมาณการรับประทานที่เหมาะสมสำหรับแต่ละมื้ออย่างชัดเจนบนบรรจุภัณฑ์
พร้อมกันนี้ ยังจัดสรรงบลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท ในการขยายสายการผลิต เริ่มตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมาจนถึงปี 2026 เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผู้บริโภคและสัตว์เลี้ยง แบ่งเป็นการขยายสายการผลิตที่โรงงานยูเอชที เพื่อเสริมแกร่งให้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยูเอชทีทั้งหมด ภายใต้แบรนด์ต่างๆ เช่น ไมโล ตราหมี S-26 และคาร์เนชั่น พร้อมขยายสายการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแมวเกรดซุปเปอร์พรีเมียมชนิดเปียกและชนิดแห้งที่โรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ทั้งสองแห่ง โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการผลิตอาหารเพื่อสัตว์เลี้ยงให้มีรสชาติและรูปแบบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า ในปีนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ "คำเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ - Every Little Bite Matters" เพื่อสนับสนุนให้คนไทยได้เลือกรับประทานให้สมดุล ทั้งอาหารที่ดีต่อร่างกายและอาหารที่ดีต่อใจในปริมาณเหมาะสม เชื่อว่าอาหารทุกคำสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ตามมาเสมอ แคมเปญนี้ประกอบด้วยการสื่อสารครบวงจรที่มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล จุดประกายให้คนไทยลองเปลี่ยนคำเล็กๆ ในมื้ออาหาร สร้างสมดุลในทุกวัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ผ่านวิธีง่ายๆ เช่น การจับคู่เพิ่มประโยชน์ให้อาหาร การควบคุมปริมาณให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย และการจัดมื้ออาหารให้สมดุล รวมทั้งเดินสายให้ความรู้คนไทยผ่านโครงการภารกิจพิชิตสุขภาพดี และกิจกรรมเนสท์เล่คาราวานครอบครัวแข็งแรง ตั้งเป้าเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 120,000 คนใน 200 ชุมชนทั่วประเทศตลอดปี 2024
"ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา" (Good for the Planet)
นายวิคเตอร์ กล่าวว่า สำหรับในเรื่องของความยั่งยืน เรายังมุ่งมั่นดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ผ่านกลยุทธ์ในการ “ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา” (Good for the Planet) เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 แต่หนทางสู่ปี 2050 ค่อนข้างจะยาวไกลจากวันนี้ เราจึงได้ตั้งเป้าหมายระยะสั้นสำหรับปี 2025 เพื่อนำเราไปสู่หนทาง Net Zero ในปี 2050 อย่างที่ตั้งใจไว้ โดยเราได้ดำเนินงานตามแผนงานด้านความยั่งยืน และมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก อาทิ 96% ของบรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ประเทศไทย ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และมีกรดำเนินงานเพื่อลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ลง การจัดหาเมล็ดกาแฟและน้ำนมดิบอย่างยั่งยืน 100% รวมถึงให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้เพาะปลูกกาแฟและเลี้ยงโคนม
อีกทั้งยังมีโครงการดูแล และจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ปัจจุบันโรงงานผลิตน้ำดื่มของเนสท์เล่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาสามารถชดเชยน้ำกลับคืนสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้ 100% ซึ่งจะมีการต่อยอดที่โรงงานใน จ.สุราษฎร์ธานี และมีการลดการปล่อยคาร์บอนลดลงตามแผนงานที่ตั้งไว้ จากการใช้พลังงานหมุนเวียน รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำในโรงงานของเราด้วย
ด้วยกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภคและเพื่อโลกของเรา เนสท์เล่จะเดินหน้านำเสนอผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อคนไทยในทุกช่วงวัย ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 พร้อมทั้งดำเนินงานภายใต้หลักการ ESG ทุกมิติ ได้แก่
- ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นดูแลสิ่งแวดล้อมภายในแผนงานความยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050
- ด้านสังคม ได้สร้างคุณค่าให้กับสังคมด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนา และมีรสชาติอร่อย ในราคาที่เข้าถึงได้
- ด้านธรรมาภิบาล เรายึดหลักธรรมาภิบาลในการทำงานอย่างโปร่งใส มีจริยธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด และมีแนวทางในการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานสูงสุดตลอดห่วงโซ่คุณค่า
นอกจากนี้ให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปยังมือของผู้บริโภคด้วย เชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจุบันสำคัญที่สร้างความสำเร็จในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมีผลอย่างไรต่อยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำดื่ม ไอศกรีม นายวิคเตอร์ กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อากาศที่ค่อนข้างร้อนมาก จึงส่งผลต่อยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำดื่ม ไอศกรีม รวมไปถึงกาแฟชงเย็น เพิ่มมากขึ้นด้วย.