- รู้จัก "นครฉงชิ่ง" จากเมืองที่เคยประสบปัญหา "มลพิษทางอากาศ" สู่การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- Green Chongqing 10 ข้อควรรู้ จากการพัฒนา "นครฉงชิ่ง"
เมื่อพูดถึง "นครฉงชิ่ง" (Chongqing) หลายคนทราบว่า เป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีเนื้อที่ราว 82,400 ตารางกิโลเมตร เกือบเท่ากับภาคกลางของประเทศไทย โดยมีประชากรกว่า 32 ล้านคน ซึ่งมหานครแห่งนี้ เป็นเมืองเศรษฐกิจทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน แต่รู้หรือไม่ว่าเมื่อ 10 ปีก่อน เมืองเศรษฐกิจของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ เคยประสบปัญหามลพิษอากาศอย่างมาก
ทั้งนี้ มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก อุตสาหกรรม, การเผาไหม้ถ่านหิน และเชื้อเพลิงชีวภาพ ทำให้รัฐบาลเร่งออกนโยบายทุกทางเพื่อแก้ปัญหา ที่รู้จักกันก็คือ สงครามปกป้องท้องฟ้าสีคราม (Blue sky defense battle) รวมถึงนโยบายการส่งเสริมพลังงานสะอาด
ขณะที่ สมาคมด้านพลังงานของเมืองฉงชิ่ง ร่วมมือกันจัดการประชุมและศึกษาดูงานด้านการพัฒนาเมือง โดยได้เชิญนักวิชาการ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI ซึ่งมี คุณเบญจมาส โชติทอง และคุณวิลาวรรณ น้อยภา หลบอากาศร้อนจากเมืองไทยเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ พร้อมได้เรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับ Green Chongqing 10 เรื่องต้องรู้ "นครฉงชิ่ง สู่ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม"
1. ภูมิทัศน์สวยงาม ต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียวสองข้างถนนถูกจัดการเป็นอย่างดี สัมผัสได้ตั้งแต่ออกเดินทางจากสนามบินเจียงเป่ย (Jiangbei) ไปตลอดทาง
2. บทบาทองค์กรทางสังคม (Social organizations) ซึ่งเป็นคำที่จีนใช้เรียกองค์กรพัฒนาเอกชนหรือ NGO ได้เข้ามามีส่วนช่วยเฝ้าระวังมลพิษ และทำงานร่วมกับบริษัทเอกชนมากขึ้น รวมทั้งกระตุ้นเยาวชนและสังคมให้เรียนรู้และปกป้องธรรมชาติ เช่น กรณีศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติ, การอนุรักษ์นกอินทรีย์
3. ขยายชุมชนเกษตรอินทรีย์ โดยนำองค์ความรู้สมัยใหม่เข้ามาใช้ในการทำเกษตร มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในเขตชนบท สร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น โดยได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ อย่างกรณีเมืองดาชู (Dashu Town)
4. ป้ายทะเบียนรถยนต์แยก 2 สี ชัดเจน ให้เข้าใจว่าป้ายทะเบียนสีเขียวคือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV (Electricity vehicle) ซึ่งมีประมาณ 20% ในเมืองนี้และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนป้ายทะเบียนสีน้ำเงินคือรถที่ใช้เชื้อเพลิงแบบเดิม
5. พัฒนาเทคโนโลยีระบบชาร์จสำหรับรถยนต์ EV และขยายจุด/สถานีชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ EV ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในเขตเมือง แม้ยังมีจำกัดในเขตพื้นที่ชนบท
6. สถานีสลับแบตเตอรี่สำหรับรถแท็กซี่ EV ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที น่าตื่นเต้นมากสำหรับยุคนี้ (ต่อไปน่าจะขยายเพิ่มและพบเห็นได้ทั่วไป)
7. เกิดธุรกิจสตาร์อัพใหม่ๆ ด้านธุรกิจพลังงานสะอาด โดยการสนับสนุนจากรัฐบาล บางบริษัทเพิ่งก่อตั้งได้ 4-5 ปี สามารถขยายงานได้แบบก้าวกระโดด
8. การให้บริการแบบครบวงจรของบริษัทผลิตอุปกรณ์ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งแต่การขออนุญาตติดตั้ง การติดตั้ง ระบบการติดตามแบบเรียลไทม์ บริการทำความสะอาดแผงโซลาร์ ฯลฯ แต่ก็ยังขาดความรับผิดชอบเรื่องการจัดการซากอุปกรณ์หลังใช้งาน
9. พัฒนาระบบเก็บพลังงาน (Energy storage) ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในระดับอุตสาหกรรม ครัวเรือน และเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานนอกสถานที่ เช่น การแคมปิ้ง
10. ความร่วมมือวิจัยด้านพลังงาน เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของนักวิชาการ ช่วยขับเคลื่อนการลงทุนของภาคเอกชน เช่นที่ Chongqing University มีงานวิจัยเกี่ยวกับพลังงานสะอาด การรีไซเคิลวัสดุ พลังงานจากขยะ
ขณะที่ นักวิชาการ TEI เล่าต่อว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่นครฉงชิ่ง และรัฐบาลจีนเร่งส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2060 ด้วย เห็นได้ชัดจากการเดินหน้าส่งเสริม และกระตุ้นภาคเอกชนปรับตัวด้านธุรกิจพลังงาน
ทั้งนี้ หากเปรียบกับประเทศไทยที่ตั้งเป้าจะบรรลุเป้าหมายนี้ภายในปี 2030 ก่อนจีน แต่มาตรการด้านพลังงานสะอาดของเรายังมีน้อย และยังได้ทราบจากภาคเอกชนในการประชุมที่ฉงชิ่งเป็นเสียงเดียวกัน ว่าความก้าวหน้าในการพัฒนาด้านพลังงานสะอาดทุกวันนี้ เป็นเพราะนโยบายและมาตรการส่งเสริมจากรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้การพัฒนาด้านพลังงานสะอาดของจีนรุดหน้าไปมาก ได้มีการพัฒนาโครงสร้างทางพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลกระจายทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันจีนยังใช้แหล่งพลังงานส่วนใหญ่จากถ่านหินกว่า 50% และน้ำมันดิบเกือบ 20%
ขณะเดียวกัน จีนมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ซึ่งสังคมคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด มีการพัฒนาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการบริโภคและการใช้พลังงานสูงขึ้น ซึ่งที่นักวิชาการจีนให้ข้อมูลว่า รัฐบาลจีนจะยังคงผลิตพลังงานจากแหล่งฟอสซิลต่อไป เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศเอาไว้.