ธนาคารกสิกรไทย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง ร่วมกับลอมบาร์ด โอเดียร์ จัดงานเสวนาขับเคลื่อนประเทศ ตามแนวคิด RETHINK SUSTAINABILITY ผลักดัน 4 อุตสาหกรรมหลัก เพื่อปฏิวัติสู่ความยั่งยืน
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ธนาคารกสิกรไทย โดย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง และลอมบาร์ด โอเดียร์ ร่วมจัดงานเสวนาด้านความยั่งยืน "RETHINK SUSTAINABILITY : A CALL TO ACTION FOR THAILAND" เพื่อผลักดันและเร่งให้เกิดการลงมือทำ เปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน จากการเล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนร่วมกัน ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการลงทุน
สร้างเศรษฐกิจ และเพิ่มการลงทุนในธุรกิจ ที่สามารถสร้างความยั่งยืนแห่งอนาคต ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาหารและการเกษตร ปิโตรเคมี และพลังงานหมุนเวียน พร้อมตอกย้ำบทบาทสำคัญของนักลงทุนในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งชี้โอกาสในการลงทุน เพื่อความยั่งยืนด้วยเม็ดเงินในการกระจายการลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) ภายในปี พ.ศ. 2573
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ เป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความพยายามในการทำให้อุณหภูมิโลกไม่เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 ดังนั้นทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจและประชาชน จะต้องปรับตัวเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน "RETHINK SUSTAINABILITY : A CALL TO ACTION FOR THAILAND งานเสวนาด้านความยั่งยืนแห่งปี จึงจัดขึ้นเพื่อมุ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยก้าวไปสู่ความยั่งยืน ตามแนวคิด "RETHINK SUSTAINABILITY"
เพื่อกระตุ้นให้ประเทศไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง มุ่งไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการยึดโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนและ CLIC® Economy มาเป็นแกนหลักในการเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในระยะยาว ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว ตลอดจนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย 4 แรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การกำหนดนโยบายและกฎเกณฑ์จากภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการเลือกลงทุนของนักลงทุน
แต่ละภาคส่วน ล้วนมีบทบาทที่แตกต่างกัน ในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และต้องอาศัยความร่วมมือจึงจะบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนประเทศไทย เพื่อก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ในฐานะสถาบันการเงิน ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อก้าวสู่ Net Zero อย่างจริงจัง ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดงานเสวนาในครั้งนี้ ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง
ด้าน นาย อูแบร์ เคลเลอร์ Senior Managing Partner, Lombard Odier กล่าวว่า ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ที่ถูกมองว่ามีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญต่อเศรษฐกิจในการสร้างผลผลิต รวมถึงโอกาสการลงทุนได้อย่างมหาศาล
ตอนนี้เรากำลังมองไปที่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ครั้งใหม่ ที่วางให้ธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญและหันมาสร้างคุณค่าจากธรรมชาติให้มากขึ้น และยังต้องสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืน
โดยงานเสวนาในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานสำคัญ ทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันสร้างแรงขับเคลื่อนความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) รวมถึงหน่วยงานระดับโลกอย่าง Systemiq และ The Alliance to End Plastic Waste ที่มาร่วมแบ่งปัน แลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด ตลอดจนบทบาทและแนวทางปฏิบัติ เพื่อหารือร่วมกันในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ได้แก่
1. การปรับตัวให้ทันเศรษฐกิจโลก เพื่อสร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไทย
เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ตลอดจนความท้าทาย และโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ในเรื่องนโยบายและกฎเกณฑ์จากทางภาครัฐ การสร้างระบบนิเวศและแพลตฟอร์มที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่าน เพื่อนำมาซึ่งประโยชน์กับทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
2. สร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ เป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สูงถึงร้อยละ 8 จากจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด จึงเป็นเรื่องสำคัญในการระดมความคิด เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา เปลี่ยนแปลงวิถีการท่องเที่ยวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พร้อมคว้าโอกาสในการลงทุนจากอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้าง GDP รวมของโลกได้สูงถึงร้อยละ 10
3. ระบบอาหารแห่งอนาคต บริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ยั่งยืน
ปัจจุบันทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น คาดว่าภายในปี 2593 จะมีจำนวนประชากรเพิ่มราว 1 หมื่นล้านคน นำไปสู่ความต้องการด้านอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 60-100 การเสวนานี้เน้นเจาะลึกประเด็นด้านการเกษตร ห่วงโซ่อาหาร และแนวทางการผลิตรูปแบบใหม่ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่สร้างผลิตผลที่เพิ่มขึ้นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
4. พลาสติกหมุนเวียน อุตสาหกรรมเคมีแห่งอนาคต
อุตสาหกรรมเคมี ในการผลิตพลาสติกรูปแบบใหม่ ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะสร้างความยั่งยืนแก่สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าในอนาคต พลาสติกจะเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตโดยต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนด้านนี้ ราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี พ.ศ. 2583
5. อนาคตพลังงานทางเลือกของประเทศไทย กับโอกาสในการลงทุน
ก๊าซเรือนกระจกกว่าร้อยละ 73 มาจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบของพลังงานดังกล่าว มาเป็นพลังงานไฟฟ้าจึงมีความสำคัญ ในช่วงนี้จะเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้ และแนวทางในการปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ เพื่อโลกที่สะอาดและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ถือเป็นภารกิจระดับโลก ประเทศผู้นำที่มีความพร้อม สามารถกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืน ที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทุกประเทศ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความท้าทายเป็นอย่างมากต่อประเทศไทย
งานเสวนาด้านความยั่งยืนในครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของธนาคารกสิกรไทย ในการเป็นองค์กรที่เพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า (To Empower Every Customer’s Life and Business) เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนผ่านบทบาทในการส่งเสริมเงินทุน เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน โดยเชื่อมั่นในการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น
ขณะที่ นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เราเชื่อมั่นว่าในอนาคตการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ว่าองค์กรเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่นำเสนอแนวทาง และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Solution Providers) หรือกลุ่มธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต หรือรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero (Transition Candidates)
กลุ่มเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไปสู่ความยั่งยืนได้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอมบาร์ด โอเดียร์ ที่ผลักดันแนวคิด CLIC® Economy เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero
ดังนั้น เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำแนะนำการลงทุน จึงมุ่งส่งเสริมให้นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ให้เป็นแกนนำสำคัญในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม เน้นลงทุนในธุรกิจและสินทรัพย์ที่มีการสนับสนุนเศรษฐกิจที่สร้างความยั่งยืนแก่โลก.