"เอสซีจี" มุ่งสร้างสังคม Net Zero ด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus จับมือชุมชนส่งเสริมการสร้างป่า ลดฝุ่น PM 2.5 พร้อมเร่งผลิตปูนคาร์บอนต่ำ ลดเหลื่อมล้ำให้ชุมชนพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
วันที่ 6 ก.พ. 2567 นายโอบบุญ แย้มศิริกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน Enterprise Brand Management เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus เร่งสร้างสังคม Net Zero ที่น่าอยู่ ตั้งเป้าบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ทุกธุรกิจมุ่งใช้กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนานวัตกรรมรักษ์โลก
รวมทั้งร่วมกับทุกภาคส่วนลดเหลื่อมล้ำ ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ได้แก่ โครงการรักษ์ภูผามหานที เพื่อให้ชุมชนมีน้ำใช้ตลอดปี ด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำ ซึ่งทำไปแล้วกว่า 120,000 ฝาย และโครงการพลังชุมชน อบรมให้ความรู้ เปลี่ยนวิธีคิด สร้างอาชีพ มีรายได้เพิ่มจากการเพิ่มมูลค่าสินค้าในท้องถิ่นให้โดดเด่นและตอบความต้องการตลาด ปัจจุบันมีผู้ร่วมเข้าทั้ง 2 โครงการ กว่า 200,000 คน จาก 500 ชุมชน ใน 37 จังหวัด เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง
ทางด้าน นายวรการ พงษ์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด กล่าวว่า “ตั้งแต่วันแรกที่เอสซีจี ลำปางก่อตั้งขึ้น เรายึดหลัก “สร้างงาน สร้างความเจริญ รักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นพลเมืองดีของลำปาง” ดำเนินงานโดยคำนึงถึงการอยู่ร่วมกับชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก ด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Manufacturing) โดยเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทดแทน ร้อยละ 40 อาทิ ชีวมวล (Biomass) ขยะมูลฝอยจากชุมชน (RDF) วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด กิ่งไม้ใบไม้ จากโครงการ “ชิงเก็บ ลดเผา” ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ได้อย่างดี และเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ร้อยละ 26 ด้วยการติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำ โซลาร์รูฟท็อป นำลมร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ (Waste Heat Generator)
อีกทั้งใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุกหินปูน-รถตัก-รถขุดไฟฟ้าในโรงงาน ขณะเดียวกันยังผลิตปูนคาร์บอนต่ำเป็นรายแรกของไทย ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.05 ตัน CO2 ต่อการผลิต 1 ตัน ปัจจุบันส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย หมู่เกาะมัลดีฟส์ และปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ รุ่นที่ 2 ซึ่งสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกอีกร้อยละ 5 นอกจากนี้ ยังส่งเสริมองค์ความรู้และเทคโนโลยีบริหารจัดการน้ำให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง ผ่านการสร้างฝายชะลอน้ำ การปลูกป่าชุมชน และต่อยอดสู่การพัฒนาอาชีพ
นายสงกรานต์ เป็นพวก ผู้ใหญ่บ้านสาแพะเหนือ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง กล่าวว่า “ช่วงปี 2558-2559 เกิดภัยแล้งรุนแรง ต้นข้าวยืนต้นแห้งตายเกือบทั้งหมู่บ้าน ชุมชนจึงเข้าร่วมโครงการรักษ์ภูผามหานที กับเอสซีจี ลำปาง เรียนรู้การบริหารจัดการน้ำควบคู่กับการดูแลป่าต้นน้ำ เช่น สร้างฝายชะลอน้ำ ฝายใต้ทราย วังเก็บน้ำ ประตูเปิด-ปิดน้ำ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำให้อ่างเก็บน้ำชุมชน “อ่างห้วยแก้ว” ได้ถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ทั้งยังลดการสูญเสียการจ่ายน้ำด้วยการทำบ่อพวงคอนกรีตตามสันเขา ชุมชนจึงสามารถกักเก็บน้ำเพื่อเพาะปลูกได้ตลอดปี เน้นพืชมูลค่าสูง ขายได้ราคาดี เช่น ถั่วพุ่ม ถั่วแระญี่ปุ่น ข้าวโพดหวาน และผลไม้ยืนต้น เช่น เงาะ ทุเรียน สร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ยปีละ 20 ล้านบาท”
นายสุมัย หมายหมั้น นายกสมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชน จ.ลำปาง กล่าวว่า “เพื่อสนับสนุนชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าอย่างยั่งยืน ภาครัฐ เอกชน ประชาชนจึงร่วมกันก่อตั้งเครือข่ายป่าชุมชนเมื่อปี 2552 และขยายผลสู่การก่อตั้งสมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชน จ.ลำปาง ในปี 2564 โดยสมาคมฯ และเอสซีจี ลำปางได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้ง “กองทุนคาร์บอนเครดิตชุมชน” ปัจจุบันมีชุมชนเข้าร่วมกว่า 250 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ 500,000 ไร่ สามารถดูดซับคาร์บอนได้ 250,000 ตัน CO2 ต่อปี ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยแล้ง น้ำท่วม หมอกควัน ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5”
นอกจากการดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการรักษ์ภูผามหานที เอสซีจียังมุ่งลดเหลื่อมล้ำสังคม 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การศึกษา อาชีพ และสุขภาวะ โดยในด้านอาชีพ เอสซีจีริเริ่มโครงการพลังชุมชน ซึ่งเป็นหลักสูตรอบรมวิสาหกิจชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างโอกาสให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง ช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม จากตัวอย่างความร่วมมือของทุกภาคส่วนและบุคคลหลากหลายวัย ส่งผลให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และนำไปสู่เป้าหมายสังคม Net Zero ได้.