สิงห์อาสา ร่วมมือกับ ม.แม่โจ้ และชาวบ้านในพื้นที่ เร่งขยายผลพื้นที่ปลูกต้นไม้ทดแทนไฟไหม้ป่า หลังพบผลสำเร็จต้นไม้ที่ปลูกปีที่แล้ว รอดกว่า 80-90% หวังมีส่วนช่วยลดโลกร้อน
สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือฯ พร้อมด้วย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย, หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.13 (สันป่าตอง), สภาลมหายใจเชียงใหม่, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก, เทศบาลตำบลบ้านปง พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคเหนือ 13 สถาบัน ร่วมปลูกต้นไม้ในชุมชนต้นแบบ 8 หมู่บ้านในพื้นที่ อ.หางดง และ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ในโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” เพื่อช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟป่า ด้วยการปลูกต้นไม้รักษาแนวป่า เพิ่มพื้นที่ป่าจากเดิมที่ถูกเผาทำลาย พร้อมหวังว่าพื้นที่ป่านี้ จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนด้วย
ซึ่งจากการสำรวจต้นไม้ จากการปลูกป่า ในโครงการ "ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน" เมื่อปีที่ผ่านมา พบอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ที่ปลูกทดแทนสูงถึง 80-90% ส่วนหนึ่งมาจากการมีส่วนร่วมในการดูแลต้นไม้ของชาวบ้าน รวมถึงการยืนยันแนวคิดที่ว่า เลือกต้นไม้ให้เหมาะสมกับพื้นที่และมีประโยชน์ต่อชุมชน ก็จะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์การอยู่รอดของต้นไม้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บรรจง สมบูรณ์ชัย อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นักวิชาการที่ปรึกษาในโครงการ อธิบายว่า โครงการปลูกต้นไม้ทั่วไป พบว่าจะมีต้นไม้รอดจากการปลูกเพียง 20-25% เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ที่ดี คือต้องเพิ่มอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ให้ได้มากกว่าเดิม ซึ่งปีที่แล้วเราวางเป้าหมายไว้ 50% แต่จากการสำรวจพบอัตรารอดชีวิตของต้นไม้ที่ปลูกเฉลี่ยสูง 80-90% เนื่องจากมีการเลือกพื้นที่การปลูก และเลือกต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ทั้งพันธุ์ไม้อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่า พันธุ์ไม้ที่เป็นยา และอาหารของสัตว์ป่า รวมถึงมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชน ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลหลังการปลูก
ดังนั้น การปลูกต้นไม้ในโครงการนี้จึงเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า และตรึงแนวป่าเอาไว้ไม่ให้ถอยร่นเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งยังเป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาป่าที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นการพึ่งพาและอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
นายประโภชน์ เกิดเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด เปิดเผยว่า การรักษาป่าต้นน้ำ ทั้งการปลูกป่า หรือป้องกันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ถือเป็นภารกิจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ เพราะในแต่ละปีพื้นที่ป่าเหล่านี้ถูกไฟป่าทำลายเป็นจำนวนมาก และไฟป่าก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่าเดิม และเพิ่มสัดส่วนการรอดของต้นไม้ จึงเป็นแนวทางการรักษาป่าต้นน้ำ ในขณะเดียวกันก็เป็นการลดการเกิดไฟป่าและลดผลกระทบจากฝุ่นควัน PM 2.5
โดยโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ปลูกต้นไม้ฟื้นฟูผืนป่าในพื้นที่ที่เคยเกิดไฟป่า โดยคัดเลือกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่เหมาะสมกับพื้นที่ และชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้ เพื่อให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในการได้ใช้ประโยชน์ และร่วมดูแลต่อไป
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เสนาวงค์ นักวิชาการชำนาญการพิเศษ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เผยว่า จากสถานการณ์โลกรวนในปัจจุบัน เป็นผลจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุให้โลกมีสภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น หนึ่งในวิธีการที่สามารถช่วยลดโลกรวนได้ คือ การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอน ซึ่งมีทั้งบลูคาร์บอน (Blue Carbon) คาร์บอนที่ดูดซับโดยระบบนิเวศทางทะเล เช่น หญ้าทะเล ป่าชายเลน และกรีนคาร์บอน (Green Carbon) ซึ่งเป็นคาร์บอนที่กักเก็บไว้ด้วยระบบนิเวศทางบก โดยเฉพาะป่าประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นป่าธรรมชาติ หรือป่าปลูกก็ตาม ดังนั้นการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ในวันนี้ ก็เท่ากับเป็นการช่วยเร่งการดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีมากที่สุดในชั้นบรรยากาศ
ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับชาวบ้านที่มาร่วมกันปลูกป่า เผยว่า หลังจากที่เราปลูกต้นไม้ไปแล้ว ชาวบ้านก็จะหมั่นขึ้นกันมาดูแลต้นไม้ที่ปลูก เพื่อให้เขาได้เติบโต ซึ่งในช่วงที่เกิดไฟป่า ก็จะมีอาสา ที่หมุนเวียนกันขึ้นมาดับไฟแบบทันท่วงที ทำให้เรารักษาพื้นที่ป่าตรงนี้ไว้ได้ พื้นที่ป่าเดิม ก็ไม่ถูกทำลาย หรือถูกทำลายน้อยมาก ขณะเดียวกัน เราก็ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วย
สำหรับการดำเนินโครงการในปีนี้ ทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สิงห์อาสา และบริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด พร้อมด้วยเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ จะเร่งต่อยอดขยายพื้นที่ปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่อง จาก 5 หมู่บ้าน เป็น 8 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ราว 150 ไร่ ใน อ.หางดง และ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยยึดหลักช่วยฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟป่า เพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดภาวะโลกรวน และยังเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน.