อยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 10 ปี สำหรับ น้ำชา ชีรณัฐ ซึ่งปัจจุบัน น้ำชา ได้แต่งงานกับ ดร.วาว ดิลก ลัทธพิพัฒน์ มีลูกชายที่น่ารัก 1 คน คือ น้องน้ำทะเล ใช้ชีวิตเป็นคุณแม่แบบเต็มตัว ดูแลลูกชายด้วยตัวเอง แม้ว่าจะมีลูกแล้ว แต่ น้ำชา ก็ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งออกกำลังกาย และรักษารูปร่างให้ดูดีอยู่เสมอ

ล่าสุด น้ำชา ได้มาแชร์มุมมองการใช้ชีวิตเอง ผ่านทางรายการ Sisterhood EP.9 "ปลดล็อก Materialism ด้วยการเรียนรู้จากความสูญเสีย" ทางช่องยูทูบ Mirror Thailand โดยมี แนท ธนวลัย วัชรพล เป็นพิธีกรดำเนินรายการ โดย น้ำชา ได้เล่าว่า 

- ผ่านไป 10 ปีจากที่เข้าวงการมา ตอนนี้ทำหลักๆก็จะมี 3 เรื่อง ก็คือเป็นคุณแม่ ช่วยคุณแม่ทำงาน แล้วก็มีงานของตัวเอง มีงานออนไลน์ที่ทำมา 5-6 ปีแล้ว

- น้ำชาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากๆ โดยเฉพาะกับร่างกายมากกว่าจิตใจ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เหมือนเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว

- ใช้เวลาในการฟื้นหุ่นหลังจากให้นมลูก 3 เดือน ช่วงที่ให้นมก็มีการควบคุมอาหารทำให้หุ่นลงเร็ว เหมือนตอนที่ยังไม่ได้ท้อง แม้กระทั่งตอนท้องก็ยังไม่หยุดออกกำลังกาย

...

- คุณแม่กลัวช่วงที่ท้องแล้วน้ำชาออกกำลังกาย ก็มีการหาข้อมูล แล้วก็ให้ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นเทรนเนอร์สำหรับผู้หญิงท้องเลย

- การที่น้ำชาฟื้นตัวกลับมาได้ไวหลังคลอด เกี่ยวกับการออกกำลังกายและควบคุมอาหารด้วย ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ มันเป็นเหมือนกับการให้คุณค่ากับตัวเอง

- ก็จะมีเพื่อนหลายคนที่บอกว่า “อยากผอม” แต่แป๊บหนึ่งก็จะหยิบแฮมเบอร์เกอร์มากิน น้ำชาเลยรู้สึกว่าต้องเริ่มจากตัวเองก่อนเลย ถ้าอยากผอมก็ต้องเปลี่ยนความคิดในการทาน

- “การที่คุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ทำอยู่แปลว่าคุณเลือกแล้ว” น้ำชาว่า เป็นคำที่ใช้ได้กับทุกเรื่องเลย

- น้ำชามีความเป็น Perfectionist จนเหมือนมีความจิต ๆ นิดหนึ่งในเรื่องออกกำลังกาย ค่อนข้างเห็นคุณค่าของการออกกำลังกายมาก

- ทำให้เอาไปใช้ในเรื่องอื่นๆ เหมือนพอเป็นเรื่องงานก็ทำให้สุด อย่างงานออนไลน์ที่ทำ คนส่วนใหญ่ทำมา 6 เดือน - 1 ปี ก็เลิกทำ แต่น้ำชาทำได้เรื่อยๆ ทำมา 5-6 ปีแล้ว ก็ทำไปเรื่อยๆ หรือแบบอะไรที่เราทำเกิดไม่เวิร์คขึ้นมา ก็จะมีความอดทนสูงกว่าคนปกติทั่วไป

- น้ำชามีความคิดโตขึ้นจากการได้เรียนรู้จากความตาย มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มีคนบอกว่าใช้ทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายนะ เราก็ฟังๆ ไป พอเกิดขึ้นกับตัวก็รู้สึกว่ามันกระตุกแล้ว ว่าความตายมันได้ทุกเมื่อจริงๆ นะ

- การผ่านเหตุการณ์จากทั้งการสูญเสีย และการมีลูก ทำให้น้ำชาโตขึ้นมาก หลังจากเหตุการณ์ที่น้ำชาสูญเสียคุณพ่อ ทำให้ถึงขั้นพบจิตแพทย์ คุณหมอก็ให้ปล่อยวาง ให้อภัยตัวเอง และอยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่รู้สึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ

- ตั้งแต่เสียคุณพ่อไป น้ำชาฮีลขึ้นมาก โฟกัสกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าและคนในบ้านมากขึ้น

- เมื่อก่อนติดเพื่อน ฟีลปาร์ตี้ บ้านคือที่ไว้นอน ใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านตลอด แต่ตอนนี้ให้ค่ากับคนที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านหรือใครก็ตาม เห็นค่ากับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยละเลย และปล่อยวางเรื่องวัตถุมากขึ้น

- เมื่อก่อนต้องมีกระเป๋า ต้องมีรองเท้า new collection เดี๋ยวไม่ทันเขา แต่ตอนนี้ไม่มีก็ได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย เสื้อหลักร้อยใส่บ่อยกว่าของแพงๆ ที่นอนอยู่ในตู้ด้วยซ้ำ

- ตอนคุณพ่อเสีย ต้องเลือกผ้าสำหรับเผา เป็นผ้าผืนละ 40-50 บาท กระตุกความคิดชามากว่า สุดท้ายยูไปแค่ตัวเปล่า กับผ้าผืนบางๆ ที่ญาติเลือกให้

...

- จากเหตุการณ์นั้น ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมันแค่นี้เอง ของแพงแค่ไหนก็เอาไปไม่ได้ ไม่ยึดติดกับอะไรแล้ว

- แต่ก่อนเอาแต่ใจ คิดว่าตัวเลือกเยอะ ทำอะไรก็ได้ ไม่ค่อยรักษาน้ำใจใคร เป็นคนขี้หึงแบบไร้สาระ

- มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า ทำไมฉันเป็นผู้หญิงที่เยอะสิ่งขนาดนี้ ไม่น่าอยู่ด้วยเลยจริงๆ ไม่เคยสะท้อนตัวเอง คิดว่าเขาผิดตลอด

- ตอนนี้โตขึ้นมาก นิ่งขึ้น เข้าใจความรักมากขึ้น ไม่หึง ไม่อะไรทั้งนั้น

- สามีเป็นคนที่ช่วยให้น้ำชาโตขึ้น ทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่แต่ก่อนไม่เคยคิด

- เมื่อก่อนเป็นคนไม่มีสเปซในความสัมพันธ์ ติดแฟน ขี้หึงมาก แต่พอโตขึ้นมารู้สึกว่าไม่ควรไปควบคุมใคร จะมองใครก็เรื่องของเขา เราก็มองคนสวยเหมือนกัน ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ตอนเด็กๆ ทำไมเราไม่คิดแบบนี้นะ

- ตอนนี้รู้สึกว่า "ความรักมันคือคู่ชีวิต" เป็นทั้งเพื่อน คนรัก พ่อ แม่ พี่ชาย น้องสาว ทุกอย่างรวมอยู่ในคนเดียวที่เราเลือกเป็นคู่ชีวิต

- ตอนเพลง "รักแท้ยังไง" ดังขึ้นมา คืองงมาก เพราะก่อนหน้านั้นปล่อยเพลงแล้วไม่เปรี้ยงเลย อยู่ๆ เพลงนี้ก็ดังข้ามคืน ตอนนั้นมันเป็นช่วงวัดใจเลย ถ้าเพลงนี้ไม่ดัง เราอาจจะไม่ได้ไปต่อในวงการแล้ว แต่พอมันเวิร์ค ก็คือ "ได้ไปต่อ"

- แม้จะโด่งดังขึ้นมา แต่น้ำชาก็ยังใช้ชีวิตปกติ ยังเป็นเด็กเนิร์ดๆ คนเดิม แค่ชีวิตยุ่งขึ้น จากเดิมที่ไปมหาวิทยาลัยได้ตลอด ก็กลายเป็นต้องขาดเรียนไปทำงานแทน

- ตอนเป็นนักร้อง น้ำชาไม่เคยหยุดทำธุรกิจ เพราะมี DNA ของคุณแม่ที่เป็นนักธุรกิจ และคุณพ่อที่เป็นศิลปิน เลยทำควบคู่กันมาเรื่อยๆ

- ไม่เคยเหลิงกับชื่อเสียง แต่ยอมรับว่าช่วงแรกก็มีติดแสงสีเหมือนกัน มีคนเข้ามาเยอะ บางคนอยู่กับเราตลอด แต่บางคนก็หายไปเมื่อเราไม่ดัง

- ตอนเข้าวงการได้เป็นตัวเองตั้งแต่แรก เค้าถามว่าเราอยากเป็นแบบไหน ใส่อะไร เราก็เลือกเอง ตอนนั้นอินสีสะท้อนแสงมาก ขนาดมีพาเลทแต่งหน้าสีจี๊ดๆ พกไปเอง

...

- การเป็นแม่สอนให้เรารู้จักการ "ให้" แบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Giving) พอมีลูกแล้วชีวิตเปลี่ยนเลย

- น้ำชาไปเรียนจิตวิทยาเด็กเกือบปี เพราะอยากเข้าใจและเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด

- วิธีเลี้ยงลูกที่เรียนมาคือ ไม่ใช่การตามใจง่ายๆ เช่น ถ้าลูกดิ้นจะไม่ตะคอกใส่ แต่ต้องเป็น "พวกเดียวกับเขา" เข้าใจอารมณ์เขาก่อน แล้วค่อยเบี่ยงเบนความสนใจ

- จิตวิทยาเด็กใช้กับผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนขี้โมโห ถ้าเข้าใจว่าความโกรธมาจากอะไร ก็จะตอบสนองได้ถูก

- ใช้ "ทฤษฎีแฮมเบอร์เกอร์" เวลาคอมเมนต์ใคร คือชมก่อน คอมเมนต์ตรงกลาง แล้วจบด้วยคำชม เพื่อให้ไม่เกิดความรู้สึกแย่

- ตอนเด็กๆ เป็นสายประกวด แต่แพ้ทุกเวที ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง แต่พอพยายามไปเรื่อยๆ จนชนะครั้งหนึ่ง เลยรู้ว่า "ดีนะที่ไม่ยอมแพ้ไปตั้งแต่แรก"

- ถ้าใครขาดความมั่นใจ ไม่มีใครช่วยได้เลย นอกจากตัวเขาเอง ต้องเป็นคนเลือกเองว่าจะเชื่อมั่นในตัวเองไหม

- อยากให้ผู้หญิงทุกคนมั่นใจในตัวเอง ไม่มีอะไรขวางเป้าหมายของเราได้ ตื่นมาทุกวัน ขอบคุณตัวเองหน้ากระจก แล้วบอกตัวเองว่า “ฉันเก่ง ฉันทำได้”

...

- ฝากเพลงใหม่ "หมอไหน" เป็นเพลงแซ่บๆ เกี่ยวกับความสวยความงาม ยุคนี้ผู้หญิงไม่ต้องอายเรื่องศัลยกรรม ถ้าทำแล้วมั่นใจ ทำไปเลย!