อยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 19 ปี สำหรับนักแสดงสาวคนเก่ง นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่ตอนนี้รับหลากหลายบทบาททั้งงานแสดงในวงการบันเทิง งานเบื้องหลัง และยังเปิดบริษัททำเกี่ยวกับแอปพลิเคชันร่วมกับสามี ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ซึ่งช่วงหลัง นุ่น ได้ผันตัวมาเป็นพนักงานเงินเดือนแบบฟูลไทม์ และพัฒนาแอปพลิเคชัน ECOLIFE เกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อม และยังคงวาดลวดลายการแสดงในช่องยูทูบของตัวเอง อย่าง "นุ่นศิ การละคร ‪@GoodnoonDay‬"

ล่าสุด นุ่น ได้มานั่งเปิดใจอัปเดตเรื่องราวที่ไม่มีใครเคยรู้ อีกทั้งยังมาจับฉลากแชร์เรื่องราวของอารมณ์ต่างๆ ทั้งความอายและความแค้น ที่เกิดขึ้นในใจของตัวเอง ผ่านทางรายการ Mirror Talk : Mood Talk ทางช่องยูทูบ MIRROR THAILAND

ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน
ทำงานออฟฟิศแบบฟูลไทม์

ชีวิตตอนนี้เป็นมนุษย์เงินเดือน รับเงินเดือนทุกวันที่ 28 ทำงานกับพี่ท็อป สามี มานานมาก และเป็นพนักงานบริษัทมานาน ทำงานเบื้องหลังมาตลอด แต่ว่าคนไม่รู้ เพราะว่าเราทำงานเบื้องหน้าซะส่วนใหญ่ คือเป็นนักแสดงมีงานปีละเรื่อง - สองเรื่อง มาปีนี้กลับมาโฟกัสงานของบริษัท ทำเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ทำงานแบบฟูลไทม์ เป็นงานหลักที่ทำกับท็อปเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แล้วเราก็มาโฟกัสในเรื่องของการทำเทคโนโลยี เป็นแอปพลิเคชัน ที่ชวนคนมาเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกนั้นก็จะเป็นงานของ นุ่น เองที่มาทำจริงจัง เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์คือ นุ่นศิ การละคร ซึ่งมาจากความที่เราอยากเล่นละครเวทีล้วนๆ โดยการชวนคนที่เป็นนักแสดง ที่เรารู้สึกว่าน่าจะทำงานด้วยกันได้ ชวนเขามาเล่น เลยเกิดเป็น นุ่นศิ การละคร

...

ยอมรับอาย
ที่จะพูดภาษาอังกฤษ

เมื่อถามถึงความอาย นุ่น ศิรพันธ์ ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่กล้าบอกใคร ทั้งๆ ที่เราเป็นคนที่อ่านภาษาอังกฤษเวลาทำงานเป็นเล่มๆ เลยนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่เจอคนที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ ก็จะอายเวลาสื่อสาร แล้วมันทำให้เราไม่กล้ารับงานต่างประเทศเลย ไม่ใช่ว่าไม่มี มีเยอะมาก แต่เรารู้สึกว่าอายที่ต้องพูดภาษาอังกฤษที่จะต้องออกสู่สาธารณะ ถ้าต้องไปเที่ยวอันนี้สื่อสารได้ ไม่ตาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องพูดต่อหน้ากล้อง หรือเป็นทางการ ความเกร็ง ความอายมันจะไม่กล้าเลย

อย่างเวลามีออดิชันหนังจากต่างประเทศ ไม่ไป และไม่กล้าบอกผู้จัดการด้วยทำไมไม่ไป ก็เพราะอายที่จะพูดภาษาอังกฤษ เราไม่มีความมั่นใจเลย ไม่ใช่ไม่มีความรู้ รู้แต่พูดไม่ออกจริงๆ ส่วนพี่ท็อปจะเก่งภาษามากๆ เวลาไปต่างประเทศที่ต้องไปคุยงาน พี่ท็อปจะประกบและพูดแทน เรารู้สึกว่าความอายอันนี้มันมีอิทธิพลต่อการทำงานมาก ประโยคที่เราจะสื่อสารออกมา เราพูดได้นะ แต่พอมีกล้องเรากลัวสำเนียงมันไม่ถูกต้อง กลัวไปหมด และอายที่จะพูด

นี่คือความอายที่ไม่ใช่แค่กระทบความรู้สึก แต่กระทบหน้าที่การงานด้วย กลายเป็นว่าคนที่จะไปโปรเจกต์ของบริษัทคือพี่ท็อปกับน้องไป ส่วนงานแสดงจะไม่รับเลย แม้ว่าในสมัยนี้มาตัวช่วยหลายๆ อย่าง ทั้งครูสอน หรือแม้แต่ที่เขาบอกว่าให้พูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยก็ได้ เรายังอาย ตอนนี้อายุ 42 ยังอายเลย มั่นใจว่าจะไม่ได้เห็นนุ่นแน่นอนในหนังที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ จนกว่าหนังต่างประเทศจะให้เราพูดภาษาไทย

เคยคิดอยากแก้แค้นพ่อแม่
แต่สุดท้ายตั้งใจจะไม่ทำให้ท่านเสียใจอีก

ที่บ้านคุณพ่อรับราชการ คุณแม่เลี้ยงเรามาด้วยความยากลำบาก แม่จะเป็นครู เขาก็จะเล่าความยากลำบากในตอนนั้นให้ฟัง เขาต้องไปสอนที่อ่างขาง เดินทางไปด้วยเรือ ตอนนั้นยังไม่มีทางรถยนต์ และแบกท้องที่กำลังท้องเรา 9 เดือนไปอยู่บนดอย ไม่มีไฟฟ้าใช้ อยู่ด้วยความลำบาก เราเลยรับรู้ความรักของแม่ที่มีต่อเรา แต่ในขณะเดียวกันที่บ้านก็เข้มงวดมากๆ ตั้งใจให้เราเรียนเป็นหมอ การเรียนต้องห้ามได้เลข 2 ตัว ต้องสอบได้ที่ 1-9 เท่านั้น เราเคยสอบได้ที่ 10 แล้วถูกแม่ตี พอเรียนมัธยมต้องได้เกรด 3 กว่าขึ้น เหมือนมันมีก้อน KPI ในชีวิตตลอด

แล้วถูกบีบบังคับว่าต้องเป็นหมอ ทั้งๆ ที่ใจเราอยากเล่นละครเวที แต่ก็เลือกไม่ได้ ต้องยอมเรียนสายวิทย์ แล้วคิดว่าต้องเป็นหมอ มาเข้าใจตอนนี้ว่า มนุษย์ทุกคน เวลาที่ถูกกดดันมากขึ้น แล้วเราไม่ได้ยอมรับด้วยใจ แต่ยอมเพราะเขาเป็นพ่อแม่ ข้างในเราไม่ได้ยอมนะ แล้วเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกเราถูกบีบคั้น และเราจำเป็นต้องทำต่อเรื่อยๆ ถึงจุดๆ หนึ่ง เราไม่สนใจแล้ว และอยากแก้แค้น

...

อยากแก้แค้นแม่ตัวเอง ไม่อ่านหนังสือเพื่อเอ็นทรานซ์ ทั้งๆ ที่เราเป็นเด็กเรียนมาตลอด พอถึงจุดที่เราไม่อยากอ่านหนังสือ อยากเอ็นทรานซ์ไม่ติด ไม่อยากเป็นหมอ เพราะเราทนความกดดัน ต้องทำตารางอ่านหนังสือ คือเราเอียนจนเราไม่อยากอ่าน แล้วมีต่อมที่เราอยากเอ็นทรานซ์ไม่ติด อยากให้แม่เสียใจบ้าง เพราะเราเสียใจเหลือเกินที่เราไม่ได้เรียนในสิ่งที่เราอยากเรียน แล้วต้องมาทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ตอนนั้นคือเด็กที่อยากเอาชนะมากๆ

แล้ววันที่เรารู้ว่าเราสอบหมอไม่ติด ลึกๆ เราสะใจมาก เอาซองไปให้แม่ดู สิ่งที่เราคาดหวังคือ เราอยากเห็นแม่เสียใจ แต่สิ่งที่แม่ตอบกลับมาคือ เขากลัวเราเสียใจ เขาปลอบเราว่า นุ่นไม่ต้องเสียใจนะ แม่รู้ว่านุ่นพยายามมากๆ เลย แล้วเรารู้สึกโคตรเสียใจเลย ไม่เคยเสียใจอะไรมาก่อนเลย จากที่เราคิดว่า แม่ต้องร้องไห้สิ ไม่สมใจแม่ กลายเป็นเราเสียใจ มันเลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนก้อนแรกในชีวิตเราเลยว่า เราแปลความรักของแม่ผิดๆ ไปมาก แล้วแม่กับพ่อมากอดเรา เพราะกลัวเราเสียใจ ทั้งๆ ที่ในใจเราคือแบบ เราไม่อ่านหนังสือเลยเพราะอยากให้พ่อกับแม่เสียใจ จะได้รับรู้ความเสียใจในสิ่งที่เราไม่ได้เรียน ตั้งแต่ตอนนั้นก็ตั้งปณิธานว่า ชีวิตนี้จะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจอีก

...