เคยเจอเรื่องแย่ๆ เข้ามาในชีวิตมากมาย แต่ ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ ก็สามารถตัดความ Toxic ในชีวิตออกไปได้ แม้ว่าในระหว่างทางจะยากลำบากขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้ว อย่าไปหมกมุ่นกับความ Toxic เหล่านั้น เพราะชีวิตมันสั้น ควรที่จะมูฟออนดีกว่า
ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้มานั่งแชร์มุมมอง แชร์ประสบการณ์เรื่องที่ Toxic และคนที่ Toxic ในชีวิตให้ฟัง ผ่านทางรายการ Sisterhood EP.3 "อย่าปล่อยให้คน Toxic มีอิทธิพลกับชีวิตเรา ถ้าไม่น่ารักก็ตัดออกซะ" ทางช่องยูทูบ Mirror Thailand โดยมี แนท ธนวลัย วัชรพล เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ชีวิตไม่ต้องการอะไรมาก
แค่ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวันก็โอเคแล้ว
"รู้สึกว่า พอเราถึงอายุเท่านั้น ก็ไม่ต้องมีคนสำคัญในชีวิตมากมาย มีไม่กี่คนที่เป็นคนคุณภาพ แค่นี้เราก็แฮปปี้แล้ว ให้เราผ่านพ้นแต่ละวันไปได้ แค่นี้ก็โอเคแล้ว เพราะในชีวิตเราเจอมาหลายรูปแบบอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่า ถ้าเจอคนที่ Toxic กับชีวิตเราหรือคนที่ไม่โอเค จะปล่อยให้เขาไปยังไง อันนี้มันก็เป็นเรื่องยากนะ และผ่านความรู้สึกของเรามันจะผ่านพ้นไปทีละสเตจ สมมติแฟนทำเราเสียใจมากๆ แทงข้างหลังเรา เราก็จะผ่านขั้นตอนที่โกรธ เสียใจ จนไม่ไหวแล้ว เดินออกมา
คิดว่าคนเรามันถึงจุดที่ตื่นแล้ว และบอกว่าไม่เอาแล้ว มันก็จะไม่หวนกลับไป แต่ว่าถ้ามันยังไม่พร้อม เราก็พร้อมที่จะรีเทิร์นตลอดเวลา แต่ถ้าถึงวันที่พอแล้ว มันจะไม่เสียใจและย้อนกลับไปดูอีก
การที่จะไม่กลับไปเสียใจอีกเลย คิดว่าเป็นเรื่องของเวลา แต่มันก็แล้วแต่เคสด้วย บางเคสใช้เวลาน้อย บางเคสใช้เวลานาน อย่างถ้ามัวแต่เสียใจอาจจะไม่มีวันที่เดินต่อไปได้ มันก็ยังวนเวียนอยู่เหมือนเดิมถ้าเป็นคนที่เรารักมาจากกันไป แต่ถ้ารักมาก เฮิร์ตมาก ก็ใช้เวลานานหน่อย คิดว่ามันเป็นเรื่องของเวลาและกระบวนการว่าเราผ่านเรื่องแบบนี้มาได้มากน้อยแค่ไหน"
...
ชีวิตคนเรามันสั้น
จะมาหมกมุ่นกับความ Toxic ทำไม
"ที่ผ่านมาเราผ่านอะไรมาหลายอย่างในชีวิต ทั้งเรื่องเรียน เรื่องทำงาน ก็ต้องบอกว่า เป็นบทเรียนราคาแพง ซึ่งตอนนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ ก็ต้องบอกว่า เราเหมือนรู้และยอมรับกับเรื่องนี้ แต่พอรู้ใหม่ ก็เริ่มต้นใหม่ มันเลยไม่จบไม่สิ้น เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด ก็เลยทำให้เราเป็นโรลเลอร์โคสเตอร์อยู่ตลอด
เราก็ต้องดูว่าอะไรสำคัญในชีวิตเรา อย่างตอนนี้พูดได้เลยว่า ลูกกับครอบครัวเรา สำคัญที่สุด อะไรที่ทำให้เราเป็นแม่ที่ไม่ดี ไม่มีเวลาให้กับลูก หรือทำให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี เราก็ต้องกลับมามองแล้วว่า เราจะทำยังไง มาพัฒนาการดำเนินชีวิตยังไงเพื่อให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต บางทีการที่เรามาหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่แฮปปี้หรือคนที่ไม่มีค่ากับชีวิตเราต่อไป รู้สึกว่าจะหมกมุ่นไปทำไม เพราะชีวิตเรามันสั้น จะไปหมกมุ่นทำไม แน่นอนว่า เราก็ต้องมีกระบวนการของความเข้าใจ ยอมรับ และทำให้สามารถเดินต่อไปได้"
ลูกคือพลังบวก
เหมือนที่ชาร์จแบตพลังชีวิต
"การโฟกัสที่อนาคตและปัจจุบัน ทำให้เราก้าวข้ามผ่านสิ่งต่างๆ ไปได้ คือเราก็ต้องเลือกตัดสินใจให้ดีในวันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีข้างหน้า หรืออาจจะมองย้อนกลับมาก็ได้ว่า เป้าหมายของเราคืออะไร แล้วเราค่อยกลับมาดูว่าเราจะทำยังไงให้ทำถึงเป้าหมายได้ อะไรสำคัญในชีวิต คนที่สำคัญในชีวิตเราคือใคร ใครที่ Toxic ก็ตัดออกไป รู้สึกว่าไม่คุ้มค่ากับเวลา
และอีกอย่าง พอเรามีลูก เรารู้สึกว่าไม่ว่าจะเจออะไรมา พอได้มาเจอหน้าลูกเหมือนเราได้ชาร์จแบตพลังชีวิต พลังของลูกมันเป็นอะไรที่บริสุทธิ์มาก เขาไม่เคยมีอะไรให้เรารู้สึกเจอพลังลบเลย เลยคิดว่าเราควรจะเอาสิ่งนี้ไว้ในชีวิตเราให้มากๆ และให้เขาคืนกลับไปให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่โอเค เราก็ต้องมาสนใจกับมัน แต่อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันยังไง ถ้ามันปล่อยวางได้ มูฟออนได้ ก็น่าจะไปในทางนั้นมากกว่า"
พอเราโตขึ้น คนรอบข้างก็จะน้อยลง
ตามไลฟ์สไตล์ชีวิต แต่ไม่ใช่การแตกหัก
"พอเราโตขึ้นเรารู้สึกว่าคนรอบข้างเราน้อยลง ซึ่งมันเกิดขึ้นเอง อย่างเราคบเพื่อนคนนี้มาในวัยเด็กแต่พอเราโตขึ้นเราห่างกัน ไม่ได้ห่างเพราะทะเลาะกัน แต่มันเกิดจากการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน หรือ ไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน มันก็ห่างกันโดยธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าตัดออกไป คือแต่ละคนก็เลือกเส้นทางที่จะเดินในแต่ละชีวิตของตัวเอง ซึ่งทางเหล่านั้นก็จะไปเจอคนใหม่ๆ ในชีวิต ที่คิดเหมือนกัน ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน มันก็เลยอยู่ในชีวิตกันได้ แต่ถ้าถามว่า ต้องตัดใครสักคน มันก็คงมีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นจริงๆ ถึงหักกันไปเลย"
...
เผยชีวิตนี้เจอคนหักหลัง เหมือนปลิงดูดเลือด
ก็ดึงมันออก และมูฟออน
"ในช่วงชีวิตของเรามันก็เจอคนที่หักหลังเราบ้าง แต่อยู่ที่เราจะรับมือกับมันยังไง ขึ้นอยู่กับว่าการหักหลัง มันอยู่ในระดับไหน สำหรับเราเจอเคสที่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ เราคิดว่าเรารู้จักใครสักคน เราเห็นคนๆ นี้เป็นแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ มันทำให้เราเฮิร์ทมาก และรู้สึกว่าโดนหักหลังมากๆ ก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดคนๆ นี้ออกไปจากชีวิตเราได้เลย เพราะเขาไม่สามารถอยู่ในชีวิตเราได้อีกต่อไป
นอกเหนือจากการที่คุณมาหักหลังเราแล้ว มันทำให้เราเฮิร์ท และเหมือนชีวิตต้องมาเริ่มต้นใหม่ เราสนิทจนรักกันมากๆ เลเวลของการโดนหักหลังมันเลยยิ่งเฮิร์ทมากๆ ก็รู้สึกว่าบางทีมันก็ต้องดู ว่าเขาทำอะไรไว้บ้าง แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ จะเฮิร์ทขนาดไหนเราก็ต้องรู้ว่า ตัดเขาออกไปดีที่สุดแล้ว เราก็จะมูฟออนจากตรงนี้ได้ ไม่มาวนอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ
เราก็เจอคนมาในชีวิตหลายๆ ประเภท มันก็มีบางประเภทที่มาเอาจากเรา ก็เรียกว่าเป็นปลิงแล้วกัน เป็นปลิงดูดเลือด ก็ดูดเลือดไป พอเรารู้เราก็ควรที่จะดึงมันออก ถามว่าตัดไปแล้วดีมากไหม ดีมาก เลือดไม่จาง แต่กว่าเราจะตัดออกไปได้ ก็ใช้เวลานาน ครั้งแรกเราคิดว่าเขาคงไม่ทำหรอก ก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้าง จนกระทั่งพอเรารู้ เราถึงจะแบบยอมรับกับมันยังไงได้บ้าง ก็เสียใจ มันเกิดขึ้นได้ยังไง
...
จากนั้นก็รู้สึกโกรธ ทำไมถึงทำแบบนี้ จนสักพักก็รู้สึกว่าโอเคปล่อยแล้ว พอพูดถึงเราก็จะเอาไม่อะไรแล้ว ไม่มีความรู้สึกอะไรต่างๆ พอมันหมด ความรักไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ให้เหตุผลอะไร หรือจะเห็นอะไรมันไม่รู้สึกแล้ว เพราะความรู้สึกเรามันหมดไปแล้ว
แต่ท้ายที่สุดแล้วในการที่จะมูฟออน ก็ต้องดูว่าอะไรสำคัญในชีวิตเรา ชีวิตเรามันสั้น เราจะไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่เราไม่สบายใจ เราก็สู้ตัดมันไปเถอะ ยอมรับมันให้ได้และมูฟออน
ซึ่งเราก็ต้องทำใจของเราเอง และดึงเราออกมาได้เอง เพราะมันไม่มีใครที่จะดึงเราให้เดินออกมาได้ แม้ว่าเพื่อนจะเตือน เพื่อนก็จะโดนเกลียดกลายเป็นหมา ก็ต้องปล่อยให้เขาพร้อมเดินออกมา"
...