เคยต้องโทษเข้าไปอยู่ในเรือนจำกว่า 16 ปี สำหรับ แพท พาวเวอร์แพท วรยศ บุญทองนุ่ม อดีตนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง หลังโดนจับในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ (ยาอี) ซึ่งศาลตัดสินจำคุก 50 ปี ปรับ 1 ล้านบาท และถูกคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี เพื่อชดใช้ความผิดตามกฎหมายที่เจ้าตัวกระทำลงไป

แพท พาวเวอร์แพท เล่าประสบการณ์จริงในเรือนจำ ยิ่งคนมีลูกจะลำบากมาก อย่าทำผิดเลย

แต่แพทได้เลื่อนขั้นเป็นนักโทษชั้นดี ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และค่อยๆ ลดโทษลงมาจนสุดท้ายได้โอกาสออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกรั้วเรือนจำ เมื่อช่วงวันที่ 4 ม.ค. 2564 รวมเวลาทั้งหมดในเรือนจำ 16 ปี 8 เดือน

...

มาวันนี้ผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้ว ที่แพทได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก และปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมปกติได้เป็นอย่างดี เดินหน้าทำงาน ดูแลครอบครัว เพื่อชดเชยวันเวลาที่เสียไปได้เป็นอย่างดี

ล่าสุด แพท ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ "บันเทิงไทยรัฐออนไลน์" เล่าประสบการณ์ในเรือนจำว่าเป็นจริงตามที่คนพูดกันหรือไม่ว่า "ต้องกินข้าวแดง แกงปลาระเบิด" พร้อมทั้งเตือนทุกคนว่า อย่าเข้าไปอยู่เลย เพราะมันลำบากมากจริงๆ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันช่างยากเหลือเกิน

ยอมรับยุคก่อนเคยมีข้าวแดงจริง
แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นข้าวขาวแล้ว

"ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าในยุคของผมเป็นยุคข้าวแดงจริงๆ แต่มาตอนนี้เป็นข้าวขาวแล้ว สำหรับพวกผมในตอนนั้นข้าวอร่อยด้วย ไม่ได้เป็นข้าวออกสีเหลืองๆ แบบในภาพที่ออกมา แต่ในยุคข้าวแดง ยุคแรกๆ ที่พวกผมอยู่ เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่ามันก็กินลำบากเหมือนกัน

ผมไม่แน่ใจว่าเขาเรียกเป็นข้าวอะไรแต่มันไม่ได้เป็นข้าวที่ขัดสี ไม่ใช่ไรซ์เบอร์รี่ด้วย แต่ยุคนั้นกินลำบากจริงๆ จะมีความแข็งและอาจจะมีพวกเม็ดกรวดเม็ดทรายเข้ามาผสม ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ต้องขังเขาก็จะทำให้มันนิ่ม ถึงจะเอามากินได้ เช่น เอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มมีน้ำร้อนๆ มาเทใส่ข้าวลงไป คือทำให้มันนิ่มขึ้นมันก็จะทานได้

แต่ในยุคหลังๆ มีการพัฒนาในเรื่องของสุขลักษณะ เรื่องของการประกอบอาหาร เรื่องอาหารการกินของผู้ต้องขัง พัฒนามาเยอะมากๆ"

อาหารในเรือนจำไม่เป็นอย่างที่คิด
ไข่พะโล้อร่อย

"ปัจจุบันผมมั่นใจว่าหลายเมนูอร่อย ใช้คำว่าอร่อยได้เลย และก็มีเมนูต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ต้องขัง เรียกว่าถ้าเป็นวันที่หลวงจัดเมนูต่าง ๆ เหล่านี้มา จะหมดเกลี้ยง ซึ่งทางเรือนจำจะจัดเป็นตารางอาหารทุก 15 วัน ว่ามีอะไรบ้าง ก็จะจัดมาให้ผู้ต้องขังดู เพราะฉะนั้นผู้ต้องขังจะรู้ก่อนว่าเมนูที่ตัวเองชอบมันอยู่วันไหน เขาจะเฝ้ารอคอย ถ้ากินไม่อิ่มก็สามารถเติมได้

หลายเมนูที่เป็นที่ยอดฮิต ก็จะมีต้มจับฉ่าย ซึ่งเป็นเมนูที่ผมชอบ แต่ไม่ได้แนะนำให้คนเข้าไปกินนะ (หัวเราะ) ต้มข่าไก่ ซึ่งก็จะเป็นเนื้อสัตว์เลย ไม่ได้เป็นแค่โครงหรือกระดูกตามที่หลายคนคิด แต่ก็ไม่ได้ให้เยอะอะไรเหมือนที่เราไปซื้อทานเอง

อย่างไข่พะโล้ สำหรับผมนะ ที่บางขวาง ผมว่าอร่อย ส่วนที่มีข่าวออกมาว่ากินไม่ได้ ผมว่าเป็นที่อารมณ์ส่วนตัวมากกว่า ไม่ใช่รสชาติอาหารหรอก เป็นเรื่องของความเครียด อาจจะเป็นเรื่องของการปรับตัว หรือว่าการกังวลใจต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อร่างกาย

...

อย่างที่เราทราบอยู่แล้วว่าความคิดมันจะส่งผลต่อร่างกายเรา ชั่วโมงนั้นอาจจะทานอะไรก็ไม่ค่อยอร่อย ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไรก็ตามนะครับ ต่อให้คุณเอาอาหารที่ดีที่สุดมาวางไว้คุณก็ไม่อยากกินก็ได้ วันนั้นเป็นวันที่อยู่ในช่วงความทุกข์"

เมนูต้มยำปลาระเบิด อันเลื่องลือ
ตอนนี้ไม่มีแล้ว

"โห อันนั้นมันสมัยโบราณแล้ว สมัยตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ก็เคยเห็น ยอมรับว่ามันมีเรื่องนี้จริงนะครับ คือมันเละ ต้องเข้าใจบริบทก่อนว่า เนื้อปลามันนิ่ม พอทำเยอะ ๆ แล้วมีการต้ม ก็เป็นไปได้ที่มันจะเละ เขาโยนไปทั้งตัว เพราะคนเยอะแล้วไม่มีเวลาสับ

แล้วปลาก็ก้างเป็นปกติอยู่แล้ว พอทำเยอะ ๆ ต้มแล้วเนื้อนิ่ม มันก็เลยเละแค่นั้นเอง เขาก็ตักใส่ถาดหลุมให้ ปกติเราก็ต้องมานั่งแยกก้าง อันนี้คือสมัยก่อนนะ แต่เดี๋ยวนี้เมนูนั้นผมไม่เคยเจอมาเป็น 10 ปีแล้ว

แต่ว่าหลัง ๆ นี้ไม่เห็นแล้วนะ 10 ปีหลังไม่เห็นแล้ว ก็จะมีพวกแกง พวกของ เมนูบวชอร่อย พวกสาคูเปียก กินกันมันส์เลย"

ผู้ต้องขังนอนรวมกัน
พื้นที่จำกัดแค่พอดีไหล่

"ส่วนเวลานอน ในห้องนอนของผู้ต้องขังก็จะมีพัดลมอยู่แล้ว เป็นพัดลมเพดาน เขามีให้อยู่แล้ว แต่พื้นที่ในการนอนก็จะจำกัด เอาแค่พอดีไหล่ แค่พื้นที่ของเรา ก็จะนอนแบบไหล่ชนไหล่ แค่นั้นเลย

แต่หน้าร้อนก็จะค่อนข้างลำบาก คนมันเยอะ พอคนมันเยอะก็จะมีไอร้อนจากตัวคน ซึ่งพัดลมมันก็มีจำนวนจำกัด จะเป่าได้เต็มที่ก็เท่านั้น ก็ต้องมีการช่วยเหลือตัวเอง เช่น นอนถอดเสื้อ ทาแป้งเย็น ก่อนขึ้นตึก หรือจะมีการแอบเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดตัว"

ทุกอย่างลำบากมาก
หน้าร้อน นอนไม่ค่อยได้

"โห มันเป็นอะไรที่ลำบากมากนะในเรือนจำนี้ ยิ่งช่วงหน้าร้อนไม่พอนะ บางช่วงมีไฟดับด้วย มืด แล้วพัดลมก็ไม่หมุน มันก็ร้อน ต้องพยายามหาวิธีการที่ทำให้ตัวเองร้อนน้อยที่สุด นอนนิ่งๆ หลับตาทำสมาธิ อย่าขยับตัว ขยับตัวเมื่อไหร่มันจะเริ่มร้อน

อย่างเวลาขึ้นตึกนอน ผู้ต้องขังจะถูกให้ขึ้นไปบนตึกนอนประมาณเวลา 15.30 น. จาก 3 โมงครึ่งถึง 4 โมงเย็น เขาจะเปิดทีวีให้เราดู ตามรายการที่แต่ละเรือนจำจัดให้ ซึ่งมีการคัดกรองอยู่แล้วนะครับ แต่ไม่ใช่รายการสด จะเป็นวิดีโอ เขาจะจำกัดเรื่องข่าว ที่ดูรุนแรงเขาจะไม่ให้ดูนะครับ ส่วนใหญ่จะคัดกรองเรียบร้อยหมดแล้ว ประมาณ 3 ทุ่ม ทีวีก็ปิด ก่อนนอนก็จะสวดมนต์อีกรอบหนึ่ง

ตอนเช้าทุกคนจะตื่นด้วยเสียงสวดมนต์ มาจากทางทีวีเสียงตามสาย ต้องเก็บที่นอน ลุกขึ้นมานับยอดว่าอยู่กันครบไหม แล้วก็จะทยอยเปิดประตูเดินกันลงไป แต่ถ้าฟ้ายังไม่สว่างเขาก็จะยังไม่เปิดให้ลงไป ส่วนใหญ่ก็ประมาณ 6 โมงเช้า"

อยู่ในเรือนจำ
เหมือนอยู่อีกโลก

"โห ลำบากมาก ลำบากทั้งในเรื่องของการเป็นอยู่ ลำบากทั้งในเรื่องของสภาพจิตใจในการที่เราจะต้องมีความอดทนมากในความเป็นอยู่ แน่นอนครับในเรือนจำจะมีคนที่อยู่ข้างใน ที่เราเรียกว่าผู้ต้องขัง ค่อนข้างที่จะมีจำนวนมาก เรียกว่าค่อนข้างแออัด เพราะสถานที่ที่มีคนอยู่ร่วมกันเยอะๆ มันเกิดความวุ่นวายครับ ต่างคนต่างใช้ชีวิตและต่างคนต่างที่มา เพราะฉะนั้นเราจะหาความสงบไม่ได้เลย

และในเรื่องของกฎระเบียบต่างๆ ทุกอย่างฟิกซ์ไว้หมดแล้ว แล้วทำเหมือนเดิมแทบทุกวัน เพราะฉะนั้นในแต่ละวันมันจะเหมือนหนังที่กรอซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็จะเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความที่เราไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ อันนี้คือความทรมานที่อยู่ข้างใน

แต่แน่นอนทุกอย่างมันคือการฝึกตน ฝึกให้เราอดทน เราต้องอยู่กับการรอคอยทั้งสิ้น รอคอยญาติมาเยี่ยม รอคอยญาติมาฝากเงิน รอคอยข่าวคราวข้างนอก รอคอยจดหมายจากญาติ ทุกอย่างมันต้องรอ มันไม่ได้รวดเร็วทันใจนะครับ และชีวิตมันต้องอยู่ได้ด้วยกำลังใจจากตัวเองจริงๆ

เรื่องของกฎระเบียบต่างๆ เราไม่สามารถที่จะนอกคอกหรือผิดระเบียบได้ มันทรมานมากทั้งเรื่องของจิตใจ และการเป็นอยู่ อันนี้แค่ยกตัวอย่างนะครับ

มันก็เป็นอีกโลกหนึ่ง ประมาณว่าถ้าคุณอยู่ภายนอกแล้วคุณไม่สามารถที่จะทำตัวอยู่ในกฎหมายได้ ต้องเข้าไปอยู่ข้างใน ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เขากำหนดชีวิตของคุณ ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน เพราะฉะนั้นถ้ามีอิสระแล้ว ประคับประคองตัวเองอยู่ในลู่ทางได้ ก็จะดีที่สุด"

คนที่มีลูกทำใจยาก
ลำบากกว่าใคร 

"ผู้ต้องขังใหม่ที่เข้าไปต้องพยายามปรับตัวให้ได้ ใครปรับตัวได้เร็วก็จะสบายขึ้นเร็ว แต่ว่าตรงนี้มันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคน อย่างบางคนที่ผมเห็นจากประสบการณ์ที่เคยเห็น คนที่เขามีครอบครัว มีลูก จะค่อนข้างทำใจยากมาก ใครที่เป็นเสาหลักของครอบครัว ใครที่มีลูกเล็กๆ ทำใจยากจริงๆ"

ขันน้ำ คือของคู่กาย
สิ่งสำคัญเวลาเข้าห้องน้ำ

"ใช่ แต่เป็นสมัยก่อนนะ ในยุคแรกๆ มาสมัยนี้มันไม่ได้แล้ว สมัยนี้เขามีกฎเลยว่า ห้าม อย่างน้อยคุณก็ต้องใส่กางเกงใน หรือกางเกงขาสั้น แต่คืออาบน้ำรวมกัน

ส่วนห้องน้ำก็จะปิดแค่ครึ่งตัว ไม่ว่าเราจะทำธุระหนักหรือเบา ก็จะเห็นหน้าเห็นตากัน ตอนนั้นก็ปรับตัวยากมาก ผมใช้เวลานานเหมือนกัน การเข้าห้องน้ำในตอนนั้น ถ้าพูดตรงๆ ตอนนั้นก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ กว่าจะได้ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่เปลี่ยน

แม้กระทั่งเรื่องของการใช้ขัน เพราะว่าถ้าอาบน้ำรวมกันในรางยาวๆ ที่เราเห็น ก็ต้องใช้ขันตัก ขันจะเป็นอะไรที่คู่กายเรา

ถามว่าเวลาอาบน้ำเขากำหนดเวลาอาบไหม ไม่ได้กำหนดขนาดนั้น มันก็มีช่วงเวลาในการอาบอยู่ ซึ่งมันเป็นกฎของเขาแต่ละที่ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ถึงขั้น 5 นาที"

ใช้เงินได้วันละ 500
ห้ามฝากเกินเดือนละ 15,000 

"คือเรื่องของการเป็นอยู่ในเรือนจำ เขาก็จัดให้ตามสมควร ให้อยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นล็อกเกอร์ต่างๆ ในการเก็บเสื้อผ้าเก็บของใช้ แต่ก็จะมีพื้นที่จำกัด ส่วนเงินที่ให้ใช้ ณ ตอนนั้น ของผมก็จะเป็นวันละ 300 ทุกวันนี้ก็ 500 บาท แต่ว่าฝากเข้าคือห้ามเกินเดือนละ 15,000 บาท ก็ตกวันละ 500 บาท 30 วัน

ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงอาหารการกิน ที่เราจะต้องปฏิบัติตาม หรือว่าตามที่ราชทัณฑ์จัดให้ล้วนเป็นการเรียนรู้ เป็นการฝึกตนทั้งสิ้น ให้เรารู้จักพอเพียง ให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตคนเราไม่ต้องไปแสวงหามากมาย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเหมือนกับเกราะป้องกันเรา

วันหนึ่งถ้าเราพ้นโทษเราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ออกมาก็ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาอะไรจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เรือนจำเขาสอนเรา จากการที่เราใช้ชีวิตอยู่ในนั้น"

คนที่ไม่มีญาติส่งเงิน
ต้องทำงานแลก

"ถูกต้อง บางคนไม่มีญาติมาส่งเสีย บางคนเป็นผู้ต้องขังต่างชาติ บางคนเป็นชาวเขาชาวดอย ซึ่งเขาก็ต้องยอมรับว่าเขาขาดโอกาสตรงนี้นะครับ แต่อย่างที่เคยเล่าไป บางคนถ้าอยากจะกินอย่างที่เพื่อนที่เขามีญาติ เขาก็ต้องทำงานแลก ในการดูแลต่างๆ ซักเสื้อผ้าให้เพื่อนผู้ต้องขัง

หรือว่ารับจ้างบีบนวด หรือว่ารับจ้างในการเอาน้ำร้อนให้ในการที่จะมาต้มมาม่า แต่ก็คือแลกกันเป็นของทาน หรือแลกกันเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากจะได้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน หรืออะไรที่มันพิเศษขึ้นหน่อย เพื่อความเป็นอยู่ของเขาที่ดีขึ้น"

ยืนยันคนดังในนั้น
ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ

"อภิสิทธิ์ไม่มีหรอกครับ ผมว่าไม่มีหรอก ทุกคนมันก็อยู่ในกฎระเบียบเดียวกัน อาจจะโดนผู้ต้องขังด้วยกันมองแล้วก็จับตาดู ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเราหรอกครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสายตาเจ้าหน้าที่ และเดี๋ยวนี้เรือนจำเขามีระบบกล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นไม่อันตราย มันเรื่องความปลอดภัยของผู้ต้องขังเข้ามาด้วย

ยิ่งถ้าคนดังถ้าเขาทำตัวแปลกแยกเมื่อไหร่ จะถูกเพื่อนที่อยู่ด้วยกันแอนตี้นะครับ ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือเพื่อนที่อยู่ด้วยกันนะครับ เจ้าหน้าที่บางท่านเมื่อถึงวาระก็อาจมีโยกย้าย หรือเกษียณไป

แต่เพื่อนที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน สมมุติถ้าคดีเด็ดขาดแล้ว เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็น 10 ปี เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้เพื่อนยอมรับ การทำให้เพื่อนรู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ไม่ทำให้เขาหมั่นไส้ อันนี้สำคัญ"

เข้าไปแล้ว
ไม่ใช่จะออกมาดีทุกคน

"ถ้าพูดได้หมดก็คงไม่จริง ผมว่ามันก็แล้วแต่บุคคลมากกว่า ในเรื่องของจิตสำนึก ในเรื่องของปัจจัยต่างๆ มันล้อมกันหลายส่วนเหลือเกิน เพราะฉะนั้นให้มองเป็นรายบุคคลมากกว่าครับ

จะไปเหมารวมว่าออกมาแล้วต้องกลับไปทุกคนก็ไม่ใช่ หรือออกมาแล้วจะเป็นคนดีได้หมดก็ไม่จริง อันนี้ก็ต้องดูเป็นเคสเคสไป"

แพท ยังคงทำหน้าที่ในเรือนจำ
ไปเป็นวิทยากร พูดบรรยาย

"ผมไปเป็นวิทยากร บรรยายให้กำลังใจ เข้าไปร้องเพลง สร้างความสุข หรือเข้าไปแนะแนวในเรื่องของการใช้ชีวิตภายนอกให้กับผู้ต้องขังที่ใกล้จะถูกปล่อย ก็มีหลายอย่าง

ซึ่งอย่างที่ผมเป็นวิทยากร ผมก็จะพูดเล่าเรื่องราวของตัวเอง ที่เราเคยอยู่ข้างใน แล้วก็เปรียบเทียบให้กับเพื่อนๆ ข้างในได้มองเห็นในแง่มุมที่เป็นประโยชน์กับเขา กับชีวิตในเรือนจำ ว่ามันมีแง่มุมต่างๆ ที่เราหยิบฉวยมาเป็นประโยชน์ของตัวเองได้ ในการพัฒนาตัวเอง ในการหยิบจับมาเป็นอาชีพ ในการฝึกตนฝึกวินัยที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตภายนอก

เช่น การรู้จักประหยัดอดออม การอดทน และการที่จะให้เขาได้มองเห็นศักยภาพของตัวเอง ว่าตัวเองสามารถที่จะทำอะไรได้มากมายหลายอย่าง ถ้าเรามีความมุ่งมั่นจริงๆ

และก็เล่าเรื่องชีวิตในสภาพสังคมภายนอก ว่าเราจะมีอาชีพเดียวไม่ได้ เราต้องมีอาชีพที่ 2 ที่ 3 ให้เราเตรียมพร้อม สิ่งที่ราชทัณฑ์ฝึกให้เราอาชีพต่างๆ ล้วนหยิบจับมาดัดแปลงได้ สร้างอาชีพใหม่ๆ ขึ้นได้

ส่วนผมเรียนในด้านศิลปะมา ต่อมาผมก็มาทำ YouTube เอาศิลปะมาช่วยตัดต่อในการทำคลิปต่างๆ ผมเปิดบริษัทเล็กๆ และดูแลเกี่ยวกับเรื่องงานเพลงเอง มาออกแบบปกซิงเกิล มาบัตรปกคอนเสิร์ต หรือบัตรคอนเสิร์ตของที่ระลึก สามารถเอามาใช้ปรับได้ในทุกๆ อย่าง ที่เราทำได้อยู่ที่เราจะเลือกใช้"

4 ปีที่อยู่ข้างนอก
ยังต้องปรับตัวทุกวัน

"ชีวิตตอนนี้ดีมาก ก็สนุก แล้วก็เป็นอะไรที่เราต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ เพราะสภาพสังคมมันก็ปรับเปลี่ยนค่อนข้างเร็วนะครับ ซึ่งก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แต่ก็ยึดอยู่ 3 ข้อ ที่เคยพูดมาตั้งแต่แรก

เช่น ดูแลครอบครัวให้ดี ให้เต็มที่ ชดเชยเวลาที่หายไป แล้วก็ทำงานในส่วนของงานที่เรารัก ให้เต็มที่ด้วยความซื่อสัตย์ และในส่วนของสังคม ทำงานช่วยเหลือประโยชน์ของสาธารณะ ตามที่ตั้งใจไว้ก็ยังยึดอยู่ใน 3 ข้อนี้"

ขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว
ชดเชยเวลาที่เสียไป

"ตอนนี้ก็เดินหน้าทำงานอยู่เรื่อยๆ เปลี่ยนสถานะมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว คือคนที่ดูแลทุกอย่าง จากที่แต่ก่อนเคยมีพี่สาวและคุณพ่อดูแล ตอนนี้ผมก็มาดูแลแทนแล้ว

เพราะเมื่อก่อนหน้าที่ของผมคือภาระ ครอบครัว (หัวเราะ) ตอนนั้นวัยรุ่นมาก และยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องของคำว่าครอบครัว ตอนที่รับงาน ทำงานแล้วก็ใช้เงิน ไม่ได้อยู่บ้านตัวเองมาตั้งแต่อายุ 17 คือใช้ชีวิตเอง แล้วก็ดูแลตัวเอง มีสังคมข้างนอกหมดเลย แล้วก็ไม่ค่อยกลับบ้าน"

ยืนยันจะไม่กลับไปซ้ำรอยเดิม
ไม่อยากผิดพลาดซ้ำ

"ก็คิดได้ตอนที่อยู่ในเรือนจำนั่นแหละ ก็เริ่มคิดได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้ว แล้วก็ค่อยๆ คิดได้เรื่อยๆ เพราะมันเริ่มมีเวลาในการทบทวนตัวเอง พอมีเวลาว่างมากขึ้นแล้วสติก็เริ่มอยู่กับตัว เพราะก่อนหน้านั้นสติไม่ค่อยมี คือใช้ยาใช้อะไรมันไม่อยู่กับตัวหรอก

พอเริ่มมีสติก็เริ่มมาทบทวนว่า ทำไมชีวิตเราต้องมาอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ สุดท้ายมันก็ได้คำตอบว่าจากตัวเองนั่นแหละ ถ้าไม่อยากผิดพลาดซ้ำ ก็ต้องไม่เดินตามรอยเดิม เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเอง ทำอะไรได้บ้าง ก็เริ่มมองหาในเรือนจำ ว่ามีอะไรที่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้บ้าง ในส่วนเรื่องของการรับโทษก็รับไป ในส่วนของการใช้ชีวิตก็ต้องใช้ให้มันดีขึ้น เพื่อที่เราจะได้ออกไปไวขึ้น".