• วันแรกของการรวมตัวจากรายการ The BROTHERs สู่การเป็นศิลปิน
  • รอคอยกว่า 2 ปี กว่าจะได้ปล่อยซิงเกิลแรก กลายเป็นวงน้องใหม่มาแรง
  • การร่วมงานกับ ติ๊ก เจษฎาภรณ์ พระเอกดัง ที่ปัจจุบันกลายเป็นผู้บริหาร 

เรียกว่าเป็นวงบอยแบนด์น้องใหม่ที่มาแรงในเวลานี้ สำหรับ PROXIE ศิลปินค่าย bROTHERS Music ที่ประกอบไปด้วย 6 สมาชิก กัน รัชชานนท์ เรือนเพ็ชร์, คิม ปัณณธร จิรศาสตร์, โชกุน ปวริศร์ ศรีชัยชนะ, อองรี ออสการ์ เอ็ดเวิร์ด วัตราเศรษฐ์, วิคเตอร์ วรเมธ กอนุประพันธ์ และ กร วรรณไพโรจน์ เจ้าของเพลงดัง “คนไม่คุย” และ “Crazy Love” และล่าสุดกับเพลงที่ 3 “ที่ไม่รัก” ที่คว้าหัวใจ User (ชื่อแฟนคลับ PROXIE) ในเวลานี้

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับ 5 หนุ่ม คิม-วิคเตอร์-อองรี-กัน-โชกุน ถึงกว่าจะมาเป็นวง PROXIE ในวันนี้ ซึ่งพวกเขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดในรายการ The BROTHERs Thailand ทางช่อง 3 และได้มีโอกาสร่วมงานกับพระเอกหนุ่มรุ่นพี่ ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ผู้บริหารรายการดังกล่าว และค่ายเพลง bROTHERS Music และกว่าจะได้ปล่อยซิงเกิลแรกในชีวิตก็ต้องรอเวลากว่า 2 ปี แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ กลายเป็นวงน้องใหม่สุดฮอตในเวลานี้

...

ที่มาการรวมตัว

กันเล่าถึงที่มาของการรวมตัวของ Proxie ไว้ว่า “พวกเราทั้ง 6 คนมาจากรายการ The BROTHERs Thailand ของพี่ติ๊ก จะมีโค้ช 4 ท่าน คือพี่ติ๊ก พี่คุณ พี่โอ้ พี่อนันดา เป็นรายการเฟ้นหาไอดอล ต้องการให้ไอดอลทั้ง 20 คนที่มีความสามารถไม่ว่าจะร้อง เต้น ดนตรี ซึ่งพวกเราต่างคนต่างมากันและออดิชัน สุดท้ายก็อยู่ใน 20 คนของรายการ ซึ่งในรายการให้เราฝึกซ้อมสกิลด้านต่างๆ

แต่พอหลังรายการจบ ผู้ใหญ่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวพวกเรา 6 คน เขาเลยลองจับมารวมตัวกัน แล้วเราก็ลองฝึกซ้อมเต้นดู ลองถ่ายรูป แล้วพวกเรารู้สึกว่าเหมือนเรามีคาแรกเตอร์ที่ต่างกัน แต่พออยู่รวมกันแล้วมีเคมีบางอย่างที่ดูไปด้วยกัน เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันครับ เราก็เลยได้อยู่ด้วยกัน ซ้อมร้องเต้น เรียนทักษะต่างๆ เพิ่มเติม จนได้มาเป็น Proxie ครับ”

แต่กว่าที่จะได้ออกซิงเกิลแรกก็ใช้เวลานาน 2 ปี ช่วงก่อนจะได้ปล่อยซิงเกิลแรกมีท้อบ้างหรือเปล่า กันบอกว่า “มีครับ จริงๆ แพลนซิงเกิลแรกของเราไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยในเดือน เม.ย. 2565 ที่ผ่านมา จริงๆ เราต้องการจะปล่อยตั้งแต่ปี 2564 แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่ระบาดอย่างหนัก อุตสาหกรรมในวงการบันเทิงซบเซา เราก็ทำอะไรมากไม่ค่อยได้ พี่ติ๊กเลยมองว่าช่วงนี้ให้เราเก็บตัวซ้อมไปก่อน ซึ่งตอนแรกพวกเราก็งงกันนิดนึงว่าทำไมถึงเลื่อน มันไม่ดีเหรอ แต่พอเราได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง เราก็รู้สึกว่าถ้าเราเดบิวต์ตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะยังไม่พร้อมเหมือนในตอนนี้ก็ได้

พอยังไม่เดบิวต์ พวกเราก็มีเวลาซ้อมกับซิงเกิลพวกเรามากขึ้น อยู่กับมันมากขึ้น จนสุดท้ายการร้องเต้น การทำงาน ค่อยๆ สะสมประสบการณ์ เก็บชั่วโมงไปเรื่อยๆ พอเราปล่อยเพลงช่วง เม.ย. แล้วย้อนดูคลิปก่อนเราจะเดบิวต์ มันมีความต่างเยอะมากๆ ก็ถือว่าเราได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น พอออกมาแล้วแฮปปี้ ไม่ผิดหวัง รู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่เราฝึกซ้อมกันมาจนถึงเวลาสมควรที่จะปล่อยแล้ว มันเหมาะสมกับเวลานั้นจริงๆ ด้วยครับ”

ร่วมงานกับพี่ติ๊ก

เมื่อถามถึงการร่วมกับผู้บริหารอย่างติ๊ก เจษฎาภรณ์ ที่หลายๆ คนจะติดภาพความเป็นพระเอกของเขาว่าเป็นยังไงบ้าง โชกุนบอกว่า “พี่ติ๊กเป็นคนที่จริงใจในการทำงานมากครับ พี่ติ๊กก็คือพี่ติ๊กจริงๆ อย่างที่ทุกคนเห็น เป็นคนใจดี เวลาคุยกับพวกเราจะคุยด้วยเหตุผลตลอด เป็นคนที่จริงจังมากๆ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการแยกขยะสำคัญมากจริงๆ ครับ อย่างตอนพวกเราลืมปิดขวดน้ำ พี่ติ๊กก็แจ้งมาว่าให้น้องๆ ปิดขวดน้ำและเก็บของเป็นที่ด้วยครับ”

ด้านกันพูดถึงพี่ติ๊กว่า “พี่ติ๊กเป็นคนสบายๆ ครับ คือหมายถึงว่าเขาเป็นคนที่ชิลมาก อารมณ์เหมือนแบบเจ้าป่าเข้าเมืองเลยครับ คือเวลามาออฟฟิศจะแต่งตัวสบายๆ เป็นกันเอง คือเราแทบไม่ค่อยเห็นพี่ติ๊กมาในมาดซีอีโอหรือผู้บริหารแบบใส่เชิ้ตใส่สูทเลย เป็นคนชิลๆ ลุยๆ พี่ติ๊กจะคอยช่วยเหลือเราทุกเรื่อง เช่น เรื่องทำห้องซ้อมดนตรี ห้องซ้อมเต้น บางทีไฟอันนี้ดับ พี่ติ๊กก็ซื้อหลอดไฟมาเปลี่ยนเอง แทบจะเป็นคนเดียวที่ทำทุกอย่าง”

ส่วนอองรีบอกว่า “ปกติพี่เขาเป็นนักแสดงใช่มั้ยครับ พี่เขาช่วยเราในด้านแอ็กติ้งได้ด้วย อย่างเรื่องการเต้นเราไม่ใช่แค่เต้นๆ ส่งไป เรามีการแสดงออกทางสีหน้า พี่ติ๊กจะแนะนำในด้านนี้ด้วย เป็นคำแนะนำที่ดีที่เรานำไปใช้ได้ อย่างผลงานที่ผ่านมาที่มีภาพยนตร์ My Tempo พี่ติ๊กก็ช่วยต่อบท ติวบท แนะนำต่างๆ ว่าในพาร์ตการเป็นนักแสดงต้องทำยังไงบ้าง การจำบท การอยู่ในกองต้องวางตัวยังไง เรื่องนี้พี่ติ๊กก็เล่นกับพวกเราด้วย เลยรู้ว่าในฐานะนักแสดง พี่ติ๊กก็เป็นคนนึงที่เก่งมากๆ ครับ”

...

จากนั้นวิคเตอร์บอกว่า “พี่ติ๊กเป็นพระเอกที่หล่อมาก เป็นคนดีครับ มีประสบการณ์ รู้เรื่องการทำงานเยอะ ซึ่งเขาสอนพวกเราได้ บางครั้งมีการประชุม รีวิวการทำงานว่าเป็นยังไง เขาก็จะสอนเราบางอย่างเหมือนเป็นแรงกระตุ้นให้เราเก่งขึ้นครับ”

คิมเสริม “ขอต่อยอดจากวิคเตอร์แล้วกัน เรื่องประสบการณ์อย่างตอนเราปล่อยซิงเกิลที่ 1 เราต้องเดินสายพบสื่อ พี่ติ๊กก็มาติวเข้มพวกเราว่าควรตอบคำถามยังไง เป็นเรื่องที่ประทับใจมากๆ เหมือนกัน รวมไปถึงการใช้ชีวิตในสังคมด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะศิลปินเองหรือชีวิตวัยรุ่นว่าควรวางตัวอย่างไรให้บาลานซ์กันครับ อย่างเรื่องรีวิวคือพี่ติ๊กแทบจะตามดูแทบทุกวิดีโอในงานของพวกเรา คอยหาจุดว่าตรงไหนที่ต้องปรับปรุง ก็จะมาพูดกัน พี่ติ๊กก็จะมีเลกเชอร์ จดโน้ตมาเลย (หัวเราะ) เป็นคนละเอียดมากเลยครับ”

ที่ไม่รัก

เราถามถึงการทำเพลง “ที่ไม่รัก” ซิงเกิลที่ 3 ของพวกเขา ซึ่งกันเล่าว่า “ต้องเท้าความไปตั้งแต่ 2 ซิงเกิลที่แล้ว ซึ่งเราต้องการเล่ามุมมองของความรักที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ซิงเกิลแรกเล่าในมุมมองของคนที่ชอบใครสักคนแบบสุดติ่งเลย แต่พอมาซิงเกิล 2 เราอาจจะเหมาะกับคนที่พูดไม่เก่งนะแต่รักจริง สามารถเป็นแฟนได้เลย ซิงเกิล 3 พวกเราก็รู้สึกว่าอยากให้มู้ดแอนด์โทนมีความโตขึ้น รูปแบบความรักเปลี่ยนไปจาก 2 เพลงแรก ซึ่งรอบนี้เล่าถึงความสัมพันธ์ของคนที่แอบชอบเพื่อน แต่เพื่อนไม่ได้ชอบเรา ชอบคนอื่น ด้วยความที่รักเขา เราก็ซัพพอร์ตเขาเต็มที่ แม้สุดท้ายจะไม่ใช่ที่รักของเขาก็ตาม เลยเป็นที่มาของชื่อเพลงนี้ครับ”

...

โชกุนเสริม “เพลงนี้ค่อนข้างใส่ความรู้สึกเข้าไปเยอะพอสมควร เรื่องการแสดงด้วยครับ อย่างเช่นการแสดงสีหน้าต่างๆ ตอนเต้นจะมีฟีลลิ่งแตกต่างจาก 2 เพลงแรก เป็นความรู้สึกจากข้างในเวลาอกหักเศร้าๆ แต่ว่าถึงข้างในเศร้า แต่ท่าเต้นเราไม่เศร้าเท่าไร เราเต้นแรง (ยิ้ม)” กันพูดต่อ “ในส่วนคอนเซปต์เพลงนี้เราคุยกันว่าอยากได้แนวไหน ซึ่งเรา 6 คนและพี่ติ๊กเองก็มีความเห็นร่วมกันว่ามาในเวย์อกหักนะ อกหักมีหลายแบบ ก็วิเคราะห์กันว่าอกหักแบบไหนดี ก็เลยได้ข้อสรุปว่าเล่าในมุมมองของเฟรนด์โซนแล้วกัน”

ถามว่ากดดันมากขึ้นหรือไม่ เพราะ 2 เพลงแรกประสบความสำเร็จ กันตอบ “จริงๆ ผมว่าไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรนะครับ ต้องขอบคุณทั้ง 2 เพลงด้วยซ้ำที่ทำให้วงของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น พอปล่อยเพลงออกมาเรื่อยๆ อย่างน้อยก็มีคนที่เฝ้ารอ รอคอยที่จะฟังเพลงของเราครับ แต่ละเพลงที่เราทำออกมาก็จะพยายามให้มีความแตกต่าง ให้ผู้ฟังหลายกลุ่มหลายรูปแบบรู้จักเพลง ชอบเพลงเราด้วย อยากให้เพลง T-POP เป็นวงกว้างมากขึ้น ทำมาเพื่อให้ทุกคนฟังได้และชอบครับ”

...

ในส่วนมิวสิกวิดีโอ อองรีเล่าถึงการทำงานให้ฟังว่า “อย่างที่เห็นก็คือพวกเราอยู่ในสถานที่ที่เล่นโบว์ลิ่ง คอนเซปต์เพลงนี้ก็คือเกี่ยวกับโบว์ลิ่งครับ ในเอ็มวีพวกเราเป็นพนักงานโบว์ลิ่ง ชอบผู้หญิงคนนึงที่เขาเป็นพนักงานโบว์ลิ่งเหมือนเรา แต่เขาชอบคนที่มาเล่นโบว์ลิ่ง มันก็เหมือนในเนื้อเพลงที่บอกว่าเพื่อนที่เธอไม่รักแต่รักเธอ ก็ทำได้แค่แอบชอบ แต่เขาชอบคนอื่นไปแล้ว”

กันเสริม “ตัวของเอ็มวีเราต้องการใช้สีชมพูเป็นสีหลัก เพราะต้องการจะเล่ามุมมองของภาพความเป็นยุค 80-90 สมัยก่อน มีการเล่นแสง ท่าเต้นซิลลูเอต ด้วยโทนภาพจะเก่าๆ หน่อยๆ วินเทจ กลิ่นฟุ้งๆ นิดนึง ทำให้คนนึกถึงสมัยยุคเก่าๆ เพราะโบว์ลิ่งเป็นกีฬาที่มีมานานพอสมควร และเป็นที่นิยมในยุคสมัยก่อนจนถึงปัจจุบันด้วยครับ” คิมเล่าบ้าง “ในเอ็มวีบางฉากเป็นเหมือนงานปาร์ตี้ลานโบว์ลิ่ง เหมือนในสมัยก่อนที่เราเห็นภาพตามหนังอเมริกัน ไม่รู้สึกว่าแปลก เพราะคิมก็โตมากับเพลง 90 กับหนังเก่าๆ หน่อยเหมือนกัน” วิคเตอร์พูดบ้าง “ผมก็ชอบดูหนังเก่า ฟังเพลงเก่า เอ็มวีนี้คล้าย Bee Gees” กันเสริม “มีมู้ดแอนด์โทนกลิ่นอายแบบนั้นครับ”

อองรีบอกว่าส่วนตัวชอบเพลงนี้มากๆ ทั้งเอ็มวีและเพลง ตอนได้ยินเดโมแล้วเอากลับไปฟังที่บ้านบ่อยมาก ขนาดเวลามาออฟฟิศหรือไปที่ไหนก็ตามจะนั่งฟังเพลงตัวเองเยอะกว่า 2 เพลงที่ผ่านมา ส่วนเพลงชอบสีอย่างที่พี่กันบอกคือสีชมพูเป็นหลัก ทำให้มันเรโทรเก่าๆ มีซิลลูเอต เป็นเงาๆ

ด้านคิมบอกว่าฟีดแบ็กเท่าที่ส่อง ก็เริ่มมีแฟนคลับต่างประเทศมากขึ้น รู้สึกว่าเหมือนวงเรามีชาวต่างชาติให้ความสนใจเหมือนกัน เป็นความฝันของพวกเราเหมือนกันที่จะขับเคลื่อน T-POP ไปได้ถึงระดับสากลทั่วโลก ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ทุกคนพร้อมใจตอบว่าตื่นเต้น และหวังว่าสักวันจะได้ไปต่างประเทศ

ความสำเร็จ

กับกระแสตอบรับที่ดีใน 2 เพลงแรก (Crazy Love, คนไม่คุย) กันบอกว่ารู้สึกค่อนข้างตกใจ เพราะเพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นาน คิมบอกว่า “เราอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากขนาดนี้ แต่พอปล่อยเพลงที่ 2 ออกมาก็คือโอ้โห คนให้ความสนใจเยอะมากครับ” กันพูดต่อ “ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ทำให้เพลงนี้เกิดขึ้นมาด้วย ขอบคุณจังหวะเวลา ขอบคุณคนที่ทำเทมเพลตลง TikTok ให้เราด้วย แฟนๆ ทุกคน พี่ๆ ศิลปินดารานักแสดง อินฟลูฯ ทุกท่านที่ร่วมกันใช้แผ่นเสียงพวกเรา ใส่แฮชแท็กทำชาเลนจ์ให้เรา ทำให้เพลงพวกเราดัง เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถ้าขาดไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบวันนี้ครับ”

ในส่วนเพลง “คนไม่คุย” ที่กลายเป็นเพลงดังในโลกออนไลน์ มีคลิปคัฟเวอร์มากมาย ถามว่าคาดคิดมั้ยว่าจะเป็นแบบนี้ คิมบอกว่า “ตอนแรกหลังจากเราปล่อยซิงเกิลที่ 1 พวกเราก็นั่งคุยกันตอนทำเพลงที่ 2 ว่าอยากให้เพลงพวกเราสามารถเปิดฟังที่ไหนก็ได้ นี่คือไอเดียแรกเริ่ม มันเลยกลายเป็นเพลงมีเดียม จังหวะโยกได้เบาๆ ฟังไม่ยากมากจนเกินไป เข้าถึงได้ทุกคน พอออกมาแล้วทุกคนชอบก็ดีใจมากๆ เกินจากที่พวกเราคาดไว้ อย่างตอนแรกเรามาเป็นวงใช่ไหม เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แต่พอบอกว่าเป็นคนที่ร้องเพลง “คนไม่คุย” เขาก็อ๋อ ชอบเพลงนี้มากเลย รู้สึกดีมากเลย เหมือนเพลงมันทำงานก่อนที่เขาจะรู้จักพวกเรา”

กันเสริม “ก็ต้องขอบคุณทุกคนนะครับที่ชอบเพลงของพวกเรา แต่ละเพลงพวกเราก็พยายามที่จะทำให้มันเต็มที่ ใส่กลิ่นอายความเป็น Proxie ไปในเพลง พอได้ยินแล้วนึกถึง Proxie ครับ ถามว่าไปไหนมาไหนแล้วคนทักมีเขินๆ มั้ย ก็มีเขินๆ บ้างครับ บางทีเราไปเดินเล่นเฉยๆ เราเดินสวนกับแฟนคลับพอดี พอเขาเงยหน้ามาก็ทำท่าตาโตแล้วกรี๊ดใส่ผม ผมก็ตกใจนึกว่าผมเหยียบอะไรหรือเปล่า เขาก็พูดว่า Proxie เหรอคะ ผมก็ครับ ต่างคนต่างตกใจกัน”

เพื่อนเราเม้าท์กันเอง

เราให้ต่างคนต่างเล่าถึงกันและกันบ้างตั้งแต่วันแรกว่ารู้สึกต่อกันอย่างไร เริ่มที่คิมขอเล่าก่อนว่า “ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เจอกันในรายการ The Brothers ด้วยความที่อายุต่างกัน น้องๆ จะมีกร โชกุน อองรี ตอนนั้นรู้สึกว่าแก๊งนี้เสียงดังจังเลย รำคาญอะ (หัวเราะ) เป็นเด็กที่เสียงดัง อย่างกรจะชอบกรี๊ดแต่ก่อน กรี๊ดบ่อยมาก ทุกวันนี้เริ่มไปกับน้องแล้ว แต่ช่วงนั้นต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะ ด้วยความที่อายุค่อนข้างห่างกัน ตอนนั้นไม่รู้จะคุยกับน้องเรื่องอะไร หรือเล่นกับน้องยังไงครับ ผมโตเกือบสุดครับผม เว้นไว้คนนึงคือกันครับ” กันรีบแย้งทันที “กรครับ (หัวเราะ)”

ด้านกันบอกว่าถ้าให้เล่าตั้งแต่เจอกันในรายการ แต่ละคนอายุน้อยมาก เด็กๆ กันมาก รู้สึกว่าตอนนี้ทุกคนโตขึ้นมากจากในตอนนั้น ทุกคนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากๆ เลย ทั้งในเรื่องการวางตัว การร้อง การเต้น รู้สึกเหมือนทุกคนได้ผ่านการอบรมขัดเกลาจากรายการด้วย การฝึกซ้อมด้วย คิมเสริมว่ารวมถึงส่วนสูงด้วย กันบอกว่า “ใช่ๆ ทุกคนก็โตขึ้นครับ อย่างวันแรกผมจำวิคเตอร์ได้เลย น้องจะใส่แว่น และค่อนข้างจะก้มหน้านิดนึง ไม่ค่อยคุยกับใครเลย เป็นคนค่อนข้างขี้อาย แต่พอวันนี้น้องโตขึ้น พูดเก่งขึ้นแล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อนวิคเตอร์แทบไม่พูดเลยครับ นิ่งกริบ ก้มหน้าไม่ค่อยคุยกับใคร แต่ตอนนี้น้องโตขึ้น พัฒนาตัวเองขึ้นแล้ว เป็นวิคเตอร์นิวเวอร์ชันแล้ว ทุกคนเก่งขึ้น อย่างกรจำวันแรกได้ว่ายังตัวไล่ๆ กับผมอยู่เลย ตอนนี้กรสูงสุดในวงแล้วครับ แต่ความซนความซ่าของกร ผมว่าน่าจะมากขึ้นกว่าตอนที่เจอเขาครั้งแรก อาจจะโตขึ้นด้วยร่างกาย แต่ความซนของเขายังไม่ทิ้งไป” คิมเสริมว่า “พวกเราสนิทกันมากขึ้นครับ”

ถามว่ามีวีรกรรมความซนบ้างมั้ยเมื่อหนุ่มๆ รวมตัวกันหลายคนแบบนี้ ต่างคนต่างหันหน้ามองกันแล้วหัวเราะ อองรีบอกว่ามันมีแต่พูดไม่ได้ แต่งานนี้กันรีบชิงพูดว่า “โชกุนแล้วกัน คือจะมีบางวันที่เราอาจจะทำงานมาหลายๆ วัน เรามีซ้อมเต้น เรียนเต้นกันต่อ บางวันน้องโชกุนจะเริ่มหมดแรง จะเปิดโหมดงัวเงียนิดนึง บอกว่าเต้นไม่ไหวแล้ว แล้วก็ลงไปนอน บางทีน้องจะใส่ฮู้ดแล้วเอามาคลุมหัว และไปนั่งอยู่ในมุมกำแพง และทำท่าหมดแรง (ทำท่าตลกๆ เลียนแบบโชกุน) บอกว่าพี่กัน วันนี้กุนหมดแรง ไม่ไหวแล้ว ผมขอพักแป๊บนึงได้มั้ย บางทีทิ้งตัวแล้วบอกว่าพี่กันอุ้มผมหน่อย”

ด้านอองรีรีบบอกว่าของพี่กันก็มีนะ พร้อมทั้งยิ้มแบบมีอะไรบางอย่างและเล่าว่า “เขาจะทรงดื้อครับ บางทีถามพี่กันว่าไปมั้ย เขาก็บอกว่าไม่” โชกุนบอกว่าบางทีอองรีก็เป็นนะ กันหัวเราะและบอกว่า “อองรีเขาจะแบบเวลาชวนทำนี่กันมั้ย เขาก็จะไม่ บางทีเขาก็บอกไม่เอาอะ บางทีบอกมาถ่ายรูปแป๊บนึง เขาก็บอกไม่เอาอะ ชอบแกล้ง” คิมรีบแซวว่าเขาติดจากใครล่ะ ทุกคนพร้อมใจชี้ที่กันและหัวเราะ

จากนั้นกันพูดถึงกร หนึ่งในสมาชิกที่ไม่ได้มาในครั้งนี้ว่า “เขาเป็นคนที่ยิ่งดึกจะยิ่งคึกเป็นพิเศษครับ คือดึกๆ หลายคนเริ่มง่วงเริ่มเพลีย กรเขาเหมือนตรงข้ามกับเพื่อน เหมือนเขาเพิ่งตื่น แต่ตอนเช้า กลางวัน เขาจะค่อนข้างจะหลับ เก็บพลังงานเยอะ เหมือนเขาเก็บไปใช้ตอนกลางคืนอยู่คนเดียว เขาเอเนอร์จี้ล้นอยู่คนเดียวตอนดึกๆ ครับ”

ชีวิตศิลปินวัยรุ่น

ถามว่าได้เรียนรู้อะไรกับชีวิตศิลปินบ้าง คิมบอกว่าอย่างแรกคือได้มิตรภาพ คิมมีพี่น้องก็จริง แต่ตอนนี้ก็สนิทกับทุกคนจนเหมือนเป็นครอบครัวอีกหนึ่งครอบครัวของคิมไปแล้ว ได้รับผิดชอบสิ่งต่างๆ มากมายที่มากกว่าคนอื่นทั่วไป เราทำตรงนี้ต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราไม่ใช่แค่ศิลปินธรรมดา แต่ต้องมีความรับผิดชอบด้วย อย่างที่พี่ติ๊กสอนเราว่าต้องปิดขวดน้ำ ทิ้งแยกขยะ พวกเรายังมีทำเวรอยู่ตลอด

ส่วนวิคเตอร์บอกว่าได้ความอดทน รู้สึกว่าเป็นคนประหยัดขึ้น แต่งานนี้อองรีส่ายหน้าและแย้งว่า “เห็นเพิ่งซื้อไอโฟนไป” วิคเตอร์รีบพูดอีก “ผมประหยัดมากขึ้นครับ” กันแซวอีก "ประหยัดมากขึ้นแต่เห็นใส่เข็มขัดอันใหม่อยู่นะ" วิคเตอร์พูดอีก “ก็พยายามประหยัดมากขึ้น แต่ก็มีซื้อของไปอีก” อองรีหันไปถามว่าซื้ออีกเหรอ วิคเตอร์บอก “เงินเดือนออกครับ (ยิ้ม)” กันแซวต่อ “วิคเตอร์บอกว่ากิเลสย่อมระงับด้วยการซื้อนะครับ”

วิคเตอร์รีบแก้ตัว “เงินเดือนออกแล้วได้ใช้ตังค์ตัวเองก็ภูมิใจ ก็เหมือนว่าเป็นเงินที่เราทำงานเหนื่อยมาจะใช้ให้คุ้มค่ามากขึ้นครับ” ก่อนจะพูดอีกว่า “อย่างเวลาไปกองถ่ายก็ทานข้าวกล่อง เทียบกับสมัยก่อนที่เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วเพื่อนรวย กินร้านอาหารหรูๆ ก็ไม่ได้อร่อยมาก แต่ตอนนี้ผมกินข้าวกล่อง ร้านอาหารธรรมดา ไม่ต้องหรูอะไรมาก โห ทำไมอร่อยจัง กินอย่างมีความสุข (หัวเราะ)” คิมเสริม “เวลาเราทำงานแล้วหิวโซมา ไม่ได้กินอะไรทั้งวัน กินแล้วอร่อยแน่นอน”

อองรีบอกว่าต้องอดทนเหมือนกัน กว่าจะได้มาในวันนี้มันไม่ง่าย “เราผ่านอุปสรรคมาค่อนข้างเยอะครับ มีช่วงก่อนหน้านี้ที่พูดกันว่าเราไม่ได้เดบิวต์มานานพอสมควรเพราะโควิด เราต้องอดทน อยู่กับมันให้ได้ กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้เชื่อว่าทุกคนสู้แล้วก็ตั้งใจทำมัน ถ้าสมมติไม่ได้ตั้งใจคงไม่มาถึงตรงนี้ได้ครับ”

ด้านกันบอกว่า “ถ้าเปรียบกับการเป็นแชมป์ รู้สึกว่าการเป็นแชมป์ไม่ได้ยาก แต่การทำให้แชมป์คงอยู่ต่อไปน่าจะเป็นเรื่องที่ต้องรักษาไว้ และต้องรักษามาตรฐานมากกว่าครับ” ส่วนโชกุนบอกว่า “กุนรู้สึกว่าพวกเราทุกคนมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นครับ”

ปิดท้ายการสนทนา กันบอกว่าจะมีผลงานออกมาให้ได้เห็นอีกเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะหายไปไหน อยากให้ติดตามพวกเราในทุกช่องทางด้วย ถ้ามีงานที่ไหนห้ามพลาด พร้อมทั้งขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามผลงานว่า “ขอบคุณแฟนๆ ของพวกเราทุกคน ชาว User ทุกคนนะครับที่อยู่กับพวกเรามา ขอให้ทุกคนมีความสุขนะครับ ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างพวกเรา Proxie มาตลอด ก็หวังว่าพวกเราจะเป็นพลังงานที่ดีให้กับทุกคนนะครับ วันไหนที่ทุกคนรู้สึกเหนื่อยท้อ อย่าลืมนึกถึงพวกเราแล้วกัน พวกเราจะเป็นกำลังใจให้ User ตลอดนะครับ และขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ อย่าลืมติดตามผลงานของพวกเราต่อไปด้วย ฝากด้วยนะครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย
กราฟิก : Varanya Phae-araya