เป็นข่าวช็อกวงการตั้งแต่ต้นปี เมื่อ มิ้วกี้ ไปรยา ยูทูบเบอร์สาวชื่อดัง ออกมาประกาศลดสถานะกับ แดนนี่ ดานิเอล เบล็สซิ่ง สามีหลังจากที่แต่งงานอยู่ด้วยกันมาหลายปี
และก็มีข่าวของทั้งคู่ออกมาให้แฟนๆ ได้ติดตามกันอยู่เป็นระยะๆ จนสุดท้าย แดนนี่และมิ้วกี้ ตัดสินใจหย่าขาดจากกันไม่เมื่อกี่เดือนก่อน เรียกว่าเป็นการยุติสถานะสามีภรรยากันสมบูรณ์
ล่าสุด แดนนี่ ดานิเอล ก็ได้มานั่งเปิดใจครั้งแรกกับ ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ ในรายการ TurningPoint EP.7 แดนนี่เปิดใจพร้อมน้ำตาครั้งแรก เรื่อง ความรัก!! ซึ่งบางช่วงบางตอน แดนนี่ ต้องเสียงสั่นน้ำตาคลอเมื่อต้องพูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเอง โดยแดนนี่เริ่มเล่าว่า
คบกัน 8 ปี ผมไม่เคยเจ้าชู้ไม่เคยนอกใจ ไม่เคยมีกิ๊กกั๊กอะไรเลย 8 ปีเต็ม แต่มีผู้หญิงมาขอคุยด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ยุ่งเลย 8 ปีไม่มีเลย แต่ละช่วงเวลาชีวิตก็มีอะไรให้ทำ หรืออีกมุมหนึ่ง เราก็อาจจะผ่านช่วงชีวิตโสดมาเยอะแล้ว
...
ตอนนั้นเป็นดีเจจัดรายการอยู่ แต่เวลาค่อนข้างดึก ก็เท่ากับว่าไม่มีเวลาให้ครอบครัวแน่นอน แล้วก็ได้ครอบครัวมาเลย ตอนวางแผนเสร็จปุ๊บได้เลย (หัวเราะ) กะจะแต่งงานปลายปี บินไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่อเมริกา
กลับมาปุ๊บ แต่งก่อนเลย ทุกอย่างพร้อมหมด เหลือแต่ใจ น้องกาเนสมาจากอเมริกา เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก พอมีลูกทำให้โฟกัสในชีวิตเปลี่ยน ตื่นเช้าทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ปูพื้นฐานให้กับลูก
มิ้วกี้เข้ามาเปลี่ยนอะไรบ้าง?
อันนี้ยังไม่เอ่ยชื่อใครเลยนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ มันมีสิ่งที่ทำมาด้วยกัน และมีสิ่งดีๆ ที่ทำให้เราเปลี่ยน โฟกัสชัดเจน เก็บเงินเก่ง มีคนคอยให้คำปรึกษา คอยช่วยกันวางแผน มันก็เลยทำให้โตขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วก็ทำให้ประสบความสำเร็จในหลายๆ เรื่อง
ส่วนจุดเปลี่ยนของปีนี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ได้นะ ทิศทางจะไปทางไหนต่อ ไม่ใช่แค่คู่รัก เรามีลูก และทำธุรกิจด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องลูก มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กว่าจะคุยกัน ตกลงกันมันก็ใช้พลังงานไปเยอะมาก
โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่มีความเชื่อ แต่งงานกันแล้วเหมือนเป็นคู่ชีวิตต้องอยู่กันไปตลอด แต่ถ้าความรู้สึกของอีกฝั่งหนึ่งไม่ได้คิดเหมือนกัน มันก็เลยทำให้จุดแบบนี้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยทำให้เป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยน ในที่สุดมันก็เดินทางต่อไปด้วยกันไม่ได้
ทุกๆ เรื่องของความสัมพันธ์อาจจะเป็นเราด้วยที่มองว่าบางอย่างมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราเป็นคนที่มองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่เห็นมีอะไร เช่น บางทีทำงานจนลืมคนข้างๆ ไปรึเปล่า ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเซนซิทีฟ พอมองย้อนกลับไป อาจจะเป็นเรานี่แหละที่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งด้วยที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ทุกคนเห็น ปีนี้เป็นปีที่ช็อกมาก
แรกๆ ก็เราก็แยกกันอยู่ มีปรึกษาคุณหมอด้วย ไม่รู้ว่าหมอแนะนำผิดหรือถูก หมอบอกว่าถ้าคุยกันไม่เข้าใจ ก็แยกกันอยู่ ตรงนั้นแหละเป็นจุดพีกของเรา ตอนนั้นที่คุณหมอพูด ผมหันไปมองเลย ทำไมหมอพูดอย่างนี้ ตอนนั้นก็บอกหมอว่าแยกห้องนอนได้มั้ย แต่หมอบอกว่า ไม่ได้ต้องแยกบ้าน ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม
แต่พอหมออีกคนเขาบอกว่าอันที่หมอคนแรกแนะนำเป็นตำราเก่าแล้ว ก็ไม่ได้โทษหมอนะ มันมีเรื่องของการไม่เข้าใจกันอยู่แล้ว จะโทษตัวเองก็ได้ จนในที่สุดเรารู้สึกว่าไปต่อด้วยกันไม่ได้จริงๆ สงสัยต้องเป็นเราที่เดินออกมาเอง
นอนร้องไห้ทำไม?
เรื่องลูกเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟมากสำหรับผม ในชีวิตไม่มีอะไรเซนซิทีฟได้เท่าเรื่องลูก ไม่ได้นอนร้องไห้ฟูมฟาย แต่ก็มาเป็นช่วงๆ ที่ดิ่งๆ เวลาร้องไห้เสียใจก็อยู่คนเดียว เป็นคนที่ไม่ค่อยเล่าเรื่องหรือเอาเรื่องส่วนตัวไปให้ใครรู้
ด้วยความเป็นผู้ชาย ไม่ต้องมานั่งเล่าให้กันฟังทุกเรื่อง ร้องไห้คนเดียว คุยกับตัวเองคนเดียว ช่วงที่เซนซิทีฟมากๆ ไปฟังดนตรีสด แล้วน้ำตามันไหล และไปทำงานที่ต่างจังหวัด เจอนักร้องต้นฉบับเพลงนี้ ถึงกับน้ำตาไหล
...
ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วแหละ มีเรื่องของการคุยกันและกำหนดทุกอย่างชัดเจน เลยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผมได้เจอลูก ได้ไปส่งลูกที่โรงเรียน ได้พาลูกไปเล่นกีฬา มันก็ช่วยในเรื่องสภาพจิตใจให้ดีขึ้น
แม้ลูกเขาจะยังเด็ก แต่เขาก็รู้เรื่องนะ แต่ลูกก็มีคำถามนะว่าแด๊ดดี้ไปอยู่ไหน แค่ลูกถามแค่นี้ต้องหลบลูกเลย ใจมันสั่น แด๊ดดี้โอเคมั้ย (น้ำตาคลอ เสียงสั่น) อะไรก็ตามที่ให้เด็ก 5 ขวบไม่โดนกระทบ มันคือเป้าหมาย อะไรจะเป็นอย่างไรแต่เรามีอันนี้ก็ทำให้เราเดินต่อ เพราะเรื่องลูกสำคัญที่สุดอยู่แล้ว.