ตั้งแต่ไปทำศัลยกรรมยกชุดมา ก็ยังอวดความสวยไม่หยุด สำหรับ โบรัน มนต์สินี น้องสาวคนกลางของ บุ๊กโกะ ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล หลังจากเมื่อวาน (23 ก.ย. 2565) ได้ไปเปิดใจกลางรายการแฉ ถึงเรื่องทำศัลยกรรมแบบเต็มรูปแบบ ทั้งหุ่นและใบหน้า

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี ที่ต้องปิดมาตลอด มีครอบครัวให้กำลังใจตลอด ลดน้ำหนัก รวมถึง แฟนหนุ่มที่คบหามา 10 ปี ที่คบตั้งแต่ โบรันหนัก 130 จนถึงตอนนี้ ก็ยังชมว่าโบรัน สวยเหมือนเดิม บอกเลยว่าน่ารักสุดๆ

โบรัน : "ตอนนี้น้ำหนักลงไปเกือบ 50-60 กิโลฯ ภายในระยะเวลา 4 เกือบ 5 ปี ค่อยๆ ลดมาเรื่อยๆ เมื่อก่อนน้ำหนักตัว 130 กว่าโล ตอนนั้นลดความอ้วนหลายวิธี มีทั้ง IF คุมน้ำหนัก พยายามหาวิธีที่มันเหมาะกับเรา เกือบ 5 ปีถึงจะประสบความสำเร็จ"

เห็นว่าตอนลดก็หนักอยู่เหมือนกัน หายใจไม่ออก เคยเป็นลมบนเครื่องบินตอนไปเกาหลี?

บุ๊กโกะ : "อย่างที่บุ๊กโกะเคยบอกที่บ้านเราทำธุรกิจศัลยกรรม BookkoAgency โบรันก็ต้องไปช่วยเบลเยี่ยมดู เสร็จแล้ว ตอนบินเราก็เอ๊ะ.. ทำไมน้องเราไปเข้าห้องน้ำนานจังเลย แอร์ก็ถามใครเป็นลม เราก็เลยให้เบลเยี่ยมไปดู สรุปนางเป็นลม"

...

โบรัน : "คือจริงๆ ตอนนั้นน้ำหนักตัวเยอะ แล้วความกดอากาศมันต่ำ ที่นั่งเล็กเราเลยหายใจไม่ออก ไปเข้าห้องน้ำก็เป็นลมสลบไปต่อหน้าแอร์เลยก็วิ่งวุ่นเอาออกซิเจนมาให้กันใหญ่เลย ตอนนั้นคือเคยเป็นสองครั้งที่เป็นลมบนเครื่องบิน นั่นก็เลยเป็นสาเหตุในการตัดสินใจที่ทำให้ลดน้ำหนัก เพราะถ้าไม่ลดน้ำหนักลงก็คงจะอยู่กับครอบครัวได้ไม่นาน"

ถ้าจะลดอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องใช้เทคโนโลยี?

โบรัน : "ดูดไขมันด้วยค่ะ แต่การดูดไขมันไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเราลดลง ถ้าหากเราไม่คุมอาหารออกกำลังกายน้ำหนักมันก็จะเด้งกลับมา"

บุ๊กโกะ : "คือทำมาทุกส่วนแล้ว ดูดไขมันที่หน้า ที่ตัวแขน ขา ดูดมาทุกส่วนแล้วหลายรอบมาก กว่าจะมาถึงวันนี้ แล้วนางมาออกกำลังกาย อย่างที่บุ๊กโกะบอกแหละ พอออกกำลังกายมากๆ มันก็จะห้อย นางก็ต้องทำเหมือนบุ๊กโกะคือตัดหนังหน้าท้องทิ้งเหมือนกัน"

โบรัน : "ถ้าถามว่าทำแล้วเจ็บมั้ย สำหรับหนูทำที่เกาหลีไม่เจ็บเลย เรื่องการพักฟื้นคือวันแรกก็เดินได้เลย จนคุณหมอต้องมาบอกว่างดเดินหน่อย"

บุ๊กโกะ : "ตัดหนังหน้าท้องต้องอธิบายก่อนว่าเวลาที่สมมติว่าคลอดลูกแล้วหนังหน้าท้องห้อย เราออกกำลังกายเท่าไรก็จะมีส่วนที่ยื่นออกไปทำยังไงก็จะไม่ลดต้องไปตัดทิ้งเหมือนกัน แล้วบ้านเราก็คือตัวใหญ่ทั้งบ้านแล้วของหนูคือเยอะมาก มากกว่าโบรัน เพราะเราเคยอ้วนมากๆ แล้วพอผอมมันก็จะเหมือนถุงกาแฟ ก็เลยต้องไปตัดทิ้ง"

โบรันไปทำอะไรมาบ้าง ?

โบรัน : "ก็จะมีทำจมูกนะคะ ทำตา ดูดไขมันเหนียง ผ่าตัดหนังหน้าท้อง ดูดเก็บไขมันหน้าท้องกับช่วงเอว ในระยะเวลา 4 ปีค่อยๆ ทำ และติดช่วงโควิดก็หยุดพักไปก่อน 2 ปี ตามหลักจะต้องเสร็จหมดแล้ว"

บุ๊กโกะ : "คือตอนนั้นที่ติดช่วงโควิด 2 ปี แล้วเรายังเปิดหน้าน้องไม่ได้ เพราะเรายังติดสัญญาไว้กับทางเกาหลี บุ๊กโกะยังถามโบรันเลยว่าไหวมั้ย ย้อนกลับไปตอนนั้นลงรูปเขาก็ต้องมีสติกเกอร์แปะหน้า ใส่แว่นดำ ใส่แมสก์ ไม่สามารถเปิดเผยได้"

โบรัน : "ถ้าผิดสัญญาก็จะโดนฟ้อง เลยยังเปิดหน้าไม่ได้"

บุ๊กโกะ : "แล้วตอนนั้นเจอโควิดอีก 2 ปีกว่า รวมแล้วเป็น 4 ปีกว่า เราเข้าใจเขานะเพราะเราถ่ายรูปยังอยากจะแต่งลงเลย แต่นางพอถ่ายปุ๊บติดนู้นติดนี่นางเลยบอกว่าไม่ลงดีกว่า"

...

โบรัน : "ก็ไปไหนมาไหนเราก็ถ่ายแต่รูปวิวดีกว่า เพราะไม่อยากจะไปเข้าเฟรมใครเลย พอไปเข้าก็ต้องเอาสติกเกอร์มาแปะหน้าเรา เราก็เลยเลือกที่จะไม่ถ่าย ไม่ต้องมีรูปเราก็ได้"

บุ๊กโกะ : "มันก็เหมือนกับเราห่างกันจริงๆ นะ เพราะเวลาถ่ายภาพครอบครัวเขาก็จะไปยืนดู ถ่ายให้ ก็จะมีเราแค่สามคน บุ๊กโกะ เบลเยี่ยม แม่ เราก็เลยมาถาม เพราะสังเกตเขา เขาจะเป็นคนเงียบๆ อยู่แล้ว ไม่พูดอยู่แล้ว เวลาเสียใจจะแอบไปร้องไห้ หรือพูดกับแม่ ตอนนั้นเราก็จับเข่าคุยกันนะว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็หยุด ตอนนั้นวิกฤติถึงเราจะพาเขาไปพบคุณหมอแล้ว คือเครียด"

โบรัน : "ตอนนั้นคือเครียดค่ะ เหมือนลดน้ำหนักแล้วมันอยู่ตัวอยู่ช่วงนึง อยู่ที่ประมาณ 80 เราก็เครียด"

บุ๊กโกะ : "ตอนนั้นก็บอกเขาว่าถ้าไม่ไหวก็บอกทางเกาหลีว่าเราขอหยุดโปรเจกต์ ในระหว่างนั้นมันต้องลดน้ำหนักไปด้วย ไม่ได้ลงรูปด้วย มันทรมานมาก"

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราลุยต่อไม่หยุดแล้ว?

โบรัน : "ตอนนั้นก็คิดว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ตัดสินใจ ถ้ายังบินไม่ได้ก็จะพอแค่นี้แล้ว จะจบโปรเจกต์ ไม่ทำต่อแล้ว พอดีโควิดดีขึ้นบินเกาหลีได้แล้ว ก็เลยบอกพี่บุ๊กว่าต่อก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็เลยสานต่อเลย"

...

วันที่ได้เปิดตัวต่อหน้าสาธารณชนเป็นยังไงบ้าง?

โบรัน : "คนตกใจเยอะมาก เพราะเขาเคยเห็นภาพที่เราแบบโบรันน้ำหนัก 130 เพื่อนบอกใช่เราจริงๆ หรือเปล่า เขานึกว่าเราไปเอารูปคนอื่นมา เราก็ทำโปรเจกต์นี้มาค่อนข้างนาน"

หมดเงินไปเท่าไรทั้งตัว?

โบรัน : "พี่บุ๊กเป็นคนจ่ายค่ะ" (หัวเราะ)

บุ๊กโกะ : "คือบุ๊กโกะมีโปรเจกต์คุยกันก่อนว่าถ้าฉันเอาน้องมาทำ แล้วน้องไม่ดังไม่ใช่ใครเลยขอจ่ายครึ่งนึงได้มั้ย เพราะหนูคิดว่าทุกคนทำงานต้องได้เงิน ถ้าเกิดมีอะไรขึ้นมาขอไปแก้ได้มั้ย พูดตรงๆ มีเงินเท่านี้จ่ายครึ่งนึงได้มั้ย คือมันหลายล้านอยู่แล้วเพราะทำมาหลายปี เพราะทำทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า ปลูกผมดึงหน้าทำจมูก ทำหมดทุกอย่าง ทำจมูก 3-4 รอบ เพราะอยากแตกต่างกับโบรัน เบลเยี่ยม จริงๆ โปรเจกต์นี้อยากทำหน้าอกให้นางด้วย เพราะนางตัวใหญ่หน้าอกก็คล้อย แต่นางขอไว้ว่าเหลือสักอย่างดีกว่า กลัวปัญหาเรื่องมีลูก"

โบรัน : "คือแฟนหนูเขาคบหนูตั้งแต่หนูน้ำหนัก 130 โล เจอกันในเกมออนไลน์ ตอนนั้นหนูเอารูปคนอื่นไปหลอกเขา กับคนนี้กุมภาที่จะถึงนี้ก็จะคบกัน 10 ปีแล้ว"

...

ทำทั้งตัวมาเท่าไร?

บุ๊กโกะ : "ถ้ายังไม่ลดราคาก็ 3-4 ล้าน ถ้าลดแล้วก็เหลือครึ่งนึง ของโบรันคือ 2 ล้าน หนูก็ไปต่ออีกให้เหลือ 1.5 ล้าน คือราคาลดแล้ว แต่ทำเยอะจริงๆ ที่ขอเขาลดเพราะเราทำโปรเจกต์ร่วมกับเขา พอโบรันทำสำเร็จแล้วเราก็การันตีว่าให้เขาเอารูปโบรันไปใช้ที่เกาหลีได้ เราถึงยอมให้น้องอยู่ในสัญญาของโปรเจกต์ตลอด เพราะถ้าผิดสัญญาเขาเล่นเราแน่"

เหตุผลที่บุ๊กโกะยอมจ่ายเงินหลายล้านให้น้องสาวได้ทำศัลยกรรม ?

บุ๊กโกะ : "คือเด็กๆ บุ๊กโกะกับโบรันเราโตมาด้วยกัน ห่างกันแค่หัวปีท้ายปี เวลานางมีชุดว่ายน้ำผู้หญิงเราก็จะเอาชุดว่ายน้ำของเขามาใส่ เอาส้นสูงแม่มาใส่ ให้นางดูว่าสวยมั้ย หน้าที่นางคือตอบว่าฉันสวย จนโตขึ้นมานางก็ไม่เอาอะไรเลยจนมีเบลเยี่ยมขึ้นมา คือมีอะไรเราก็คุยกันปรึกษากัน แล้วเขาก็ทำแทนเรา เรื่องความสวยความงาม"

ย้อนเรื่องแฟนเขาว่ายังไง คือเราสวยขึ้นขนาดนี้แล้ว?

โบรัน : "คือเราไม่ได้หลงตัวเองนะ เขาก็เป็นคนดีค่ะ ตอนนั้นเขาก็บอกเราว่าสวยน่ารัก แค่ลดอีกหน่อยก็สวยแล้ว จนตอนนี้เขาก็บอกว่าเราสวยขึ้น ดูดีขึ้น แต่เขาขี้หึงตั้งแต่เราน้ำหนัก 130 แล้ว ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไปไหนมาไหนก็อยู่ในสายตลอด เหมือนต้องคุยกันตลอด 24 ชม. เพราะกลัวมีคนอื่น"

และเจ้าตัวยังเผยอีกว่า ฝากติดตามช่องทางความฮา ของครอบครัว Plastic family ได้ทาง YouTube และ TikTok สำหรับธุรกิจศัลยกรรมตอนนี้ สำหรับใครที่อยากทำศัลยกรรม ทั้งในไทย และ เกาหลี สามารถติดตามได้ที่ BookkoAgency ทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย.