• ทำความรู้จัก ซี พฤกษ์ พานิช หนุ่มมาดนิ่ง คู่จิ้น #ซีนุนิว
  • แม้เพิ่งเริ่มเข้าวงการได้ไม่นาน แต่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ
  • ขอบคุณทุกโอกาสที่ได้รับ แม้จะอายุจะใกล้เลข 3 แต่เป็น 30 ยังแซ่บ

เป็นหนุ่มมาดนิ่งที่มีแฟนๆ ติดตามกันเป็นจำนวนมาก สำหรับ ซี พฤกษ์ พานิช แม้ว่า ซี เพิ่งจะเข้าวงการบันเทิงได้ไม่นาน แต่เขาก็มีผลงานให้แฟนๆ ได้ชมค่อนข้างหลากหลาย บางคนอาจจะชอบบุคลิกความเป็นหนุ่มเท่มาดนิ่งแต่เป็นธรรมชาติตั้งแต่ได้ดูรายการ DoMunDi ซึ่งเป็นรายการท่องเที่ยวที่ออกอากาศผ่านทางยูทูบ หรือบางคนก็อาจจะชื่นชอบและติดตามจากการเล่นซีรีส์เรื่อง Why R You The Series เพราะรักใช่เปล่า นั่นเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้คนรู้จักชื่อของ ซี พฤกษ์ 

และล่าสุดเพิ่งจบไปกับซีรีส์เรื่อง Cutie Pie นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ที่ต้องบอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก กับความน่ารักของพระเอกนายเอก ที่ ซี เล่นคู่กับนักแสดงหน้าใหม่แบบแกะกล่อง นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์ ในบทของ เฮียเหลียนและหนูเกื้อ จนทำให้กระแสคู่จิ้น #ซีนุนิว ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อยู่บ่อยครั้ง ล่าสุด บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่มซี ต้องบอกเลยว่า ความคิดของหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มิน่าแฟนคลับถึงได้ตกหลุมรักคนคนนี้เข้าอย่างจัง

...

จุดเริ่มต้นงานในวงการบันเทิง

ซี เล่าให้เราฟังว่า จุดเริ่มต้นจริงๆ ของงานในวงการบันเทิงก็คือการเข้ามาเป็น 1 ในพิธีกรของรายการ DoMunDi TV ซึ่งตอนนั้นยอมรับเลยว่าเป็นคนช้ามาก ไม่ค่อยทันมุกเพื่อนเท่าไหร่ แต่เข้ามาทำเพราะอยากไปเที่ยวล้วนๆ

"สำหรับผมเข้ามาแบบจริงๆ คือเข้ามาประมาณ 2 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าเราเข้ามาวงการบันเทิงจริงๆ คือการเล่นซีรีส์เรื่องแรกครับผม แต่ถ้ามองกลับไปก่อนหน้านั้นก็คือการไปแคสต์โฆษณา ไปประกวด และมีเป็นแขกรับเชิญบ้าง จนได้มาเจอพี่อ๊อฟ (ผู้จัดการส่วนตัว) แล้วรู้จัก แม้ก (ศรัณย์ รุจีรัตนาวรพันธุ์) ตอนนั้น แม้ก ทำเพจ ดูมันดิ DoMunDi TV ทำกันอยู่ 4 คน เราก็เห็นก็ทักไปหา แม้ก ว่า รายการสนุกมากเลย อยากเข้าไปทำด้วย ถ้าแบบเขาหาคนเพิ่มเรียกหน่อยนะ 

แม้ก เลยได้เรียกมา ตอนที่อยู่เชียงรายพอดี ก็ลองแคสต์ไป พี่อ๊อฟเขาก็ทักมาบอกให้ลองส่งคลิปตลกตามสไตล์ตัวเอง เราก็ส่งไป แล้วพี่อ๊อฟก็โอเค นัดเจอคุยกันที่กรุงเทพ จากวันนั้นก็เข้า ดูมันดิ มาประมาณ 3-4 ปีได้แล้วครับผม จนพี่อ๊อฟได้ทำซีรีส์ขึ้นมา"

"ตอนที่ไปทำงานเป็นพิธีกรของ ดูมันดิ ครั้งแรกๆ เลย ผมไม่ทัน ดูหัวช้า ไม่ค่อยทันเพื่อนในทีมพิธีกรเท่าไหร่ คือไม่มีความรู้อะไรเลย แต่แค่อยากจะทำเพราะรู้สึกว่าสนุก ได้ไปเที่ยว แต่พอมาทำจริงๆ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันก็คือการทำงานอย่างหนึ่ง 

ตอนแรกผมไม่ได้คิดเลยว่าอยากเป็นพิธีกร (หัวเราะ) แค่อยากไปเที่ยวสนุกกับเพื่อน อยากไปต่างประเทศ ได้กินฟรี อยู่ฟรี ถ่ายรูปสวย แล้วเพื่อนเราก็ทำงานในนั้นอยู่แล้ว แต่จริงๆ เพื่อน 4 คนในนั้นก็ยังไม่ได้มองว่าเป็นพิธีกร แต่มันเป็นการรวมแก๊งก๊วนเพื่อนดูมันดิ ป่วนๆ ฮาๆ มีความเป็นตัวเอง สนุกสนานๆ ผมคิดแค่ว่าอยากไปเที่ยวด้วยเฉยๆ คิดแค่นั้นเลย"

ถามว่ากดดันมั้ย กดดันครับ ตอนแรกกดดันมากเลย แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันมันต้องไปในทางไหน ตอนนั้นเรายังเด็ก เรายังไม่รู้แนวทางการทำอินฟลูเอ็นเซอร์หรือยูทูบหน้ากล้องต้องพูดอะไร ส่งมุกยังไง รับมุกยังไง แต่ทุกคนก็ช่วย ไม่พูดก็ส่งให้ มันเลยเป็นคาแรกเตอร์แล้วรู้จักตัวเองมากขึ้น ตอนนั้นก็ยังไม่กล้าแสดงออก ขี้เขิน ขี้อาย มันก็ต้องแสดงออกมากขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น แต่ก็ต้องอยู่ในพื้นฐานของความเป็นตัวเอง"

ชีวิตเปลี่ยนหลังจากเล่นซีรีส์วายเรื่องแรก

"คือก่อนที่จะมาเล่นซีรีส์ พี่อ๊อฟเขาก็รู้จักคนเยอะ ทำเพจ ทำคลิป ทำมาหลายอย่าง ก็คุยกันว่าอยากทำซีรีส์ อยากเล่นมั้ย ก็เลยมาเป็นซีรีส์เรื่องแรก Why R You The Series เพราะรักใช่เปล่า ซึ่งเรื่องนั้นผมแคสต์ เขามีบทให้เรา เราก็ลองเล่นดูว่าจะได้ตัวละครตัวไหน

พอได้มาเล่นซีรีส์ ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมั้ย เปลี่ยนมากเลยครับ ก็ต้องปรับตัว มีคนรู้จักเยอะมากขึ้น ไปไหนก็มีแต่คนทัก หรือว่าขอถ่ายรูป มีงานเพิ่มมากขึ้น ต้องจัดการเวลา มีวินัยมากขึ้น ก็รู้สึกสนุกครับ เพราะตอนที่เรายังเป็นเด็ก เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่พอเราได้มาทำ เลยรู้ว่า การทำงานมันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันก็ต้องมีความรับผิดชอบในแต่ละเนื้องานไป ก็จะเจอหลายคน ไม่ได้มีแต่งานที่ลื่นไหลตลอด เราต้องปรับตัว ทำความเข้าใจ แล้วก็ทำออกมาให้ดีที่สุดครับ"

...

"จากซีรีส์เรื่องแรกเลยทำให้เป็นจุดที่มีคนรู้จักเรามากขึ้นครับ ซึ่งเราไม่ได้คิดอะไรมากนะ แค่ตอนนั้นพื้นฐานเราชอบการแสดงอยู่แล้ว คือตอนที่เราเรียนเราอยากเรียนเกี่ยวกับการแสดง แต่แม่บอกว่าอยากให้เราเรียนพื้นฐานไปก่อน เพราะว่าการแสดงสามารถเรียนข้างนอกได้ เราแค่ดูละครแล้วอยากเห็นตัวเองในหน้าจอ มุมหล่อๆ เท่ๆ ส่งอารมณ์บ้าง อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง ตอนนั้นแค่นั้นเลย"

"ถามว่างานชิ้นแรกยากมั้ย ยากมากครับ ถ้าชิ้นแรก ทุกคนน่าจะบอกว่ายากอยู่แล้วครับ (ยิ้ม) แต่ใจเรามันชอบอยู่แล้ว มันยากแต่อยู่ที่ว่าคุณเตรียมตัวมากน้อยแค่ไหน ทำการบ้านแค่ไหน แล้วก็ทำความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ เราก็จะเหนื่อยน้อยลง มันก็ต้องอยู่ที่การทำการบ้าน

ถามว่า ใช้เวลาในการเวิร์กช็อปนานมั้ย ผมว่าแต่ละเรื่องไม่เท่ากันครับ ด้วยเวลาหรืออะไรด้วย บางเรื่องก็ติดช่วงโควิด เลยทำให้ได้เรียนรู้ใหม่ รู้สึกว่าการทำงานแต่ละเรื่อง มันต้องนับ 0 ใหม่หมดเลย มันต้องเรียนรู้นิสัยของแต่ละคนกันใหม่ เราต้องรู้จักเขายังไง เพื่อให้ถ่ายทอดออกมาได้ 100% ที่สุด"

...

เมื่อถามว่า การที่มาเล่นซีรีส์วายเรื่องแรก ต้องปรับตัว ปรับทัศนคติเยอะมั้ย ซีบอกว่า "ตอนนั้นเรามองว่าไม่ได้เยอะขนาดนั้นครับ แต่ต้องปรับตัวมั้ย ก็มีครับผม แต่เราไม่ได้วิตกหรือซีเรียสขนาดนั้น เราเข้าใจมากกว่าว่ามันเป็นยังไง แล้วเรารู้สึกแฮปปี้ครับผม แล้วการแสดงซีรีส์วายมันก็เป็นการแสดงซีรีส์เรื่องหนึ่ง มันเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ต้องการถ่ายทอดออกมา แต่ก็แล้วแต่โปรดักชั่นอีกว่าต้องการถ่ายทอดออกมาเป็นยังไง"

ตัวตนจริงๆ ของ ซี พฤกษ์

"เป็นคนยังไงเหรอ คนภายนอกอาจจะมองว่านิ่งๆ หยิ่งๆ แต่ถ้ารู้จักจริงๆ มันก็จะมีมุมนิ่งๆ แล้วก็จะเป็นคนที่พูดไปเรื่อย ชิลๆ สนุกๆ ถามว่ามีมุมนิ่งมั้ย มี ถ้าเหนื่อยจากการทำงานแล้วอยากพัก แต่ใดๆ คือเป็นคนชิล เพื่อนชอบอะไรนี่ได้หมดเลย อยากไปไหน แต่รู้สึกว่าเราน่าจะเป็นคนที่เข้าใจคน ในมหาวิทยาลัยเราจะมีเพื่อนทุกประเภท ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ถามว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูงมั้ย มีแต่ก็ไม่ได้มากขนาดนั้นครับ ด้วยพื้นฐานที่บ้านเป็นคนอยู่กับบ้าน ไม่ค่อยออกไปกินข้าวข้างนอกหรือไปไหนบ่อย" 

"ผมมีพี่สาว 2 คนครับ เราเป็นน้องคนสุดท้องครับ เราจะอายุห่างกันระหว่าง 3 ปีครับ ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่เลี้ยงแบบได้มาตรฐานมากครับ ตอนแรกๆ ดุ แล้วแม่เขาพูดคำหนึ่งว่าถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แม่จะปล่อยเลย แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็ปล่อยจริงๆ ไม่ถามอะไรเลย

เราก็งงไม่ถามหน่อยเหรอว่าเงินใช้หมดยัง คือเราเป็นคนใช้เงินเยอะกับพี่สาว 2 คน แต่แม่ก็พยายามให้อยู่ในวงเงินเท่านี้นะ ต้องได้เท่ากัน แต่ช่วงประถมถึงมัธยม พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เลี้ยงเราอยู่ในระเบียบมากขนาดนั้นนะครับ อยู่ในพื้นฐานเท่ากันแบบชิลๆ"

เมื่อเราถามว่า ตอนเด็กๆ คิดอยากทำงานในวงการบันเทิงมั้ย ซี ถึงกับหัวเราะ แล้วพูดเบาๆ ว่า "ผมมีครับ ตลก พูดแล้วเขินเหมือนกัน" พร้อมกับหัวเราะ 

...

"มันก็มีความมั่นใจและความขัดใจอยู่ ก็มีคนเชียร์แหละ ว่าให้ไปลองหาลู่ทางดู เราหน้าตาดีนะ แต่ในใจก็เห็นคนอื่นดีกว่านะ (ยิ้ม) แต่ในใจเราก็ชอบเรื่องการแสดงด้วย อยากทำโน่นนี่ มันก็เลยมีความมั่นใจตรงนี้มากขึ้นที่อยากเห็นเราในหน้าจอใหญ่ๆ ครับ อยากเห็นตัวเองในทีวี แค่นั้นเลย อยากรู้ว่าจะหล่อมั้ย เป็นไง แสดงอารมณ์ยังไง"

พ่อแม่สนับสนุนมากน้อยขนาดไหน

"สำหรับผม พ่อแม่อาจจะไม่ได้ออกเสียงเยอะ เป็นคนไม่ใช่สายโซเชียลอยู่แล้ว สำหรับผมเราไม่ได้คุยกันมาก แต่ในใจลึกๆ เขาชอบแอบดู แอบเล่นทวิต แคปรูป แต่ชอบโมเมนต์พ่ออย่างหนึ่งมาก พ่อผมนี่ยิ่งไม่พูดใหญ่เลย เพราะว่าพ่อเป็นครู เป็นข้าราชการ ต้องทำงานเป็นหัวหน้าเขต ก็ต้องมีความเคร่งๆ แต่มีความน่ารักๆ แต่เวลาดุก็ดุเลย พ่อเขาจะมีกลุ่มไลน์ครอบครัว เขามีพี่น้อง 5 คน เขาก็จะส่งเข้าไปว่าลูกเล่นอันนี้ ตลกอะ แต่ก็นั่นแหละ ต่อหน้าเราเขาจะไม่พูดเลย แต่ลับหลังเขาต้องแอบมีภูมิใจแหละ" 

วันที่เราบอกอยากทำงานในวงการบันเทิง ทางบ้านว่ายังไง

"อุ๊ย ทางบ้านปล่อยตั้งแต่ ปี1 เลยครับ ว่าอยากทำอะไร ทำได้หมดเลย แต่อย่าทำให้ใครเดือดร้อน อย่าไปเบียดเบียนใคร นอกนั้นเปิดโอกาสให้ทำทุกอย่างเลยครับผม"

"ตอนนั้นผมเลือกที่จะเรียนโฆษณาครับ พอปี 2 ก็มีเลือกเรียนวิชาโท คือผมเลือกเรียนฟิล์ม ตอนนั้น ม.กรุงเทพ เขาเพิ่งสร้างตึกมาแล้วเปิดสอนวิชาฟิล์ม เราก็คิดในใจว่าอยากเรียน แต่ไม่อยากซิ่ว ก็เลยเรียนโฆษณาไป มันไม่ได้แบบไม่สนุก ตอนแรกที่เรียนโฆษณาก็นึกว่าจะได้ถ่ายโฆษณาครับ (หัวเราะ) คิดแบบเด็กๆ เลย แต่จริงๆ เรียนเบื้องหลังของการทำโฆษณา"

ตอนที่ซีเรียนจบ ยังไม่ได้ทำงานในวงการ เราทำอะไร

"ตอนนั้นอยู่เปื่อยๆ มาปีหนึ่งเลยครับ วิ่งแคสต์โฆษณา แต่ก็มีโมเดลลิ่งที่รู้จัก เขาก็ส่งงานมา แต่เราก็ยังไม่มีความรู้ เราก็ต้องเข้าไปทีละนิดๆ เข้าประกวด เข้าไปทำโปรดักชั่น นายแบบ ถ่ายแบบโฆษณา เผื่อคนเห็นความสามารถของเรา"

ตอนนี้เราก็ 29 แล้ว เราเคยคุยแพลนอนาคตกับพ่อแม่มั้ยว่าเราจะทำอะไรต่อไป

"ถ้าไม่ใช่วงการบันเทิงเหรอครับ ไม่ได้คิดอะไรครับ อยากทำอะไรที่มีความสุข ทำอะไรที่สบายใจ แต่ก็มีบางอย่างที่เราเคยนั่งคิดเล่นๆ เหมือนกัน ก็มองไกลๆ ไว้ว่าเป็นเกี่ยวกับธุรกิจหรือว่าบั้นปลายชีวิต ทำไร่ทำสวนอะไรอย่างนี้

แต่อยู่ตรงนี้ก็มีความสุขดี ได้เจอผู้คนในการใช้ชีวิตมากขึ้น และได้เจองานหลากหลายรูปแบบ เราก็ไปเจออะไรต่างๆ มากขึ้น หรือว่าจัดการอะไรมากขึ้นครับ แต่ถ้าวันนี้ไม่ได้ทำวงการบันเทิงเหรอครับ เราก็คงเป็นพ่อค้าขายของอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นพ่อค้า ไม่ได้อยู่กรุงเทพ ก็คงอยู่ช่วยงานที่บ้าน ดูแลที่บ้านครับ"

30 ยังแซ่บ

เมื่อถามว่า อายุใกล้จะ 30 แล้ว คิดว่าตัวเองเริ่มต้นช้าไปมั้ย หนุ่มซียิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับบอกว่า "30 ยังแซ่บครับ (ยิ้ม) อะถ้าพูดตรงๆ มันก็คือเริ่มต้นช้า โห ผมเข้าวงการเล่นซีรีส์เรื่องแรกก็ตอนอายุ 26-27 แล้ว เรารู้สึกว่าเราก็ไวเหมือนกันนะ โอกาสที่เราได้รับ หรือว่ามีคนสนับสนุนเรามากขนาดนี้ แต่รู้สึกตัวเองโชคดีมากๆ เลยครับจากจุดเริ่มต้นในวันนั้นใช้เวลาแค่ 2 ปีครับ"

"ถามว่าเป็นโชคชะตามั้ย มันก็คิดได้ แต่มองว่ามันน่าจะเป็นความตั้งใจแล้วก็ความพยายาม ไม่ว่าตัวผมเอง หรือว่าพี่อ๊อฟเอง หรือว่าคนรอบข้าง หรือตัวน้องนุนิวเอง ที่จับมือกันแล้วเดินมา ต้องการให้มันเป็นยังไง เอ็นจอย สนุก แล้วก็มอบความสุข เพราะว่านักแสดงเป็นคนที่มอบความสุขให้คนอื่นอยู่แล้ว โชคดีที่เจอคนรอบข้างที่ดีครับ พี่อ๊อฟก็ใจดี แล้วน้องนุนิวก็แบบชิล ใจเย็นเหมือนกัน เหมือนเป็นน้ำอะ เราใจเย็นทั้งคู่ มีอะไรก็คุยกัน"

โมเมนต์แรกที่เจอ นุนิว 

"การทำงานกับ นุนิว (นุนิว ชวรินทร์) ดีครับ สบายใจมากๆ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ยังไม่รู้จักกันเลย มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่การทำงานด้วยกัน การเป็นพาร์ทเนอร์กัน อยู่ด้วยกันทุกวัน เจอปัญหาด้วยกัน มันต้องมีปัญหาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว มันก็ต้องปรับตัวกัน แต่อันนี้น้อย แทบไม่มีด้วยซ้ำ ไม่มีเลยก็ว่าได้ มันเป็นเรื่องง่ายๆ เลย ไม่ต้องมาปรับความเข้าใจ วิตกหรือซีเรียสอะไรครับผม"

"ถามว่าจำโมเมนต์แรกที่เจอน้องได้มั้ย จำได้ครับจำได้ ตอนนั้นเจนใหม่มาตอนถ่ายปฏิทินดูมันดิครับผม แล้วก็ไปถ่ายปฏิทินกัน แล้วน้องขึ้นมาชั้น 2 นั่งอยู่ริมหน้าต่าง แล้วพี่อ๊อฟเดินมา ผมก็บอกว่า "พี่อ๊อฟ คนนี้ ดัง" ตอนนั้นยังไม่รู้นิสัย ยังไม่รู้ความสามารถ แต่เห็นหน้าแล้วทักเลย ต้องมีคนรักเยอะแน่ๆ คนแบบนี้ คนหน้าตาแบบนี้

(แค่มองปราดเดียวรู้เลย?) จริงๆ เราอาจมีประสบการณ์มาก่อนด้วย เราไม่ใช่แค่อยากทำเบื้องหน้า เราก็ชอบทำเบื้องหลัง อาจจะมีเซ้นส์อย่างหนึ่งด้วยแหละครับ แล้วก็คนต้องชอบเยอะ หน้าตาแบบนี้ (ยิ้ม) พอรู้จัก หรือภาษาที่ใช้พิมพ์ ภาษาพูด หรือบุคลิกหน้าตา ความสามารถน้อง มันก็ยิ่งมั่นใจไปใหญ่เลยว่า โห เด็กแบบนี้ต้องมีคนรักเยอะแน่ๆ อายุน้อยด้วย แต่ถ้าให้เฮียกลับไปตอนอายุ 21 อาจจะมีคนรักเฮียเยอะกว่าก็ได้นะหนู (หัวเราะ) ไม่ครับ ไม่สู้ (หัวเราะ)"

จังหวะชีวิตในเวลาที่เหมาะสม

"ภูมิใจ (ยิ้มเขิน) ต้องขอบคุณ พี่แบม ที่เขียน Cutie Pie นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ขึ้นมาครับ แล้วก็แฟนนิยายที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ แล้วก็ขอบคุณแฟนคลับที่อาจจะรู้จักน้องจากคัฟเวอร์ อยากเห็นมุมมองการแสดง อยากเห็นความสามารถของ ซี พฤกษ์ แบบนี้ หรือนักแสดงคนอื่น ด้วยพี่อ๊อฟ ทีมงาน โปรดักชั่นทุกคน จริงๆ เรายังไม่ได้มองเห็นภาพมากเท่าไหร่ คือบทมันดีแต่เรายังมองไม่เห็นภาพ แต่พอเราเข้าคิวแล้ว รู้สึกน่าจะน่าสนใจ ด้วยคำพูด สีภาพ การเล่าเรื่อง การเรียงลำดับภาพยังไงให้มันต่อกัน เพราะแต่ละวันซีนมันไม่เหมือนกัน"

"ถามว่า เรียกว่าเป็นจังหวะชีวิตเราได้มั้ย เรียกได้ครับ มันเป็นจังหวะชีวิตเราจริงๆ ด้วยความมั่นใจของทีมเบื้องหลังด้วย และตัวของพี่อ๊อฟ ของนุนิวด้วย ที่ช่วยกันผลักดันทำผลงานนี้ให้มันออกมาดีนะครับผม"

"เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จเยอะพอสมควรเหมือนกัน เรารู้สึกว่าหลายขั้นอยู่ครับ เราไม่คิดว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่ามันคงเป็นความตั้งใจของเรา เราโชคดีตรงที่ น้องนุนิวเองก็เป็นคนที่น่ารัก และมีศักยภาพ เป็นคนเก่ง แล้วก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา เคยบอกเสมอ น้องเป็นตัวเอง เราเป็นตัวเอง แฮปปี้ ทำอะไรที่สบายใจ ทำเลย อย่าไปเดือดร้อนใคร อนาคตอย่าเพิ่งไปคิด ก็ค่อยเรียนรู้กันไป"

"ชีวิตทุกวันนี้แฮปปี้มากๆ ครับ เพราะว่าแฟนคลับเยอะ มีคนให้กำลังใจเราเยอะ มีคนรีแอ็กชั่นกับเราเยอะมากขึ้นครับผม (ยิ้ม) แล้วก็มีงานมากขึ้น ไม่คิดว่าจะมีแบรนด์นั้นแบรนด์นี้ติดต่อมา"

เตรียมร้องเต้นเล่นเต็มที่ในคอนเสิร์ต Be My Boyfriend 

"ใช่ ตื่นเต้นมากและกดดันมาก ตอนแรกเขาติดต่อมานานมาก แต่เราคิวไม่ได้เลย เขาบอกเราว่าคาแรกเตอร์ได้ แล้วบอกว่าว่างเมื่อไหร่ก็มา เขาคงอยากได้จริงๆ งั้นไปก็ได้ แต่คิวเราน้อยมาก แต่เขายอมรับในสิ่งนั้นได้ โอเค ดีล เพราะเราอยากทำอยู่แล้ว เห็นโปรดักชั่นในซีซั่น 1 มันสนุก 

จริงๆ อยากทำคอนเสิร์ตของตัวเองตั้งนานแล้ว ตัวผมไม่ได้ชอบร้องเพลงเลยนะ แต่เป็นคนชอบฟังเพลงอยู่แล้ว ชอบไปเฟสติวัล ฟังเพลง หรือว่าไปคอนเสิร์ต แต่ถามว่าถ้าระหว่างเต้นกับร้องเพลง เลือกอันไหน ขอเลือกเต้น แต่ถามว่าร้องก็ได้ สนุกดี"

"(แสดงว่าต้องเป็นคนเต้นเก่ง?) คำถามนี้ต้องมาใช่มั้ย (ยิ้ม) มันไม่ได้เป็นคนเต้นเก่งอะพี่ เขาเรียกว่ามั่นใจในสิ่งนี้มากกว่าสิ่งนี้ แต่ร้องเพลงก็สนุกครับผม แต่ว่าไม่ว่าการเต้นหรือร้องเพลง การแสดงมันก็ต้องซ้อม ยิ่งซ้อมมากเท่าไหร่มันก็ต้องมีความมั่นใจ"

ใช้ชีวิตให้สนุก เอ็นจอยไปกับทุกเรื่อง

"อนาคตเหรอ ผมทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ งานเบื้องหลังก็อยากทำครับ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีคนซัพพอร์ต (หัวเราะ) ก็จะอยู่ไปให้นานที่สุดแหละ เพราะงานแสดงเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว จริงๆ สิ่งที่เราดำเนินชีวิตอยู่ตอนนี้ เราอยากทำอะไรเราก็ทำ ไม่อยากไปคิดเยอะ แต่บางอย่างก็ไม่สามารถทำตามความชอบได้ 100% เราก็ปรับเปลี่ยนมุมความคิด จอยๆ กันไปครับ"

ตอนนี้เรามีฐานแฟนคลับเยอะมาก ชีวิตเปลี่ยนไปมากขนาดไหน

"จริงๆ ก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกัน แต่มันก็จริง (ยิ้ม) เราก็เป็นคนปกติคนหนึ่งครับ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่หน้าที่การงานเราอยู่ตรงนี้ เราต้องการซัพพอร์ตคนดูให้ชอบผลงานเราไม่มากก็น้อย ถ้าถามความรู้สึก ก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่มีคนรู้จักเรามากขึ้น มีแฟนคลับต่างประเทศมากขึ้น มีจัดแฟนมีตตติ้งที่เมืองนอก แล้วก็มีคนให้กำลังใจมากขึ้น แล้วก็เกิดปัญหาอะไร ทุกคนก็อยู่เคียงข้าง ให้การสนับสนุนทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นอินเอียร์ ไมค์ หรือว่าฟู้ดซัพพอร์ต หรือโปรเจกต์ LED เรารู้สึกว่ามันเป็นกำลังใจที่เราได้เห็นแล้วรู้สึกว่าเขารักเรา เขาต้องยอมเสียเงิน แล้วมารอเจอในงานอีเวนต์ เราก็อยากแบ่งปันรอยยิ้มและความสุขกันและกันไปนานๆ"

ขอบคุณแฟนคลับที่ซัพพอร์ต คนที่เข้ามาปิ๊งปั๊ง

"ปิ๊งปั๊ง ชอบคำนี้ น่ารัก (ยิ้ม) สำหรับคนที่ปิ๊งปั๊งใหม่ก็ขอบคุณและยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ไม่ว่าจะมาช่วงเวลาไหน หรือว่ารู้จักกันแล้วแต่หายไปและกลับมาก็ยินดีมากๆ ที่มาเจอกัน แล้วก็ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างเลย ดีใจมากที่แต่ละคนซัพพอร์ตในแต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานต่างๆ โปรเจกต์ งานอีเวนต์ หรือว่าฟู้ดซัพพอร์ต เราดีใจมากๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจและเข้าใจในความเป็น ซี พฤกษ์

ขอบคุณ #ซนซน Zunshine ที่อยู่มาด้วยกันตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ เรารู้สึกว่าเราก็มาไกลเหมือนกัน ขอบคุณที่อยู่เป็นกำลังใจ เห็นการพัฒนาของ ซี พฤกษ์ ไม่มากก็น้อยในวันนี้ ทุกวันนี้ก็มาแลกเปลี่ยนกำลังใจและรอยยิ้ม เป็นแพชชั่นให้กัน แล้วส่วนตัวเราก็จะพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด จนจะทำไม่ไหวแล้ว"

"ในช่วงที่ซีรีส์ออนเราก็เข้าไปส่องแฮชแท็กบ่อยอยู่แล้วครับ แต่ว่าจริงๆ เราไม่ได้ชอบที่ตัวเองเล่นทุกซีน บางทีเราดู ก็มีเหมือนกันที่คิดว่าทำไมไม่เล่นอย่างนั้น แต่เรารู้แล้วว่าตอนนั้นเราทำเต็มที่แล้ว"

อนาคตจะมีงานคู่น้องอีกมั้ย

"ต้องมี (ยิ้ม) อยากมีครับผม ถามว่ามีโปรเจกต์รอรึยัง รอโอกาสอยู่ครับ แต่ถ้าไม่มี ก็จะเอาเงินทุนตัวเองทำ (หัวเราะ) แล้วก็มีแพลนจะทำช่องยูทูบของตัวเองด้วยครับ อันนี้เคยเกริ่นอยากทำมานานแล้ว แต่ยังไม่มีเวลา เดี๋ยวหลังจากจบคอนเสิร์ตทั้งหมดแล้ว หรือจบงานทั้งหมดแล้ว เดี๋ยวจะมานั่งคุยกันว่าจะทำแบบไหน สไตล์ไหนครับ"

ความฝันจริงๆ ของซีคืออะไร

"ตอนเด็กๆ อยากเป็นสจ๊วตก็อยากเป็น ถ้าความฝันจริงๆ อยากทำไร่ทำสวน (ยิ้ม) ผมชอบธรรมชาติ ปลูกชา ปลูกผัก ผลไม้ ทำของออร์แกนิก เวลาเราไปไร่เรารู้สึกสบายใจ เห็นภูเขา เห็นสีเขียวๆ มีเปิดร้านบาร์แอนด์เรสเตอรองก็อยากเปิด ถ้าอยู่ในไร่ก็ดี แต่ว่าไม่มีตังขนาดนั้น เปิดบาร์แอนด์เรสเตอร์รองก่อนละกันเป็นธุรกิจของเรา และที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คืออยากขายเสื้อผ้า ทำด้วยตัวเอง

"ผมเป็นคนเชียงรายครับ ที่นั่นอากาศดี ผมเป็นคนชอบมองภูเขา มองแล้วสบายใจ แต่ผมอะอยากซื้อบ้านที่เชียงใหม่ จริงๆ เราเป็นคนชอบเชียงใหม่มาก ชอบดอย ชอบบรรยากาศที่เชียงใหม่ครับ" .

ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า

ช่างภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

กราฟิก : Chonticha Pinijrob