• มิน พีชญา อยากเอาชนะ เคยโดนด่าและไล่ออกจากช่อง 7 เพราะการแสดงแย่
  • ยอมรับการเป็นดารามีชีวิตที่มีอภิสิทธิ์ และน่าอิจฉา
  • ชีวิตมีครบทุกอย่าง ถึงเวลาอยากทำอะไรให้คนอื่นบ้าง

ถ้าพูดถึงนางเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการบันเทิงไทย จะต้องมีชื่อของ มิน พีชญา วัฒนามนตรี อยู่ในลิสต์ท็อปเท็นของแฟนๆ อย่างแน่นอน

ซึ่งในอดีต มิน พีชญา คือนางเอกละครที่มีผลงานมานับไม่ถ้วน งานโฆษณาเป็นสิบๆ ตัวต่อปี งานอีเวนต์แน่นไม่เคยขาด

แม้เวลาจะผ่านไป แต่ชื่อเสียงของ มิน พีชญา ก็ยังคงติดลมบน ยังเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของแฟนๆ เสมอมา แม้ในวันนี้มินเลือกจะเป็นนักแสดงอิสระ และเลือกรับทำงานที่ตัวเธออยากจะทำจริงๆ เท่านั้น

และเริ่มอยากจะทำอะไรดีๆ เพื่อตอบแทนสังคมเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ซึ่งในช่วงหลังเราจะเห็นเธอยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมันคือสิ่งที่มินนั้นตั้งใจและทุ่มเทที่จะทำ

ในวันนี้เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ มิน พีชญา อีกครั้ง แต่ในฐานะตัวแทนยูนิเซฟ ซึ่งเจ้าตัวพร้อมจะมาให้เราพูดคุยอัปเดตชีวิตของเธอ และพูดถึงภารกิจหน้าที่ที่เธอลงมือทำอยู่ให้เราได้ฟัง แต่ก่อนจะไปรู้ถึงหน้าที่ใหม่ของเธอ เรามาอัปเดตชีวิตของมินในปัจจุบันนี้กันก่อน

...

ฝีมือแย่ เคยถูกไล่ออกจากช่อง 7

เราเชื่อว่าหลายๆ คนคุ้นชื่อของมินเป็นอย่างดี แล้วมินล่ะ เคยคิดมั้ยว่าตัวเองจะเดินมาไกลจนถึงจุดนี้ จุดที่เป็นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการบันเทิง ซึ่งคำถามนี้ทำให้สาวมินถึงกับยิ้มและตอบเราว่า

“มินไม่เคยคิด แค่วันที่ดังก็งงจะแย่อยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกงงๆ มินแค่อยากหาเงิน เพราะเพิ่งกลับมาจากการเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่อเมริกา อยากหาเงิน เลยไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ตอนนั้นอายุ 17 ปี ได้เงินก้อนแรกมา 3 แสนบาท และรู้ว่าตัวเองมีมูลค่า

จากนั้นก็ไปค้นหาตัวเอง ไปแคสต์งานที่ช่อง 7 ที่แรก และก็ถูกไล่ออกมา (หัวเราะ) เขาบอกว่าถ้าจะเล่นอย่างนี้กลับบ้านไปเลย แรงมาก (หัวเราะ) เพราะมินทั้งไม่สวยและพูดไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นยังเด็กมาก มินเฟลมาก เพราะได้ตำแหน่งมิสทีนมานะ กลับบ้านร้องไห้ ไม่เคยโดนใครด่าแรงขนาดนี้

หลังจากนั้นมินอยากเอาชนะตัวเอง และก็เริ่มฝึกตัวเองจนได้มายืนในวงการ และก็ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ในวงการนานขนาดนี้ เพราะมินแค่อยากเอาชนะตัวเองเพราะเคยโดนด่า

หลังจากที่โดนไล่ออกมาและโดนด่ามา อาหรั่ง สังวริบุตร เห็นรูปมินเลยเรียกไปแคสต์เรื่องปลาบู่ทอง เพราะหานางเอกมานานไม่ได้ซะที มินก็รับเพราะเคยดูตอนเด็กๆ ก็เลยได้ทำงานมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ (หัวเราะ)”

ในตอนที่กราฟชีวิตพุ่งถึงขีดสุด งานอีเวนต์ งานละครรุม ได้พรีเซ็นเตอร์แทบทุกตัว รู้สึกอย่างไรบ้างกับชีวิตตัวเอง นางเอกสาวก็เล่าถึงความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ว่า

“ทุกอย่างในชีวิตตอนนั้นของมินมันไวไปหมดจนมินแทบไม่รู้สึกอะไร มันไวจนไม่ได้นอน งานเยอะจนไม่ได้นอน มันเป็นช่วงที่กอบโกย แต่เราก็ไม่ได้มีสุขภาพที่ดี ตอนนั้นพุ่งจริงๆ มีบ้านมีรถ

แต่ว่าชีวิตมันขาดสมดุล มันเป็นโอกาสที่ดีนะ แต่ถ้ามันมีความสมดุลได้ ทำแล้วเรียนรู้ พัฒนาตัวเองไป ก็คงจะดีกว่าทำไปเรื่อยไม่ได้หยุด

คือมินโชคดีมีโอกาสที่ดี พอได้เข้ามา คุณแดงก็ดันมีงานเข้ามาเรื่อยๆ แค่ช่วงปีแรกๆ มินก็มีบ้านมีรถ มาจากไหนไม่รู้จนตัวเองงง ตอนที่ได้ตำแหน่งลูกรัก มินเกร็งมาก (หัวเราะ) เดินไปไหนคนก็ตาขวางใส่ ยิ่งต้องถ่อมตัวเพราะคนคาดหวัง”


ดังมากจนทำตัวไม่ถูก

จากนั้น มิน พีชญา ก็เล่าให้ฟังต่อว่า ตอนที่เธอเริ่มมีชื่อเสียงดังมาก ทำให้ตั้งตัวไม่ทัน ทำตัวไม่ถูก ซึ่งการทำงานทำให้มินได้มุมมองชีวิตที่กว้างขึ้น

“มินมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนั้นเราก็ยังเด็ก และเชื่อว่าหลายคนก็เคยเป็นแบบนั้น อายุ 10 กว่าๆ เข้ามาในวงการ มันก็มีตอนที่เราตั้งตัวไม่ทัน ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

อย่างเรื่องมารยาทที่เราควรจะรู้ เล่นไม่ใช่แค่เราอยู่ของเราคนเดียว ไม่ได้ทำใครเดือดร้อนแล้วมันจะจบ แต่เราเป็นคนของสังคม คนคาดหวังกับเรา และเด็กอย่างเราที่ตอนนั้นอายุ 10 กว่า มันจะคิดได้เหรอ

มันก็มีฟีดแบ็กกลับมา เราก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อย เพราะเราเป็นคนพัฒนาได้ ผิดก็รับฟัง ไม่ได้เป็นคนปล่อยผ่าน มินไม่ได้เพอร์เฟกต์ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในวงการค่ะ

...

เวลาเจอกระแสเข้ามา มินเชื่อว่าทุกอาชีพจะต้องเจออะไรแนวๆ นี้ แต่มุมมองของเราต่างหากที่สำคัญที่จะทำให้เราผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร มินก็จะกลับมาทบตัวเองก่อนว่าจริงมั้ยอย่างที่เขาว่า ถ้าจริงก็ปรับปรุง

แต่ถ้าเป็นอารมณ์ของคนที่แค่อยากจะสาดมินก็แยกแยะ ไม่สนใจ มันเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่ปัญหาของเรา เพราะเราทำในหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว ที่เหลือมันเหนือการควบคุมค่ะ ทำงานตรงนี้ต้องคิดบวก ไม่ใช่วิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์

และมันก็มีวันที่มินอยากจะงอแง มีความเป็นเด็ก ด้วยความที่เรามีโอกาสได้เข้ามาทำงานไว แต่เราก็ยังมีหัวใจของความเป็นเด็ก เลยมีบางวันที่งอแง แต่งอแงกับคนที่สนิทนะคะ เวลามีคนชมก็จะอยู่กับปัจจุบัน

ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ก็พยายามพัฒนาตัวเองตลอด เพราะไม่อยากยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ ส่วนคำติชมก็เอามานั่งดู ถ้าติเพื่อก่อให้เราได้พัฒนาตัวเองต่อไปก็เอามาปรับปรุง แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็ไม่แบกมันไว้ค่ะ”

ชีวิตที่น่าอิจฉา

เรา มิน พีชญา ต่อว่า หลายๆ คนมองว่าชีวิตของคนในวงการบันเทิงน่าอิจฉา มีเงิน มีชื่อเสียง บ้านหลังใหญ่ แต่งตัวสวยหล่อ ใช้ชีวิตสวยหรู จริงๆ แล้วมันน่าอิจฉาจริงๆ มั้ย งานนี้เราได้รับคำตอบจากปากของสาวมินว่า

...

“น่าอิจฉาจริงๆ นะ (ยิ้ม) ชีวิตเราดูมีอภิสิทธิ์ แบบที่หลายๆ คนวิจารณ์ ซึ่งมินก็ไม่เถียงเลยอันนี้ เพราะมินมองมุมบวก แม้มันจะต้องแลกมากับความเหนื่อยค่ะ

เราทำงานหนักแบบนี้ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ มันมีทั้งความกดดัน หรือพรสวรรค์ พรแสวง การแข่งขันของคนในวงการ การทำงานที่มีเวลามากกว่า 8 ชั่วโมง ออกกองกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า เลิกเร็วๆ ก็ 4 ทุ่ม

เป็นงานที่มีรายละเอียดยิบย่อยของเนื้องาน ซึ่งแต่ละอาชีพก็มีความยากง่ายแตกต่างกันไป แต่มินก็ถือว่าอาชีพของมินโชคดี ถึงทำให้มินรู้สึกอยากช่วยคนให้มากกว่า เพราะเราโชคดีจริงๆ มีครอบครัวดี ได้โอกาสดีๆ เข้ามา

เวลาคนเห็นที่มีต้นทุนชีวิตน้อยกว่าเราแล้วเขาสู้ รู้สึกชื่นชมเสมอ รู้สึกว่าเขาเก่งมาก เรื่องราวชีวิตเขาเท่มาก แต่การทำงานในวงการจริงๆ ชีวิตค่อนข้างอดนอนนะคะ คนไม่ได้อึดก็อาจจะไม่ไหว ซึ่งมันต้องแลกทำงานได้เงินมาดูแลสุขภาพเรา”


ถึงเวลาที่ต้องเติบโต

อยู่ในช่อง 7 มานาน และเป็นภาพที่ติดตัวของ มิน พีชญา ไปแล้ว แต่จู่ๆ มินก็ขอออกมาเป็นนักแสดงอิสระ ความรู้สึกในการตัดสินใจตอนนั้นยาก หรือกดดันหรือไม่ งานนี้นางเอกสาวเปลี่ยนน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังถึงเรื่องนี้ว่า

...

“การออกมาเป็นนักแสดงอิสระเป็นการตัดสินใจที่ยากค่ะ ไม่เคยมีการตัดสินใจในชีวิตครั้งไหนที่ง่ายค่ะ เพราะทุกอย่างผ่านการคิดมาแล้ว มีการพูดคุยกันมาตลอด

แต่พอถึงจุดนึงชีวิตเราจะต้องเติบโต และมีเส้นทางของเราต่อไป เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ ออกมาเราก็จัดการชีวิตการทำงาน แต่ก็ยังต้องฝึกฝนเพื่อรักษามาตรฐานในความเป็นนักแสดงของตัวเอง เวลาทำงานก็เต็มร้อยเพื่อให้คนที่จ้างเราเขารู้สึกคุ้มค่ากับเงินค่าจ้างเรา”


ทำงานเพราะอยากทำ ไม่ใช่อยากดัง

เราจึงถาม มิน พีชญา ต่อทันทีว่า แต่มินเป็นนักแสดงอิสระที่ไม่คิดรับบทที่พลิกคาแรกเตอร์แรงๆ ร้ายๆ เพื่อความปังเลยเพราะอะไร ซึ่งเราได้รับคำตอบกลับมาว่า

“มินไม่ได้คิดถึงเรื่องทำยังไงให้ปังให้ดังเลยค่ะ ตั้งแต่สัญญายังไม่หมด คนก็ขออนุญาตส่งบทมาให้มินเยอะมาก แต่มีคนส่งบทแรงๆ มาให้เยอะเหมือนกัน อ่านแล้วแบบตกใจมาก (หัวเราะ) อ่านแล้วเล่นไม่ไหว เล่นไม่ได้

เพราะมินซื่อสัตย์กับอาชีพของตัวเอง ถ้าอ่านบทแล้วไม่เห็นภาพ หรือเห็นภาพตัวเองทำะไรแบบนั้นไม่ได้ มินก็จะรู้สึกว่าบทนี้อาจจะไม่เหมาะกับเรา หรือคิดว่าคนอื่นน่าจะทำได้ดีกว่า มินก็จะถอย มินไม่ใช่คนที่โลภมาก งานอะไรเข้ามาก็คว้าไว้ จะคิดก่อนว่าตัวเองจะทำได้ดีมั้ย จะให้อะไรกลับไปกับคนดูได้มั้ย

ถามว่าอยากเล่นร้ายๆ แรงๆ มั้ย มินเคยเล่นค่ะ และเพิ่งเล่นไป แต่รู้สึกว่ามันใช้พลังเยอะ เล่นสองนรีไป ยังรู้สึกว่ารักษาร่างตัวเองไม่หายเลย (หัวเราะ)

ตอนนั้นเกือบเป็นซึมเศร้า เพราะกลับมายังเป็นตัวละครเองอยู่ รู้สึกว่าเป็นตัวละครตัวนั้นมากกว่าเป็นตัวเอง ตอนหนึ่งจะมีความจิตๆ กลับมาก็รู้สึกว่าตัวเองยังจิตๆ อยู่ วิธีคิดก็จะดาวน์ๆ ดิ่งๆ

ช่วงที่ถ่ายละครเรื่องนี้มินเป็นร้อนในหนักมาก เลยมีคำตอบให้ตัวเองว่าเราคงเล่นแบบนี้ทุกปีไม่ได้ คนดูอาจอยากดู แต่เราก็อาจจะไม่ได้เล่นบ่อย มินไม่ได้อยากจะเอาดังอย่างเดียว มันต้องมีความสมเหตุสมผลของบท”

วงการบันเทิงคือส่วนหนึ่งของชีวิต

เพราะทำงานมาตั้งแต่อายุหลักสิบ ยาวนานมาจนถึงปัจจุบันนี้ เราถาม มิน พีชญา ตรงๆ ว่ารู้สึกอิ่มตัวกับการทำงานในวงการบันเทิงบ้างหรือยัง ซึ่งมินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและฟังดูจริงใจว่า

“มินรู้สึกว่าการทำงานในวงการบันเทิงมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมินไปแล้ว เป็นงานที่เรารักและอยากจะทำ มินขอบคุณที่วันนี้ยังได้ทำงาน มีแฟนคลับ มีคนรัก มินไม่กล้าคิดว่าตัวเองดัง

มินมองไม่ออกว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง แม้วันนึงจะออกไปทำธุรกิจแต่เราก็คือ มิน พีชญา ไม่สามารถที่จะทิ้งหัวโขน จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าแฟนคลับจะจำมินไม่ได้”

แม้จะไม่ได้อิ่มตัวในวงการบันเทิง แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่มินขอพักงานในวงการไปเรียน ไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตอยู่เป็นปี ซึ่งมินหัวเราะและบอกว่าเป็นการที่ได้พักผ่อนจริงๆ หลังทำงานมานานแบบไม่ค่อยได้พักให้เราฟังว่า

“ใช่ค่ะ มินไปพักจริงๆ มินเที่ยวเกือบทุกเดือน ไปต่างประเทศตลอด เพราะก่อนหน้าแทบไม่ได้พัก ทำงานตั้งแต่เด็กจนถึงทำงานมาเป็น 10 ปีไม่พักเลย มันก็เลยสงสัยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ เลยไปพัก 1 ปี ไปมา 12 ประเทศ ก็แทบจะเดือนละครั้ง ไปเที่ยวเผื่อโควิด ปีนั้นบินเยอะมาก

ก่อนจะกลับมาทำงานด้วยความสนุก ก็รับงานเยอะๆ ทุกวันนี้เวลาไปทำงานจะไปแบบสนุก มีพลังงานที่มาจากข้างใน เพราะได้ไปล้างตัวเอง ไปชาร์จพลังให้ตัวเองใหม่ เพราะมินเลือกชีวิตไม่ได้ในตอนนั้น ต้องรับละครปีละ 5 เรื่องในตอนนั้น

เพราะเรายังเด็กก็เลยอยากจะค้นหาตัวเอง แต่ถึงจะพักงานไปก็ไม่ได้หาย เพราะพักงานแบบสมเหตุสมผล เวลาถูกเรียกกลับมาทำงานก็ยังทำเต็มที่ ทำเสร็จเที่ยวต่อ ดูแลตัวเองให้เป๊ะทุกอย่าง หน้า รูปร่าง ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองดูโทรมดูแย่

ตอนที่บอกทุกคนจะพัก ทุกคนก็เห็นด้วย เพราะเวลาทำงานมินสุดมากๆ จนทีมงานก็เหนื่อยไปด้วย พอกลับมาจากการพักก็ยิ่งทรงพลังมากกว่าเดิม มินมีพลัง สดใสสดชื่น ใครสัมผัสก็รู้สึกได้ มินเลือกที่จะทำงานไปเรื่อยๆ เลือกงานที่เราทำแล้วมีความสุข วันไหนอยากท้าทายตัวเองก็ท้าทาย”


อยากทำอะไรให้โลกใบนี้

เพราะชีวิตของนางเอกสาว มิน พีชญา ต้องทำงานมาตั้งแต่ยังเด็ก และประสบความสำเร็จในชีวิต มีชื่อเสียงเงินทอง และเติบโตมาถึงจุดหนึ่งที่ทำให้เธอมีคำถามกับตัวเองว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีชีวิตอยู่ไปทำไม หลังจากที่มีคำถามนี้เกิดขึ้นในใจ

มินก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า อยากจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเธอกับการร่วมงานกับ ยูนิเซฟ ซึ่งมินเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขว่า

"ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วที่มินได้ร่วมงานกับยูนิเซฟ ก่อนหน้าที่ยูนิเซฟจะมาติดต่อก็อยากจะทำอะไรเพื่อสังคมอยู่แล้ว เพราะมินทำงานมาถึงจุดหนึ่งชีวิตมันครบแล้ว แล้วเกิดคำถามว่า เกิดมาทำไม คุณค่าของตัวเองอยู่ที่ไหน ได้ทำอะไรไว้ในโลกนี้บ้างหรือยัง

โจทย์ของมินคือถ้าวันนึงมินหายไปจากโลกนี้ มินจะเสียดายอะไรมั้ย เลยเกิดเป็นคำถามว่า เราสามารถช่วยคนได้มากกว่านี้มั้ย เราไม่ได้เกิดมาแค่ว่าโชคดี มีชื่อเสียง ความสามารถที่ติดตัวมา

แต่เราสามารถเอาสิ่งที่เรามีไปช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น กำลังของตัวมินมันน้อย เลยอยากจะร่วมกับองค์กรใหญ่ๆ ที่เขามีกำลัง และให้ตัวเองได้เป็นสะพานเชื่อมไปหาผู้คนจำนวนมาก ทำแล้วสบายใจ ไม่ได้แข่งกับใคร ทำตามกำลัง และหลังจากนั้นแค่ 2 เดือนยูนิเซฟก็ติดต่อมา เหมือนเป็นกฎแรงดึงดูด

มินได้เดินทางไปเคนย่า ไปแล้วสนุกจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะไปช่วย แต่พอกลับมาเหมือนว่าตัวเองถูกช่วยเหลือ (หัวเราะ) คือตั้งใจจะไปช่วย แต่พอไปเห็นประเทศเขาไม่มีแม้แต่ถนน เป็นดินลูกรัง บ้านทำจากมูลสัตว์ น้ำดื่มสะอาดไม่มี มีลูก 3 คน เสียชีวิตไป 1 ก็ฝังลูกไว้ข้างบ้าน

หลังจากที่ได้เห็นภาพทั้งหมด และได้สัมผัสถึงความรู้สึกนั้น เรารู้สึกว่าเขาลำบากจริงๆ ทำให้ความคิดของมินถูกขยาย มองว่าตัวเองโชคดีมากที่มีชีวิตที่ดีขนาดนี้ อยู่ในประเทศที่มีข้าว มีน้ำดื่มราคาเอื้อมถึง

รู้สึกพอใจ ภูมิใจกับสิ่งที่เรามีมากขึ้น หลังจากวันนั้นมินเห็นคุณค่าของหลายๆ ในชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม ก็เลยรู้สึกว่าเราได้บทเรียนจากสถานที่ที่เราไปมา

พอได้ไปสัมผัสกับผู้คนที่นั่น เด็กๆ เขาใสมากจริงๆ เขามีความสุขโดยที่เขาไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองนั้นลำบาก มีอะไรในชีวิตแค่ไหนก็แค่นั้น โตมาตามสภาพแวดล้อมของเขา พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ แต่แม่เขาหน้าเหนื่อยมาก

พอมินเห็นภาพพวกเขาคือน้ำตาไหลเลยนะ แต่ต้องแอบไปเช็ดน้ำตา เพราะมินไม่อยากให้เขารู้สึกว่าพวกเขาน่าเห็นใจ ไม่อยากให้เขาคิดว่าชีวิตเขาไม่ดี

มินอยากช่วยเป็นกระบอกเสียงระหว่างยูนิเซฟกับประชาชน มีกำลังแค่ไหนก็ทำแค่นั้น เพราะมินไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน แต่ตราบใดที่มินยังทำได้อยู่ ก็ถือว่าได้ทำคุณค่าให้กับสังคมบ้าง

ให้กับโลกใบนี้ได้ ในเมื่อวันนึงเราจะต้องจากโลกใบนี้ไปอยู่แล้วว่า พูดเหมือนนางงามนะ แต่มันคือความรู้สึกของมินจริงๆ นะ มินอยากใช้ชื่อเสียงที่ยังมีของตัวเองทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมและโลกใบนี้

ส่วนปัญหาของเด็กๆ ในประเทศไทย หลังจากที่มีโควิดเข้ามา ทำให้เด็กที่ลำบากอยู่แล้วขาดการศึกษาอยู่แล้ว เจอโควิดเข้ามายิ่งทำให้ปัญหามันกว้างขึ้นในเรื่องของปากท้อง

เมื่อก่อนจะกังวลเรื่องการศึกษา แต่ว่าตอนนี้กังวลว่าเด็กจะไม่มีข้าวกิน ด้วยระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น งานของพวกเราก็จะหนักขึ้น แต่ก็จะช่วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกครั้งที่เรามีโอกาสที่จะทำได้ เป็นอีกหน้าที่ที่หยุดทำไม่ได้ เพราะโลกก็ขับเคลื่อนทุกวัน มีหลายชีวิตที่จากไปทุกวัน

สิ่งที่มินทำมันสอนมินได้ มันเลยจุดที่เติมเต็มให้ชีวิตมาแล้ว รู้แค่ว่าเป็นสิ่งที่หยุดทำไมได้ เพราะมีเด็กๆ ที่ขาดโอกาสทุกๆ วัน มินทำให้เต็มที่ในทุกๆ วัน เราเป็นคนตัวเล็กๆ ที่จะช่วย ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ มินก็จะทำ

และมีอีกอย่างที่มินอยากทำคือ การสอนหนังสือบนดอย (ยิ้ม) มินอยากสอนภาษาอังกฤษ ไม่ได้เก่งมาก แต่เราก็มีพื้นฐาน รู้สึกว่ามันคงดีถ้าเด็กไทยสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เยอะขึ้น และมีการศึกษาที่ดีขึ้น ความคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อยากให้เขารู้ เพราะมินเชื่อว่าบนโลกนี้มีแค่รู้กับไม่รู้ และถ้าเขารู้ เผื่อเขาจะได้ไปต่อได้.

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Sathit Chuephanngam, Jutaphun Sooksamphun