• โตมากับเพลงลูกทุ่ง ฝึกเล่นดนตรีตั้งแต่มัธยม ประกวดร้องเพลงรายการดัง
  • จาก "บักจ่อย" เวทีเดอะวอยซ์ สู่ศิลปินแกรมมี่ มีป๊อบ ปองกูล เป็นเหมือนผู้เปิดโอกาส
  • “ดวงเดือน” เพลงดังร้อยล้านวิวที่มาจากชื่อแม่ตัวเอง ล่าสุดปล่อยซิงเกิลใหม่ ไม่ซีเรียสกระแสดรอปลงเพราะทิ้งช่วงนาน

ถึงแม้จะเป็นศิลปินใหม่ แต่ก็แจ้งเกิดในวงการเพลงอย่างรวดเร็ว สำหรับ โจอี้ ภูวศิษฐ์ นักร้องหนุ่มคลื่นลูกใหม่จาก Genie Records (จีนี่ เรคคอร์ด) ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เจ้าของเพลงดัง “ดวงเดือน” เพลงเนื้อหาคิดถึงที่เพราะกินใจ กลายเป็นเพลงดังร้อยล้านวิวในยูทูบภายในเวลาไม่กี่เดือน และล่าสุดหนุ่มคนนี้กลับมาอีกครั้งกับซิงเกิลที่ 2 “โอ๊ย” เพลงอกหักเพลงแรกของเขา อีกทั้งเตรียมปล่อยอัลบั้มเพลงชุดแรกในชีวิต “Moon Rising” เร็วๆ นี้

ในครั้งนี้บันเทิงไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสพูดคุยกับโจอี้ถึงช่วงชีวิตตั้งแต่วัยเด็กที่เขาโตมากับเพลงลูกทุ่ง เริ่มหัดเล่นดนตรีตั้งแต่เรียนมัธยม รักเสียงเพลงจนถึงขั้นไปประกวดร้องเพลงในรายการดัง “เดอะวอยซ์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 7” และได้รับโอกาสที่ดีจากนักร้องรุ่นพี่ ป๊อบ ปองกูล ที่เป็นเหมือนทั้งโค้ชและพี่ชายที่คอยช่วยเหลือแนะนำทุกอย่าง จนทำให้เขามาเป็นศิลปินในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มาจนถึงปัจจุบัน

...

โตมากับลูกทุ่ง

โจอี้เล่าถึงชีวิตก่อนจะเข้ามาเป็นศิลปินว่า สนใจเพลงมาตั้งแต่เด็ก ชอบร้องเพลง ชอบศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องบวกเลข ตั้งแต่อายุ 7 ขวบไม่สนใจวิชาคณิตศาสตร์ สมุดจะมีแต่รูปการ์ตูน ชอบดูการ์ตูน ดูอะไรที่มีเพลง ดูความบันเทิงอย่างเดียว ชอบเพลงลูกทุ่ง เพื่อชีวิต ที่บ้านใน จ.ร้อยเอ็ด ส่วนมากจะเปิดเพลงลูกทุ่ง เลยได้อิทธิพลมาจากคนรอบตัว ส่วนเพลงโปรดที่ชอบร้องคือ “รักสาวนครสวรรค์” ศิลปิน ลูกแพร ไหมไทย แต่ถึงชอบร้องเพลงชอบดนตรีก็ไม่ได้ไปเรียนจริงจัง เป็นเด็กซนๆ ทั่วไป

“พอเข้ามัธยมต้นก็มาเริ่มสนใจพิณ เริ่มหัดพิณ อยากเล่นกีตาร์ เริ่มไปร้องคาราโอเกะ คือมันมีตู้คาราโอเกะหลังโรงเรียนที่ผมเรียน ผมก็ลัดป่าไปร้องเพลงคาราโอเกะ ถามว่าทำไมชอบพิณ ผมว่าเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน ผมว่าพิณสามารถไปได้ไกลกว่านี้ มันคือของมีค่าของภาคอีสาน มันคือระดับโลกก็ได้ มันสามารถเอาไปใส่ทุกเพลง มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันทำให้เราคิดถึงและสนุกได้ เวลาผมคิดถึงบ้าน ผมเอาพิณมาเล่นก็หายคิดถึง เวลาผมอยากสนุก พอเอามาเล่นก็สนุกครับ พิณเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์มากครับ

เรื่องการฝึกพิณ ผมให้พี่ที่รู้จักข้างบ้านเป็นคนสอน เราก็จำแล้วยืมพิณเขาไปเล่น ก็ดีดให้คุณตาคุณยายฟังว่าดีดได้ เราก็ภูมิใจ ดีใจที่ดีดให้ฟัง แต่ผมไม่ได้เป็นมือพิณในโรงเรียนนะ ผมเป็นมือฉิ่งฉาบ เราอยากเล่นพิณ แต่ยังไม่ค่อยได้เล่น มาเล่นจริงๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะผมเรียนเอกพิณ เลยได้เรียนเพลงต่างๆ ที่อาจารย์ให้มา แต่ตอนมัธยมต้นก็มีฟอร์มวงโปงลางของโรงเรียน เวลาไปเล่นตามงานเทศกาลก็ใช้วงโรงเรียนไป ผมเล่นกับของโรงเรียนตอน ม.2-ม.3 ก็ประมาณ 2 ปี

ทีนี้มันก็มีการเปลี่ยนแปลง พอเข้าช่วงมัธยมปลาย เพื่อนๆ ก็มีทางของตัวเอง ไม่ได้ชอบดนตรีพื้นบ้าน แต่ผมก็ยังชอบอยู่ แล้วก็มีโอกาสไปเล่นดนตรีสากลกับเพื่อน พอเข้าสู่วัยรุ่น เราก็ฟังเพลงมาเยอะ ช่วงมัธยมปลายคุณครูดนตรีออกจากโรงเรียน ก็ไม่มีคุณครูดนตรี มีแต่คุณครูนาฏศิลป์ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรีอะไรนัก เขาเอากุญแจห้องดนตรีมาให้เลย ผมอยากเข้าตอนไหนก็ได้ บางทีก็เข้าไปเล่นกีตาร์คนเดียว บางทีก็ชวนเพื่อนไปเล่น มีรุ่นน้องมาเล่นด้วยกัน มีหนังสือเพลงด้วยเลยไม่ได้ยากเท่าไร ก็สนุกดีในช่วงนั้น แต่ก็ยังเล่นพิณเรื่อยๆ”

ประกวดเวทีดัง

จากนั้นโจอี้ตัดสินใจไปประกวดร้องเพลงในรายการดังอย่าง “เดอะวอยซ์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 7” ในปี 2561 พอจบรายการไปแล้วยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ช่วงนั้นเรียนครู 5 ปี ถ้าไม่ได้มาทางศิลปินก็จะไปอ่านหนังสือสอบเพื่อสอบบรรจุเป็นครู แต่อีกใจไม่อยากทิ้งความฝันตั้งแต่เด็ก เพราะตอนนั้นมาถึงการประกวดเดอะวอยซ์รอบสุดท้าย เป็นหนทางที่ดีมากที่จะพาไปถึงขั้นการมีเพลงของตัวเอง เลยให้เวลาตัวเอง 3 ปี ถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะกลับบ้านไปสอบครู แต่ถ้าโอเคก็จะสู้ต่อไป

ถามว่านึกอย่างไรถึงอยากไปประกวด โจอี้บอกว่า “จริงๆ ผมจะส่งไปก่อนหน้านี้ปีนึง แต่ผมส่งไฟล์ไม่เป็น มันก็เลยหมดเวลาไปก่อน พอปีต่อมาช่วงนั้นเราเล่นดนตรีกลางคืนด้วย ก็อยากออกทีวี อยากถ่ายทอดอารมณ์ที่ตัวเองมี นี่แหละคือตัวผมที่เล่นดนตรีมา 2-3 ปี อยากให้คนเห็นเยอะ ก็เลยคิดว่าลองประกวดดีมั้ย เลยลองส่งคลิปไป ส่งไปตอนเช้าๆ ตื่นมาผมก็เอาโทรศัพท์มาตั้งแล้วก็อัดคลิปส่งเลย ก็ผ่านเข้ารอบครับ

...

ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งความหวังเลย คิดว่าถ้าออกทีวีแค่รอบเดียวแล้วตัดชื่อผมออกก็ไม่เสียใจเลย เพราะผมได้ออกทีวีแล้ว พอมาถึงรอบสุดท้าย ตอนนั้นมีคนให้กำลังใจเยอะมาก ผมจำได้ว่าแฟนคลับเป็นพันคนเลย เราไม่เคยมีคนติดตามเราเยอะขนาดนี้ เป็นเด็กโง่ๆ คนนึง เวลามาแข่งเดอะวอยซ์ก็มีคนมารอให้โน่นนี่ ก็คิดว่าทำตัวยังไงดี ตื่นเต้น แปลกใหม่ดีครับ

ตอนนั้นผมอยู่ทีมพี่ป๊อบ รอบสุดท้ายคือผมปล่อยวางแล้ว ผมพอแล้ว มันเต็มอิ่มแล้ว ออกทีวีหลายรอบแล้ว แต่ก็ทำเต็มที่ ก็สนุกและตื่นเต้นด้วยครับ ผมรู้สึกว่าทุกคนจับจ้องมาที่ตัวผม เราไม่ค่อยได้เจออะไรแบบนี้ก็ตื่นเต้นมากครับ รายการเดอะวอยซ์เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม เป็นประสบการณ์ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าผมจะไปยืนอยู่จุดนั้นครับ รู้สึกภูมิใจในตัวเองเหมือนกัน พอมองย้อนกลับไป เวทีนี้เหมือนเป็นเวทีเปิดทาง เป็นประตูที่สำคัญมากในชีวิตจนถึงตอนนี้ เป็นรายการที่เหมือนเป็นผู้มีพระคุณของผมเลยครับ เหมือนเป็นรายการที่จุดไฟสุดๆ ให้กับผม ถ้าไม่มีเดอะวอยซ์ ผมคงทิ้งความฝันไปเป็นครู ซึ่งไม่ได้อยากเป็นครับ”

...

เกือบ 2 ปีที่รอคอย

แต่หลังจบการประกวด โจอี้บอกว่า ใช้เวลาอยู่นานเกือบ 2 ปีกว่าจะได้เป็นศิลปินในสังกัด Genie Records ถามว่าทำอะไรบ้างในช่วงนั้น นักร้องหนุ่มบอกว่า “ผมก็วนเวียนอยู่กับพี่ป๊อบนี่แหละครับ ได้คัฟเวอร์ ไปดูพี่ป๊อบโชว์ ชอบตามไปดูพี่ป๊อบเล่นคอนเสิร์ตด้วย ได้เรียนรู้หลายอย่างในการทำเพลง ซุ่มซ้อมทำเพลงกับพี่แบงค์ (รัฐวิชญ์ อนันต์พรสิริ) ที่เป็นโปรดิวเซอร์ ก็อยู่ด้วยกัน แลกเปลี่ยนความคิดว่าเราจะไปในทางไหนดี

ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ผมเรียนรู้ตลอดในช่วงที่ยังไม่ได้อยู่ค่ายจีนี่ฯ ก็ทำเพลง อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำครับ ช่วงปีกว่าเร็วมากสำหรับผมเพราะไม่ได้อยู่นิ่ง ผมมีความหวังตลอด ไม่ได้กลัวว่าเราจะเป็นศิลปินได้รึเปล่า เพราะว่าถ้ามันไม่สำเร็จ ผมก็กลับไปสอบครูได้ เลยไม่ได้ท้อกับเรื่องแบบนี้ ผมเป็นคนคิดบวกตลอด วันไหนที่รู้สึกไม่ดีก็ไม่เป็นไร ก็หวังว่าพรุ่งนี้จะดีครับ”

ถามว่าสุดท้ายมาอยู่ที่จีนี่ เรคคอร์ด ได้ยังไง โจอี้บอกว่า “อ๋อ คือวันนั้นผมทำเพลงเพลงนึงมาแล้วอยากเอาไปให้พี่ป๊อบฟัง ทีนี้พี่ป๊อบมีประชุมที่บ้านกับค่ายของพี่ป๊อบ มีพี่อาร์ม ผู้บริหารค่ายไวท์ มิวสิก ผมก็ไปเจอพี่อาร์มพอดี ผมเลยถือโอกาสเปิดเพลงที่ผมทำเสร็จให้พี่ๆ ที่อยู่ตรงนั้นฟัง แล้วก็ร้องสดตรงนั้นเลย พอฟังเสร็จ พี่อาร์มก็บอกว่าเฮ้ย เพลงนี้เหมาะกับพี่ต๋อม (ณัฐพล มุขขันธ์) นะเนี่ย พี่ต๋อมก็คือผู้บริหารค่าย Grand Musik หัวหน้าของผมตอนนี้ พี่อาร์มก็บอกว่าเดี๋ยวคุยพี่ต๋อมให้ เข้าไปเจอพี่ต๋อมได้เลย ก็นัดวันเข้าไปเจอพี่ต๋อมที่ตึกแกรมมี่ ก็ไปคุยกัน

...

พอคุยกันเสร็จ ผมก็มีโอกาสเปิดเพลงนึงให้พี่ต๋อมฟัง พี่ต๋อมก็ชอบแล้วบอกว่าไหนทำเพลงออกมาอีกสิ ผมก็เอาเพลงดวงเดือนให้พี่ต๋อมฟัง พี่ต๋อมก็ยิ่งชอบแล้วบอกว่าปล่อยเพลงนี้เลย ทำเพลงนี้แหละ ก็ใช้เวลาทำอยู่พอสมควรก็ได้ไปเซ็นสัญญากับแกรมมี่ช่วงปี 2562 ครับ ก็ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่ (หัวเราะ) ผมเดินขึ้นไปตึกแกรมมี่ที่ผมเคยเห็นแต่ในทีวี เราไม่เคยไปอยู่ในโซนนั้น ก็ตื่นเต้นเหมือนกันครับ คิดว่าหลังจากนี้เราจะเป็นยังไง”

ดวงเดือน

หลังจากเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัดก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะได้ออกผลงานเพลงแรก “ดวงเดือน” ซึ่งโจอี้บอกว่า “ผมต้องเรียนรู้เรื่องซาวนด์ที่ชอบกับพี่แบงค์ ต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดเข้าไปในเพลงนี้ จนได้มาเป็นเพลง “ดวงเดือน” อย่างที่ฟังกัน เพลงนี้มีที่มาจากผมคุยกับพี่แบงค์ว่าอยากได้เพลงเกี่ยวกับความคิดถึง แต่ไม่ใช่ความคิดถึงของผมคนเดียวนะ เป็นความคิดถึงของทุกคน คือผมคิดถึงบ้าน เด็กบ้านนอกที่เคยอยู่แต่บ้าน พอห่างจากบ้านก็คิดถึงบ้าน ผมเลยอยากมีเพลงที่เกี่ยวกับความคิดถึง แต่อยากเล่าครอบคลุมถึงทุกคนเลย

พี่แบงค์ก็บอกว่าลองแต่งเพลงกันมั้ยล่ะที่หัวหิน ก็ไปกับพี่แบงค์ พี่เดือน ผู้จัดการผม น้องอิงค์ เดอะวอยซ์ ไปช่วยกันแต่ง คือผมแต่งทำนองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เป็นทำนองที่ผมชอบ เหลือแต่เนื้อเพลง พอนั่งคุยกันตอนค่ำๆ พระจันทร์ขึ้นพอดี พี่แบงค์ก็ถามว่าแม่ชื่อดวงเดือนใช่มั้ย ผมก็บอกว่าใช่ครับ พี่แบงค์เลยบอกว่าเราแต่งชื่อนี้มั้ย ผมก็บอกว่าได้ครับ น่าสนใจ ก็เลยแต่งจนเสร็จในคืนนั้นตอนดึกๆ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เลยมาแต่งต่อที่กรุงเทพฯ จนได้เพลงนี้ออกมาครับ”

เมื่อปล่อยเพลงนี้ในช่วงปลายปี 2563 ปรากฏว่ากลายเป็นเพลงดังร้อยล้านวิวในเวลาต่อมา เรียกว่าเป็นความสำเร็จอย่างมากในฐานะศิลปินหน้าใหม่ ถามว่าคิดว่าจะได้กระแสตอบรับขนาดนี้ไหม โจอี้บอกว่า “ไม่คิดเลยครับ ผมเป็นศิลปินใหม่ แค่ 2 ล้านวิวก็เยอะสำหรับผมแล้ว ถามว่าอะไรเป็นเสน่ห์ของเพลงนี้จนกลายเป็นเพลงร้อยล้านวิว ส่วนตัวผมคิดว่าทุกคนบนโลกใบนี้ชอบคิดถึงบางสิ่งบางอย่างตลอด อย่างในกรุงเทพฯ เวลาผมเดินไปไหนก็เห็นคนขับแท็กซี่ สามล้อ เป็นคนต่างจังหวัด ผมคิดว่าเขาต้องคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว แล้วเพลงนี้เป็นความมหาชนครับ คือเป็นเพลงที่พอฟังแล้วสามารถคิดถึงได้ทั้งหมด คนก็เลยชอบครับ”

โจอี้บอกว่า เพลงดวงเดือนใช้เวลา 5-6 เดือนกว่าจะถึงร้อยล้านวิว มีช่วงที่หยุดนิ่งไปคือช่วงโควิดระบาด แต่ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ดีๆ เพลงถึงปังขึ้นมา “ช่วงนั้นได้มีโอกาสไปออกรายการของพี่โอ๊ต ปราโมทย์ ซึ่งมีพี่ลุลา (กันยารัตน์ ติยะพรไชย) และพี่ป๊อบด้วย แล้วแฟนคลับผมเขาแคปไปลงใน TikTok เขาก็เขียนแคปชั่นว่า เพลงที่ทำให้พี่ลุลาร้องไห้ คนก็เข้าไปฟังว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร เขาก็เลยตามมามั้งครับ ผมว่าอาจจะเป็นเพราะการโปรโมตด้วย พี่ป๊อบ พี่โอ๊ต ก็พาผมไปออกรายการต่างๆ ผมว่าเป็นเพราะทุกคนที่ช่วยเหลือให้เราไปโปรโมต เพลงมันเลยทำงาน ต้องขอบคุณพี่ๆ ทุกคนด้วยครับที่พาดวงเดือนมาถึง 138 ล้านวิวครับ เป็นตัวเลขที่เยอะมาก”

โจอี้ยอมรับว่า จากความสำเร็จของเพลงดวงเดือน ทำให้รู้สึกกดดันกับการทำเพลงที่ 2 นิดหน่อย แต่ก็บอกตัวเองว่าเพลงที่ 2 อย่าไปหวังเหมือนเพลงดวงเดือน คือทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ อย่าไปหวัง 100 ล้านวิว “การทำเพลงยุคนี้ 100 ล้านวิวยากมากเลยครับ ก็มีความกดดันบ้าง เพลงดวงเดือนเป็นเพลงที่ดีมากๆ จนถึง 100 ล้าน แล้วพอเพลงต่อไปต้องทำดีให้ได้มาตรฐานเท่ากับดวงเดือน แต่ถามว่ากดดันมั้ยที่เพลงจะไม่ดังเท่า ผมไม่กดดันเรื่องนี้ ผมมองว่ามันเป็นศิลปะที่เป็นไปได้ว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบงานเรา แต่ถ้ามีคนชอบ เขาคงจะไปบอกต่อกันว่าเพลงนี้ดีนะ ลองเข้าไปดูมั้ย ผมคิดแค่นี้แหละ”

นักร้องหนุ่มยอมรับว่า ป๊อบ ปองกูล คือส่วนสำคัญที่ทำให้มายืนอยู่ตรงนี้ได้ “ตั้งแต่ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ผมรู้จักพี่ป๊อบในฐานะโค้ชเดอะวอยซ์ พอจบเดอะวอยซ์ พี่ป๊อบก็ยังเป็นโค้ชผมอยู่ทั้งในชีวิตจริง ชีวิตปัจจุบัน พี่ป๊อบเป็นทั้งโค้ช เป็นทั้งพี่ชายที่ช่วยเหลือผม แนะนำผมทุกอย่าง เรียนรู้สอนผมในการทำโชว์ แนะนำเรื่องในวงการเพลง สอนมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ผมมีโอกาสได้ไปเล่นดนตรีกับพี่ป๊อบ มีเงินจุนเจือครอบครัว เป็นผู้ที่ให้ผมมาตลอด”

ผลงานล่าสุด

โจอี้เล่าถึงการทำงานเพลงล่าสุด “โอ๊ย” ซึ่งแต่งร่วมกับแบงค์ รัฐวิชญ์ อนันต์พรสิริ โปรดิวเซอร์ ซึ่งมีความเป็นอินดี้โฟล์ก ร็อก มีกลิ่นอายความเป็นอีสาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเหมือนตอนที่ทำเพลงดังอย่าง “ดวงเดือน” ไว้ว่า “เพลงนี้เกิดขึ้นในวันที่ผมอยากแต่งเพลงสักเพลง ผมก็ลองแต่งเพลงตามที่ตัวเองเข้าใจครับ พอแต่งเสร็จก็ให้พี่แบงค์มาดูว่าโอเคมั้ย ซึ่งพี่แบงค์ก็มาปรับจนสมบูรณ์ แต่เพลงนี้ก็ยังไม่ได้ไปเสนอผู้ใหญ่

แต่ที่ได้เสนอจริงๆ คือผมไปคุยอีกเพลงนึงอยู่ แล้วพอดีเพลงนี้ผู้ใหญ่ลองเอาไปทำดู ทำเสร็จแล้วพี่ต๋อม ผู้บริหาร Grand Musik ก็ชอบ แต่ยังไม่ได้ชื่อเพลง แต่ท่อนฮุคมันเป็นคำว่าโอ๊ย ก็เลยได้ชื่อเพลง “โอ๊ย” ตรงๆ ครับ เนื้อหาเป็นแนวอกหักเพลงแรกของผม ผมรวบรวมเรื่องราวที่เราพบเจอกับคนรอบข้างมาครับ อย่างท่อนฮุค “โอ๊ย ทำไมเจ็บแท้” คล้ายกับพูดแทนว่าที่เจ็บอยู่ข้างในต้องพูดแบบนี้ พูดแทนคนที่กำลังจะเสียความรักไป”

ในพาร์ตดนตรีที่มีเสียงพิณ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโจอี้ เขาบอกว่า “ผมอยากให้ทุกเพลงมีพิณอยู่ข้างใน มีกลิ่นอายของโฟล์กหน่อย เพราะผมชอบฟังเพลงพวกโฟล์ก ชอบเพลงร็อก โตมากับเพลงร็อกด้วย ก็เลยอยากให้อยู่รวมกัน แต่ความเป็นเอกลักษณ์ก็คือผมอยากเอาพิณมาใส่ทุกเพลงที่จะปล่อยออกมา อยากให้เป็นเอกลักษณ์ไปเลย เหมือนเป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้”

ส่วนมิวสิกวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรักในวัยเรียน โจอี้บอกว่า “พี่ต๋อม ผู้บริหารฯ เป็นคนกำกับด้วย ทั้งเพลงดวงเดือนและเพลงโอ๊ย พี่ต๋อมบอกว่า อยากได้ฟีลแบบมัธยมหน่อย ฟีลวัยรุ่นรักกัน คนนึงแอบรักอีกคน อยากได้ฟีลวงดนตรีมัธยม แต่ในเอ็มวีพี่ต๋อมไม่ได้เน้นเส้นเรื่องมาก อยากให้แต่ละชอตของตัวแสดงให้มันซัพพอร์ตในเพลงเลย ให้เพลงเป็นตัวดำเนินมากกว่าเนื้อเรื่องเอ็มวี ให้ภาพในเอ็มวีซัพพอร์ตกับเพลงชอตต่อชอต ส่วนตัวผมก็ชอบงานของพี่ต๋อมอยู่แล้ว หลังจากเพลงดวงเดือนก็ไม่ได้ถ่ายเอ็มวีเลย เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ 2 ในชีวิต ก็ตื่นเต้น อยากเรียนรู้ พี่ๆ ทีมงานก็เต็มที่มาก ก็ชอบมากเลยครับ”

ส่วนสาเหตุที่ปล่อยเพลงนี้ทิ้งช่วงห่างจากเพลงแรก “ดวงเดือน” นานเกือบปี โจอี้บอกว่า จริงๆ แล้วเพลงนี้มีแพลนที่จะปล่อยในช่วงกลางปี 2564 แต่จากสถานการณ์โควิดที่หนักมากจนถ่ายเอ็มวีไม่ได้ จึงเลื่อนออกไปก่อน และทำเพลงตุนไว้เรื่อยๆ พอทำเพลงเสร็จก็หาวันถ่ายเอ็มวีไม่ได้อีก แต่สุดท้ายก็หาวันถ่ายจนได้ และปล่อยเอ็มวีในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2564 ถามว่าซีเรียสมั้ยที่อาจทำให้กระแสดรอปลงเพราะทิ้งช่วงนาน เจ้าตัวบอกว่า ไม่ซีเรียสเรื่องเวลา ถ้าเพลงสามารถเข้าไปในใจคนฟังได้ ไม่ว่าเวลาไหน หรือนานแค่ไหน ถ้าคนฟังชอบก็น่าจะส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ซึ่งแฟนๆ ก็ชอบ เพราะไม่ค่อยได้เห็นเพลงของเขาที่เล่ามุมดราม่าอกหัก ก็พยายามถ่ายทอดให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ชีวิตปัจจุบัน

ในชีวิตจริงของโจอี้ เจ้าตัวบอกว่า เคยมีแฟน แต่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องอกหัก เพราะยังเด็ก เมื่อถามถึงความรักปัจจุบัน เจ้าตัวบอกว่า ยังโสด ส่วนสเปกสาวที่ชอบ โจอี้บอกว่า “สเปกผมไม่ค่อยมีครับ ก็เป็นคนบ้านๆ ง่ายๆ เรื่องสวยไม่ค่อยจำเป็น ขอให้คุยกันรู้เรื่อง เป็นคนดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจแค่นั้นก็พอ สำหรับผมถ้าอยากรักใคร ผมก็อยากแต่งงานและมีลูกเลย”

ถามว่าตอนนี้มองเรื่องความรักยังไง โจอี้มองว่า “ทุกคนควรพยายามให้เกียรติกัน อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ อาจมีทะเลาะกันบ้าง แต่ขอให้อยู่รักษากันในวันที่เหนื่อยล้า ท้อแท้ เติมเต็มสิ่งที่ขาดไป ให้กำลังใจกัน นั่นคือความรักของผมครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เป็นแบบนี้ครับ ก็ต่างจากตอนเด็ก ตอนนั้นเรารัก เราหลง มันเป็น Puppy Love อยากเข้าใกล้ อยากไปหาเขา แค่เห็นหลังคาบ้านก็ดีใจแล้ว”

ส่วนผลงานชิ้นต่อไป โจอี้บอกว่า ในปีนี้จะมีอัลบั้มเต็ม “อัลบั้มใหม่ชื่อ Moon Rising ครับ ก็มีหลายเพลง อยากให้รอติดตามกัน แต่ละเพลงจะแตกต่างออกไป สไตล์ไม่เหมือนกัน ก็จะมีเพลงที่ฟีทเจอริ่งกับพี่พลพล และในเดือน มี.ค. จะมีเพลงซิงเกิลใหม่ของผม เป็นเพลงเปิดอัลบั้มเลยครับ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็จะปล่อยทีละเพลง แต่ใช้เวลาไม่นานครับ ผมก็จะพยายามทำเพลงที่เข้าไปในใจคนฟังให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะทำเพลงให้อยู่เป็นเพื่อนของทุกคน จะทำจนกว่าจะหมดแรงครับ เวลาคุณท้อ เหงา ลองเข้ามาฟังเพลงผมดูนะครับ”

ปิดท้ายโจอี้ฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานว่า “ขอบคุณที่อยู่ร่วมกันมา ทั้งแฟนคลับกลุ่มเก่ากลุ่มใหม่ ขอบคุณที่เป็นแรงผลักดัน เป็นอีกเชื้อเพลิงนึงที่ขับเคลื่อนตัวผมเหมือนกัน หน้าที่มอบความสุขเป็นหน้าที่ของผมเองนะครับ ผมจะทำให้เต็มที่ครับ สามารถติดตามผลงานผมได้ที่ YouTube : JOEY PHUWASIT OFFICIAL Fanpage : Joey Phuwasit Facebook : Joey Pws IG : @joeypws ครับ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : GMM Grammy
กราฟิก :