- เด็กๆ ฝันอยากเป็นนายแบบ แต่กลายเป็นนักร้อง เพราะมีแมวมองมาหาที่หน้าโรงเรียน
- ความสำเร็จในฐานะศิลปินวง 3.2.1 ก่อนกลายเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่หวั่นแม้ต้องเจอดราม่า
- เหตุผลที่ให้ ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา เป็นภรรยาและแม่ของลูก "เราจะหาผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วในชีวิต"
แจ้งเกิดจากการเป็นนักร้อง หนึ่งในสมาชิกศิลปินวง 3.2.1 (ทรีทูวัน) และต่อยอดมาสู่การเป็นศิลปินเดี่ยว สำหรับ กวินท์ ดูวาล แร็ปเปอร์หนุ่มชื่อดัง แต่ก่อนที่จะเข้าวงการบันเทิง เขาบอกว่าเคยฝันอยากเป็นนายแบบมากกว่า แต่ก็ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก เพราะเคยดูคอนเสิร์ตของมอส ปฏิภาณ ที่คุณแม่ชอบเปิดให้ดู สุดท้ายก็กลายเป็นนักร้องแบบไม่คาดคิด หลังมีแมวมองไปหาถึงหน้าโรงเรียน
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ชวนหนุ่มคนนี้มาพูดคุยถึงชีวิตในวันวาน ก่อนจะกลายเป็นศิลปินในสังกัดกามิกาเซ่ในเครืออาร์เอส และกลายเป็นศิลปินเดี่ยว มีผลงานเพลงดังๆ อาทิ รักต้องเปิด (แน่นอก), แค่ที่รัก, มีอีกไหม, A ROCKET TO THE MOON, รักได้ป่าว, รอเธอที่เมืองทอง (ROR T MT) ฯลฯ รวมถึงชีวิตที่ต้องเจอดราม่า และชีวิตในวันนี้ที่กำลังจะเป็นว่าที่คุณพ่อคนใหม่ หลังภรรยาคู่ชีวิต ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา กำลังมีลูกชาย ทายาทคนแรกของทั้งคู่
...
ฝันอยากเป็นนายแบบ
เราถามกวินท์ถึงชีวิตในวันวานว่ามาเป็นศิลปินในค่ายกามิกาเซ่ในเครืออาร์เอสได้ยังไง เจ้าตัวบอกว่า “ผมเดินอยู่หน้าโรงเรียนครับ แล้วเขาเห็นหน้าผม เขาบอกว่าเหมือนมาริโอ้ (เมาเร่อ) แล้วผมก็กลับมาถามตัวเองว่าใช่เหรอวะ (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้จัก เขาบอกว่าเราน่ะทรงเหมือนมาริโอ้เลย แต่ผมหันมามองตัวเองแล้วรู้สึกว่าเป็นเด็กฝรั่งข้าวสารคนนึง ตอนนั้นอายุแค่ 15 เอง ก็ 10 กว่าปีแล้ว เขาเจอผมตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นกำลังเอ๊าะๆ เลย หลังจากเขาเห็นผมที่หน้าโรงเรียน เขาก็พาผมไปเทสต์ที่อาร์เอส
แต่จริงๆ ตอนนั้นผมอยากเป็นนายแบบ ไม่ได้อยากเป็นนักร้อง พอเราเริ่มรู้ตัวเองว่าสูงไม่พอแล้ว เพราะนายแบบตอนนั้นสูง 185 แต่เราสูงแค่ 178 เอง มันก็ไม่สูงเท่าเขาไง (ยิ้ม) เอาจริงๆ ผมชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมฟังพี่มอส (ปฏิภาณ ปฐวีกานต์) เขาเคยมีคอนเสิร์ตอันนึงที่แม่ชอบเปิดให้ดูบ่อยๆ ตอนนั้นเขาเดินขึ้นบันไดในคอนเสิร์ต ผมก็จะชอบทำตาม มีรูปนึงที่แม่เก็บไว้อยู่ ผมจะชี้เหมือนพี่มอสตรงบันได นานมากแล้วครับ แต่ตอนนั้นยังเด็กมากเลยไม่รู้ว่าเราชอบเพลงแนวไหน
พอวันที่เขามาชวนไปเทสต์ที่อาร์เอส ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะมาหลอกผม เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ในยุคนั้นโมเดลลิ่งจะเดินเข้าไปหาคนกันเยอะไง ผมก็เลยโทรไปหาแม่แล้วให้แม่ไปด้วย เพราะกลัวเขาเอาผมไปทำอะไร ก็ได้ไปที่ตึกอาร์เอสจริงๆ ถามว่างงมั้ยตอนนั้นก็ไม่งงนะครับ เขาก็บอกว่าเขาต้องการให้ผมทำอะไรบ้าง เขาก็ให้ร้องเพลง เต้น แล้วเขาก็แต่งหน้า ตอนแรกที่ผมไป ผมค่อนข้างอ้วนนิดนึง ยังเด็กอยู่น่ะ ยังมีเบบี้แฟต มีแก้มอยู่ พูดภาษาไทยก็ไม่รู้เรื่อง
แต่พอผมไปอังกฤษประมาณครึ่งปีแล้วกลับมา ตอนนั้นก็เริ่มเสียงแตก ตัวสูงขึ้น หน้าผอมเลย เขาก็อนุมัติ เขาก็โทรกลับมาประมาณเดือน 2 เดือนหลังจากนั้นว่าโอเค อยากให้มาเป็นศิลปินในวง 3.2.1 (ทรีทูวัน) ก็เป็นจุดเริ่มต้นครับ แล้วทางอาร์เอสก็จัดคนมาจากต่างที่มาอยู่ด้วยกัน วันแรกที่มาเจอกับทั้ง 2 คน (ป๊อปปี้ ชัชชญา ส่งเจริญ และ ทีเจ จิรายุทธ ผโลประการ) ก็ยังไม่ยังไงนะ เหมือนยังไม่รู้จักกัน แต่ก็เริ่มสนิทกันขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ 4-5 ปี ทัวร์ด้วยกัน มีเพลงดังด้วยกัน”
เคยเหลิงไปกับชื่อเสียง
กวินท์บอกว่า วันแรกที่รู้ว่าจะได้ทำอัลบั้มในนามทรีทูวัน ค่ายกามิกาเซ่ ก็ใช้เวลา 1-2 ปี กว่าจะได้ออกซิงเกิลแรก แต่ในระยะเวลา 1-2 ปี ทางค่ายให้ไปซ้อมทุกวัน ทั้งซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น โดยซิงเกิลแรกคือเพลง “เขย่า (3.2.1 Shake it ah)” เมื่อ 14 พ.ค. 2553 ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้มีเพลงที่ทำเสร็จแล้วคือเพลง “แค่ที่รัก” แต่ที่ปล่อยเพลงเขย่าก่อน เพราะว่าคอนเซปต์ของค่ายก็คือจะปล่อยเพลงเร็วก่อน เพื่อให้เห็นภาพคาแรกเตอร์แต่ละคนว่าเป็นยังไง แล้วค่อยไปเน้นที่เพลงดัง หาเพลงฮิต
ในยุคที่ค่ายกามิกาเซ่เฟื่องฟูมากๆ มีศิลปินในค่ายมากมาย ถามว่ากดดันหรือไม่ กวินท์ตอบว่า “ไม่ครับ ตอนเด็กๆ ผมไม่คิดอะไร ไม่รู้สึกอะไรเลย เวลาเข้าห้องอัดก็จะไม่ได้คิดมาก ไม่คิดอะไรเยอะ ถ้ามันมาก็มาเอง อย่างเพลงที่มาก็คือเพลง แค่ที่รัก, มีอีกไหม, Me Too, เธอมีเขา ชีวิตตอนนั้นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป เริ่มมีตังค์ เริ่มใช้เงินเยอะๆ เริ่มโตขึ้น ไปปาร์ตี้กับเพื่อนได้ มีกิจกรรมเยอะ (หัวเราะ)
...
ถามว่ามีเหลิงมั้ยกับชื่อเสียงในเวลานั้น มีครับ ก็เหลิงเลยแหละ ตอนนั้นเพลง “มีอีกไหม” กำลังดัง แต่หลังจากนั้นก็โดนค่ายเรียกเข้าไปคุย เหมือนตอนนั้นอีโก้มันพุ่ง เราก็เริ่มโตขึ้น มีชื่อเสียง เงินเริ่มเข้ามา เราทำด้วยตัวเองได้ ไม่ได้พึ่งพ่อแม่ สาวๆ ก็เริ่มเข้ามา เอาจริงๆ ตอนนั้นผมไม่น่าคบเลย ตอนนี้น่าคบกว่าเยอะเลย (ยิ้ม) ที่ค่ายเรียกไปคุยตอนนั้นเพราะเริ่มนิสัยไม่ค่อยดี เริ่มเยอะแล้ว หลังจากนั้นผมก็เลยเบาลงมานิดนึง”
ส่วนความสำเร็จที่ปังสุดๆ คือเพลง “รักต้องเปิด (แน่นอก)” ที่มีใบเตย อาร์สยาม มาร่วมฟีตเจอริ่ง กลายเป็นเพลงฮิตร้อยล้านวิว กวินท์พูดถึงวันที่เพลงดังจนได้ขึ้นคอนเสิร์ตที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ไว้ว่า “ผมจำได้ว่าผมพูดกับเพื่อนๆ ว่ามันเป็นเวทีที่บียอนเซ่ได้ขึ้น แล้วเราได้ขึ้นเหมือนกัน มันนานมาแล้ว ผมจำความรู้สึกไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนตอนนั้นยังเด็กอยู่ อายุ 20 ต้นๆ เอง
แต่ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปมากมั้ย ก็เปลี่ยนครับ มันเปลี่ยนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อยู่ทรีทูวันจนมาถึงวันนี้ก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง แม้กระทั่งแนวเพลงก็โตขึ้นมานิดนึง แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของกามิกาเซ่อยู่ มันสลัดทิ้งไม่ค่อยได้น่ะ เหมือนผมถนัดที่จะทำอันนี้ แต่ว่าไม่ได้ทำมันเต็มที่ มันเป็นสิ่งที่เราถนัด แต่ไม่ค่อยได้ทำมัน นอกจากเพลง “รักได้เปล่า” แต่ปีหน้าน่าจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นกลิ่นอายของกามิกาเซ่อยู่
...
ถามว่าคนยังติดภาพเรากับกามิกาเซ่อยู่ เลยอาจจะยังสลัดไม่ออกรึเปล่า จริงๆ จุดนั้นผมไม่ได้อะไรเลย ถ้าคนจะเห็นเราจุดนั้น มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรา ผมภูมิใจด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้ทำ เจอเพื่อนดีๆ ในตอนนั้น พอเสร็จจากตรงนั้นมันเหมือนเป็นประสบการณ์ชีวิตให้ผมได้มาสู่ในสิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ แต่ผมชอบนะ (ค่ายกามิกาเซ่) ยังไงมันเป็นความทรงจำที่ผมจะเก็บไว้ตลอดชีวิตอยู่แล้วแหละ”
ชีวิตหลังหมดสัญญา ดราม่าที่ต้องเจอ
กวินท์เผยถึงช่วงที่ย้ายไปอยู่ในค่าย Yes Music ในเครืออาร์เอส ว่าเป็นช่วงที่ทุกคนหมดสัญญา “ตอนนั้นทางค่ายให้พนักงานออกเยอะ เขาก็มาถามว่าเราจะเซ็นสัญญาต่อมั้ยอีก 5 ปี เราก็เลยกลับมานั่งคิดกับตัวเองว่าถ้าเซ็นสัญญาอีก 5 ปี อายุก็น่าจะเยอะแล้ว มันสายเกินไป ป่านนั้นผมน่าจะแต่งงานแล้วมั้ง ก็เลยไม่ได้ต่อทั้งหมดเลย ถามว่าเสียดายมั้ย ผมไม่เคยเสียดายเลยครับในสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุและผล ถ้าในวันนี้ยังเป็นวงเดิมอยู่ ผมว่ามันน่าจะเป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็ต้องโตขึ้น มีครอบครัวของตัวเอง ได้ทำอะไรของตัวเอง พิสูจน์ตัวเองมาจนถึงวันนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราผิดพลาดอะไรตรงจุดนี้เลย”
จากนั้นกวินท์เล่าถึงชีวิตหลังตัดสินใจไม่ต่อสัญญา ซึ่งในช่วงหนึ่งเขาไปรับราชการทหารอยู่นานกว่า 2 ปี นักร้องหนุ่มเผยว่า “มันดีสำหรับผมเลยแหละ จากที่เราเป็นดาวบนฟ้าก็ตกลงมาติดดินเลย จริงๆ ตอนนั้นผมเกือบจะได้เล่นละครแล้ว แต่พอผมเข้าไปเป็นทหารเลยไม่ได้ทำอะไรต่อ ถามว่าได้อะไรบ้างจากทหาร ได้ภรรยาครับ (ยิ้ม) ถ้าพูดกันตรงๆ จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้อยากเข้าไป แต่พอได้เข้าไปเป็นทหารแล้ว มันมีแต่สิ่งดีๆ ที่เราได้กลับมา เช่น ความเท่าเทียม ไม่มีอีโก้ ต้องเป็นทีมเวิร์ก ไม่มีการโซโลของเราเอง
...
ชีวิตคนในนั้นคือแตกต่างกันมาก ตั้งแต่คนที่ไม่มีตังค์ มีลูก 3-4 คน จนถึงคนที่เป็นวิศวกร มีตั้งแต่ลูกคนรวยจนถึงลูกคนไม่มีตังค์ แต่ทุกคนเท่าเทียมกันหมดในนั้น ไม่มีใครดีกว่าใคร มันรักกันมาก ก็ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ขนาดโรงเรียนผมไม่ได้รู้สึกว่าสอนผมเท่ากับที่ผมเข้าไปเป็นทหาร เราได้เจอผู้ใหญ่เยอะ ฝึกกับเพื่อน 3 เดือนแรก ตอนนั้นผมดูดบุหรี่ด้วยนะ แต่เลิกตอนที่เข้าไปเป็นทหาร คือสอนอะไรหลายๆ อย่าง พอเป็นทหารเสร็จผมก็บวชต่อเลย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด เรารู้แล้วว่าเราต้องจริงจังกับชีวิตมากขึ้น”
หลังจากปลดประจำการทหาร กวินท์เผยถึงช่วงที่ไปขับแกร็บคาร์จนกลายเป็นข่าวดังในช่วงปี 2560 ว่า “ตอนนั้นที่ขับแกร็บคือไม่มีตังค์เลย ที่ผมบอกว่าต้องจริงจังกับชีวิตมากขึ้น ก็คือหมายถึงว่าทำงานนั่นแหละ ต้องเริ่มทำเพลง หาจุดเด่นของเราที่เราทำมาตลอด แล้วรู้ว่าเราต้องการอะไร”
กวินท์เป็นอีกหนึ่งคนในวงการบันเทิงที่เจอดราม่าสารพัด และล่าสุดกับประเด็นร้อนถูกกล่าวหาว่าโกงเงินล้านเพื่อเอาไปเปย์ภรรยา แถมมีการเผยข้อมูลส่วนตัวลงในโซเชียล จนทำให้กลัวว่าครอบครัวจะไม่ปลอดภัย เมื่อถามว่ารับมือกับปัญหาดราม่าต่างๆ ยังไง เขาบอกว่า “ผมไม่สนใจเลยครับ เพราะว่าบางทีเรื่องที่ออกมาส่วนมากก็เป็นเรื่องไม่จริง บางเรื่องก็มีจริง จริงๆ แล้วสื่อไม่ได้คิดจะทำให้ภาพลักษณ์เราดูโอเคอยู่แล้วแหละ ส่วนมากสื่อทำคอนเทนต์เพื่อให้คนเข้ามากดไลค์ เข้ามาอ่าน
ถามว่าเขาปกป้องศิลปินดารามั้ย ผมว่าไม่นะสำหรับผม พอมีเรื่องดราม่าเยอะๆ ถามว่าผมต้องสนใจมั้ย จะสนใจทำไมในเมื่อถ้าครอบครัวผมแฮปปี้ ตัวผมแฮปปี้ ทุกอย่างมันก็โอเค แล้วเรารู้ในสิ่งที่เราทำ ถามว่ามีดราม่าอันไหนที่รู้สึกว่ามันเกินไปแล้ว ไม่มีครับ ผมว่าในชีวิตนี้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นด้วยเหตุและผล อะไรดีและร้ายจะสอนให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น อะไรที่เกิดขึ้นก็จะสอนให้เราปรับตัวให้เป็นคนที่ดีขึ้น แล้วด้วยความที่ผมกำลังจะเป็นพ่อแล้ว มันไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับลูกแล้วจริงๆ”
ศิลปินเดี่ยว
หลังจากที่กวินท์ตัดสินใจเป็นศิลปินเดี่ยว จนถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า 3 ปีครึ่ง ถามว่าแตกต่างจากตอนมีสังกัดอย่างไรบ้าง กวินท์บอกว่า “จริงๆ มันมีข้อดีกับข้อเสีย การที่อยู่ในค่ายก็มีคนควบคุมเยอะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะในตอนเราเด็กๆ เพราะเราไม่เห็นภาพของตัวเองขนาดนั้น เราเรียนรู้มาจากค่ายซะส่วนมาก พอเราออกมาก็จะใช้ตรงจุดนั้นแหละมาใช้กับชีวิตจริงและใช้กับบริษัทของเราเอง ส่วนงานเบื้องหลังของผมส่วนมากจะเป็นการชี้สั่ง (หัวเราะ) ว่าจะเอาแบบนี้แบบนั้น บางทีโปรดิวเซอร์ก็จะรำคาญนิดนึง (ยิ้ม) เพราะผมจะนั่งอยู่ตรงนั้น จนบางทีโปรดิวเซอร์ซึ่งเขาเป็นเพื่อนผมบอกว่ามึ-ทำเองมั้ย”
ก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดีและเล่าต่ออีกว่า “ผมดูจนถึงชิ้นกลองเลยครับ ผมจะบอกเขาว่าไม่เอาแบบนี้ จะปรับแบบนี้ แล้วนั่งอยู่หน้าคอมช่วยแก้ บางทีคนจะบอกว่าเฮ้ย โปรดิวซ์มาไม่เหมือนเพลงเขาเลย ฟังออกมาไม่ใช่แนวเขา แต่ต้องให้เครดิตเขาครับ เพราะจริงๆ เขาก็ทนกับผมอยู่ (หัวเราะ) จริงๆ พอเราทำเองต้องดูแลทุกส่วนเลย ตั้งแต่จ่ายเงินค่าเอ็มวี ค่าพนักงาน จนถึงเนื้อเพลงที่เราเขียนขึ้นมาก่อน แล้วบางทีจะมีคนมาเกลา มันแล้วแต่เพลงจริงๆ ถ้าเพลงต้องการคำภาษาไทยเยอะๆ ก็จะต้องมีคนมาช่วย ถ้าไม่ได้ต้องการให้คนช่วยก็ไม่มีใครช่วยครับ จริงๆ เราก็เหมือนค่ายครับ แต่เราไม่ได้เป็นค่ายเฉยๆ ทำเพลงเอง จ่ายตังค์คนเดียว (หัวเราะ)”
ถามว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมาหมดไปเยอะมั้ย แร็ปเปอร์ดังตอบว่า “บางทีถ้าเพลงไม่มาในช่วงนั้นก็ต้องเอาเงินส่วนนึงมาทำ แต่ส่วนมากผมว่าก็ดีนะ เราได้รับเต็มๆ เวลาเราเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่ได้ทำให้ใครหรือหักเข้าค่าย เราก็เป็นอิสระมากขึ้น เหมือนที่ผมบอกว่ามีข้อดีข้อเสีย ถ้าเราอยู่ในค่ายก็จะมีเพื่อนที่อยู่ในแก๊งค่ายด้วย ส่วนตอนนี้ผมก็มีแก๊งเพื่อน Already Deadd ซึ่งเป็นศิลปินอิสระทั้งหมด ถามว่าจัดการเองทุกอย่างยากมั้ย จริงๆ ผมอยู่แก๊ง Already Deadd ถามว่าไปกับเขาตลอดมั้ยก็บางงานครับ แล้วก็จะมีงานเดี่ยวของเราด้วย และมีงาน Vlog ที่ทำร่วมกับภรรยา
ก็ค่อนข้างหลากหลายครับ ผมไม่รู้ว่าคำว่าดารามันควบคุมอะไรได้บ้าง แต่จริงๆ ผมมองตัวเองเป็นศิลปินนะ เพราะเราถนัดด้านนี้ ถามว่า 3 ปีที่ผ่านมาพอใจกับการเป็นศิลปินเดี่ยวมั้ย ผมพอใจมากๆ เลย มันไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา อยู่ที่ว่าตอนที่เราทำเพลงที่มันเกินร้อยล้านได้แล้ว เราจะทำยังไงต่อเพื่อที่จะขึ้นไปสู่อีกระดับนึง เรื่องเพลงยอดวิวร้อยล้านกับเพลงที่ยอดวิวไม่มา จริงๆ ผมว่ามันเป็นทุกที่เลยนะ บางทีเพลงที่ไม่มา คนก็ยังไม่ได้ฟังด้วยซ้ำ แต่เพลงที่มันมา คนที่ได้ฟังจะรู้ว่าคนนี้ร้อง มันก็เหมือนชีวิตครับที่มีขึ้นมีลง เราจะต้องปรับตัวยังไงกับสถานการณ์นั้นๆ ปัญหานั้นๆ ซึ่งผมไม่ได้อยากจะคิดมาก ใช้ชีวิตให้มีความสุขมากที่สุดในตอนนี้ครับ”
เมื่อถามถึงรายได้หลังจากเป็นศิลปินเดี่ยว กวินท์ตอบตรงๆ ว่า “ดีขึ้นมากเลยครับ ผมก็สามารถที่จะดูแลภรรยาผมได้ จ่ายค่าบ้านได้ ดูแลบูบู้ (น้องหมา) ได้ สำหรับผมรู้สึกว่าโอเคแล้วนะ ถ้าเข้ามาอีกได้ก็ดี (ยิ้ม) ถามว่าตารางงานแน่นมั้ย ด้วยช่วงนี้โควิดก็ทำให้ลดน้อยลง แต่ถามว่ารายได้เราตกมั้ย สำหรับผมไม่ได้กระทบมากขนาดนั้น ผมว่าน่าจะเป็นทีมงานของเราหรือคนที่ไม่ได้ไปทัวร์
แต่ผมยังมีนัดซ้อม ทำไลฟ์ ก็จะพยายามช่วยแบกอยู่เท่าที่ทำได้ครับ ก็ให้ค่าน้ำมันกับทีมงาน อะไรที่ผมสามารถช่วยได้ผมก็พยายามช่วยครับ ก็หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้ แต่จริงๆ ในปี 2565 ผมไม่สนใจแล้วว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง จะปล่อยเพลงยับเหมือนเดิม เตรียมไว้แล้วครับ นี่คือข้อดีของศิลปินอิสระ เราสามารถปล่อยเพลงเมื่อไหร่ก็ได้”
3.30
กวินท์เล่าถึงการทำงานเพลงใหม่ล่าสุด “3.30” ถามว่าทำไมต้องใช้ชื่อนี้ เจ้าตัวเล่าว่า “จริงๆ เพลงนี้ผมคิดอยู่ในหัวว่าคนเราควรที่จะมีเวลาย้อนกลับไปได้ ถ้าคิดในมุมจินตนาการ เราอยากกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างในชีวิตที่เราผิดพลาดมา ความรักไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งมันทำไม่ได้อยู่แล้วแหละ ผมก็เลยบรรยายเข้าไปในเพลง จริงๆ เพลงนี้ตอนแรกระยะเวลาประมาณ 3 นาที 30 วินาที แต่ด้วยองค์ประกอบของเพลงมันสั้นไป ก็เลยเพิ่มโซโลเข้าไปเพื่อให้เพลงดูมีมิติมากขึ้น
กลายเป็นว่าเราไปเน้นที่เอ็มวีกันแทน ก็จะมีน้องที่ชื่อก๋วยเตี๋ยวเป็นคนถ่ายเอ็มวี เขาก็เลยเสนอมาว่าให้สตอรี่ไปถึงจุด 3.30 นาที แล้วถ้าสังเกตในเอ็มวีนะ อยู่ดีๆ ก็จะย้อนเวลา มันจะย้อนมาหมดเลย แล้วตรงจุด 3.30 มันจะบอกว่าพี่อุล (ภาคภูมิ จงมั่นวัฒนา) เขาแก้สถานการณ์ได้ คือแทนที่จะโวยวายทำร้ายคนที่เคยรัก เขาก็พูดกับผู้หญิงว่ายินดีด้วยนะ เพราะมันกลับไปแก้ไขไม่ได้จริงๆ ผมเชื่อว่าคนเราต้องมีสักจุดในชีวิตที่อยากกลับไปแก้ไข แต่ระยะเวลาที่ให้คือแค่ 3.30 ถ้าแก้ไขได้ทุกอย่างมันดูไม่พิเศษนะ เรามีเวลาแค่นั้น แล้วเรื่องนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องนึงด้วย คือเรื่อง “About Time” ครับ”
ส่วนเหตุผลที่เลือกอุล ภาคภูมิ มาเล่นมิวสิกวิดีโอ กวินท์บอกว่า “จริงๆ ผมเคยฟังเขาสัมภาษณ์ครั้งนึง เขาบอกว่าอยากเป็นพระเอก ผมเลยรู้สึกว่างั้นก็ลองถามดูว่าพี่อุลอยากเล่นมั้ย แล้วเราก็แซวเล่นกันว่าหลังจากเอ็มวีนี้ขอให้พี่ได้เป็นพระเอกในเรื่องละครนะ แกก็บอกว่าขอบคุณนะ ขอให้เพลงนี้พันล้าน (หัวเราะ) แต่ที่เราเลือกคือเหมือนที่พูดไปเมื่อกี้ พี่เขาก็หน้าตาดีด้วย เหมาะที่จะเป็นพระเอก ผมรู้จักพี่อุลจาก 10 Fight 10 พี่เขาเป็นพิธีกร ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แต่รู้จักกันผ่านๆ ครับ”
กับคำถามว่า เพลงนี้อิงจากชีวิตจริงของใครหรือเปล่า นักร้องหนุ่มตอบว่า ปกติเวลาเขียนเพลงจะอิงจากเรื่องจริง 50% ที่เหลือจะไม่ใช่ เป็นการบรรยายจากความรู้สึก มันจะไม่มีเพลงไหนที่เรื่องจริง 100% แต่ก็เขียนไม่ออกถ้าไม่ได้เขียนจากชีวิตจริง ในพาร์ตดนตรีกวินท์เล่าว่า “ผมไม่ได้เป็นคนโปรดิวซ์ ก็จะเป็นทาง HYE ผมจะแค่บอกแนวเพลงว่าต้องการแบบไหน เขาก็จะไปทำขึ้นมา และคนที่ช่วยปรับเนื้อให้ผมในครั้งนี้จะเป็นพี่กอล์ฟ (ธานี วงศ์นิวัติขจร)”
กวินท์เผยว่า ที่ผ่านมาทำเพลงค่อนข้างหลายแนว ตั้งแต่เพลง A ROCKET TO THE MOON, รักได้ป่าว, รอเธอที่เมืองทอง (ROR T MT) จริงๆ ทำเพลงช้ามาตลอด แต่ครั้งนี้ตั้งใจร้องหน่อย ก็เลยรู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลง แต่ในเรื่องการทำงานไม่ได้แตกต่างจากที่ผ่านมา ด้วยอายุ เราโตขึ้นและกำลังจะเป็นพ่อ มันอาจจะแสดงออกมาให้มันอบอุ่นขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อถามว่าภาพรวมของเพลงนี้พอใจแค่ไหน กวินท์ตอบว่า “ผมพอใจกับทุกชิ้นงาน ผมมีความสุขกับมันในห้องอัด ผมก็พอใจแล้วครับ หลังๆ ทำเพลงเพื่อความสุขครับ ไม่ได้หวังอะไรมาก ถ้ามันมาก็ถือเป็นกำไรของเรา ส่วนแฟนๆ บางคนก็สงสัยว่าทำไมเพลงถึงไม่ 3.30 นาที ซึ่งผมก็เคลียร์ไปแล้วว่าเน้นที่เอ็มวีแล้วกัน เพราะอัดข้อมูลเข้าไปใน 1 เพลงก็ยากนิดนึง จริงๆ แฟนเพลงเขาก็จะชอบแนวนี้อยู่แล้ว ชอบมากกว่าที่ผมแร็ปจริงจัง เขาชอบให้ผมร้องเพลงป๊อปอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เพลง “รักได้ป่าว” เขาจะชอบแบบนั้นกัน แต่ผมชอบทำหลายแนวไง มันเป็นความสุขส่วนตัว”
คุณพ่อคนใหม่
อีกหนึ่งมุมที่กวินท์ถูกจับตามองมาตลอดคือเรื่องความรัก เขาเล่าถึงปุ้มปุ้ย พรรณทิพา ภรรยาคู่ชีวิต ถึงวันที่ได้เจอกันว่า “จริงๆ เราเจอภรรยาก่อนจะเข้าไปเป็นทหาร ช่วงนั้นเจอปุ้ยตอนที่กำลังจะออกจากทรีทูวันแล้ว ประมาณ 2 ปีสุดท้ายก่อนหมดสัญญา เราคิดอยู่ในใจเสมอในตอนนั้นว่าหลังจากเป็นทหาร เราจะเก็บตังค์เพื่อมาแต่งงานกับเขา ตัดสินใจเลยว่าคนนี้แหละ สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเส้นทางมันมีทั้งดีและร้าย”
ถามว่าประทับใจปุ้มปุ้ยตรงไหน นักร้องหนุ่มตอบทันที “เขาบอกว่าเราจะต้องดูผู้หญิงตอนที่ผู้ชายลำบากที่สุด แล้วจะดูผู้ชายตอนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด เราก็ดูจากจุดนั้นเลย ซึ่งเขาก็อยู่กับเราตั้งแต่เราไม่มีอะไรจนถึงวันนี้ที่เราสามารถซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้เขาได้ ถึงแม้มูลค่าจะเป็นแสน” กับคำถามว่าคิดว่าอะไรในตัวเราที่ชนะใจเขา กวินท์บอก “เอาจริงๆ จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไมเขาเลือกผม (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเราไม่ได้มีอะไรดีเลย แต่ผมรู้สึกโชคดีที่ได้ปุ้ยเป็นเมียครับ (ยิ้ม)”
กวินท์เผยถึงเหตุผลที่ให้ปุ้มปุ้ยเป็นภรรยาและแม่ของลูกไว้ว่า “เราว่าเราจะหาผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วในชีวิต ผู้หญิงคนนี้เหมาะสมกับเรามากที่สุด นิสัยเข้ากับเรามากที่สุด อดทนกับเรามากที่สุด ไม่ไปไหนในตอนที่เรามีปัญหามากที่สุด ก็คบกันมา 7 ปีแล้วครับ มันก็มีทั้งวันที่โอเคและไม่โอเค ผมว่าเป็นทุกคู่ครับ ไม่ใช่แค่คู่ผมหรอก ได้เห็นในสื่ออยู่เรื่อยๆ ว่าผมกับปุ้มปุ้ยก็โดนมาเยอะ ทุกคนก็ต้องมีทะเลาะกัน ไม่พอใจกัน แต่สุดท้ายเราก็กลับมาดูแลคนที่อยู่ในครอบครัวเรา เวลามีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะอยู่กับคนที่เรารักเสมอ เพื่อให้เขาแฮปปี้ ถ้ามีข่าวเยอะๆ มันทำให้จิตเสีย ผมเลยเข้าใจว่าทำไมดาราเมืองนอกถึงเป็นโรคซึมเศร้าเยอะ”
อย่างที่รู้กันว่า กวินท์-ปุ้มปุ้ย กำลังจะเป็นพ่อแม่ป้ายแดง เมื่อถามถึงชีวิตที่กำลังจะเป็นพ่อคน กวินท์เล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ผมปรึกษารุ่นพี่หลายคนมาก เขาบอกว่าสิ่งที่เราจะมีความสุขมากที่สุดก็คือตอนที่ลูกเรากำลังจะคลอดออกมา ถามว่าวันนี้กำลังจะเป็นพ่อคนแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ความรู้สึกผมมันน่าจะเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติครับ ผมไม่ได้เกเรมานานแล้วครับ ผมคบกับภรรยามา 7 ปี ผมก็พยายามที่จะทำทุกอย่างให้มันโอเค หวังว่าภรรยาจะพอใจในตัวผม (หัวเราะ) ถามว่าจะคลอดเมื่อไหร่ น่าจะช่วงเดือน ม.ค. 2565 ครับ”
กับการดูแลภรรยาที่ตอนนี้ใกล้จะคลอดเต็มที แถมมีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน ร้องไห้เพราะหิว แต่ทานไม่ได้ เขาบอกว่า “ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ไม่ค่อยนะ ระยะเวลาที่ปุ้ยท้องมา เราจะต้องเคียงข้างเขา ดูแลเขา ผมรู้เลยว่าเรื่องผู้หญิงงอนตอนเป็นแฟนกันคือแค่เนี้ย (เสียงสูง) นิดเดียวของการที่ผู้หญิงเขาต้องการเราจริงๆ การที่เขาเป็นแม่ เขาต้องเสียสละเพื่ออุ้มท้องเด็กคนนึงหนัก 3-4 กก. เราเข้าใจเขาเลยว่าเขาต้องเสียสละอะไรหลายอย่าง เช่น ผู้หญิงท้องผมก็จะขาดบ้าง น้ำหนักขึ้นบ้าง สรีระเปลี่ยน ความมั่นใจก็ไม่ได้มั่นใจเท่าก่อนที่จะท้อง มันเลยมีโรคเบบี้บลู แม่เสียความมั่นใจ อยากกลับไปแซ่บในช่วงที่เขาท้องอยู่
ผมก็ให้กำลังใจทุกวิธีที่สามารถให้ได้แหละครับ เช่น บางทีเราทำงานเยอะ เราก็พยายามแยกตัวออกจากงานแล้วปิดเลย ไม่ทำ แล้วไปอยู่กับเขาแทน แล้วตอนนี้ผมเลิกเล่นเกมแล้วนะ (ยิ้ม) ผมอาจจะเล่นในโทรศัพท์บ้าง แต่นั่งข้างๆ เขา คือไม่ได้เลิกขาด แต่ไม่ได้เล่นเยอะๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คือมันเปลี่ยนไปเองตั้งแต่มีบูบู้แล้วครับ ตั้งแต่บูบู้เข้ามาในชีวิตแทบไม่เล่นเกมเลย ตื่นเช้ามาก็ให้อาหาร พาไปเดิน เล่นกับมันหน่อย แล้วค่อยไปทำงาน บางทีก็ไปหาปุ้ย ปุ้ยก็ยังทำงานอยู่ แม่สู้แค่ไหนล่ะ ท้องแล้วยังทำงานอยู่”
ปิดท้ายการสนทนา กวินท์บอกความในใจถึงปุ้มปุ้ยและลูกชายที่จะลืมตาดูโลกว่า “ขอให้สุขภาพจิต สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากๆ เพราะลูกค่อนข้างแข็งแรงมาก คืออยากออกมาแล้วน่ะ ถ้าเป็นเรื่องกำลังใจผมให้ทุกวัน ดูแลเขาทุกวันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรที่ทำเป็นพิเศษ ผมอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลเขา อันนี้คือหน้าที่ของผมครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : อินสตาแกรม @gavind.ig
กราฟิก : Chonticha Pinijrob