• เกิดมาในครอบครัวที่รักในเสียงเพลง เคยร้องเพลงในโรงแรม ก่อนจะกลายเป็นศิลปินดัง
  • เหตุผลที่หายไปนานหลายปี ก่อนจะกลับมาในวงการบันเทิงอีกครั้ง
  • รีวิว 37 ปีในวงการ ยอมรับเคยไม่น่ารัก แต่เปลี่ยนเป็นคนใหม่เมื่อรู้จักพระเจ้า

เอ่ยชื่อนักร้องสาว ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ ที่มีผลงานเพลงดังมากมาย อาทิ หนึ่งเดียวคนนี้, ด้วยความคิดถึง,รัก, มีเธอ, อยู่ที่ไหน ฯลฯ หลายคนคงมีภาพจำของเธอในลุคร็อกเกอร์สาวเท่ๆ ดูทะมัดทะแมง

แม้ในเวลานี้อายุ 65 ปีแล้ว แต่ยังคงร่าเริงสดใส มีพลังบวกให้กับคนรอบข้างเสมอ ซึ่งในวันวานก่อนจะเป็นศิลปิน ปุ๊ อัญชลี เติบโตมาในครอบครัวที่รักเสียงเพลง ทำให้ชื่นชอบเรื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะกลายเป็นศิลปินชื่อดังของเมืองไทย จากผลงานอัลบั้มแจ้งเกิด “หนึ่งเดียวคนนี้”

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับร็อกเกอร์สาวถึงวันวานก่อนจะเป็นศิลปินดัง รวมไปถึงชีวิตในวงการบันเทิงตลอด 37 ปีที่ผ่านมา และผลงานล่าสุดกับคอนเสิร์ต "The Nightclub Concert : Ep.1 The Palace พาแดนซ์" ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 7 พ.ย. 2564 ซึ่งตลอดการสนทนาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากสาวเท่คนนี้ เรียกว่าเป็นการพูดคุยที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและจริงใจของเธอจริงๆ

...

อิทธิพลจากคุณพ่อ

จุดเริ่มต้นก่อนจะเป็นศิลปินชื่อดังของไทย ปุ๊ อัญชลี เผยว่าวัยเด็กเธอได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อในเรื่องความชื่นชอบเสียงเพลง

“จริงๆ ได้รับอิทธิพลจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อชอบฟังเพลง สมัยก่อนจะมีแผ่นเสียง แล้วพ่อจะเป็นคนที่ทันสมัยมาก เวลาเพลงอะไรใหม่ๆ มาจากเมืองนอก ท่านก็จะซื้อมาฟัง ทุกวันเราก็เลยได้ฟังเพลง เราก็อยากร้องเพลง เล่นดนตรี พี่สาวก็ไปซื้อกีตาร์ เราไม่ค่อยมีตังค์หรอก ก็ไปซื้อแบบถูกๆ มา พี่สาวก็เริ่มมาเล่น เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันเท่จังเลย แล้วตัวพี่เล็กกว่ากีตาร์อีกอ่ะ ถ้าได้จับมันต้องเจ๋งแน่ๆ เลย

พออยู่ชั้นมัธยมต้นก็เริ่มเล่นกีตาร์เป็นแล้ว เล่นได้ 4 คอร์ด คือเราไม่ได้เรียนเป็นเรื่องเป็นราว สมัยก่อนไม่ค่อยมีโรงเรียนสอนดนตรี ส่วนใหญ่คนไทยไม่ค่อยสนับสนุนให้ลูกเป็นนักร้อง เพราะไม่ใช่อาชีพที่สังคมยอมรับเท่าไร เต้นกินรำกิน เป็นอาชีพที่ไม่แน่นอน เราก็เลยต้องเล่นกันเอง จนกระทั่งพี่ชายพี่มีวง ตอนนั้นพี่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เริ่มเล่นเบสเป็นแล้ว กีตาร์เล่นได้พอสมควรแล้ว ก็เลยมาชวนพี่ตั้งวง จากนั้นก็มีมือกลอง มือกีตาร์ เบส เปียโน ก็เป็นวง 4 คน แล้วเริ่มรับจ๊อบแบบฟรี ขอให้ได้ไปเล่น

ที่เล่นตำแหน่งเบสเพราะว่าตอนนั้นไม่มีใครเล่นไง ไม่เคยมีผู้หญิงเล่นเบสในช่วงนั้น พี่ก็เล่นไม่เก่งอะไรหรอก แต่พี่ชายบอกเล่นไปเถอะ ก็เลยได้งานเยอะเพราะมีผู้หญิงเล่นเบสไง ตอนนั้นหน้าตาเราก็โอเค ทำให้คนชอบ (หัวเราะ) แล้วมีโอกาสเล่นเป็นเรื่องเป็นราวที่โรงแรมมณเฑียร ตอนนั้นคนจะเรียกเราเป็นนักดนตรีอาชีพแล้ว เพราะเราไปร้องเป็นเรื่องเป็นราว ร้องอาทิตย์นึง 6 วัน เราเริ่มฝึกฝนร้องเพลงได้มากขึ้น ตอนนั้นพี่เล่นกีตาร์ไฟฟ้า ก็เล่นอยู่ประมาณเกือบครึ่งปี

จนพี่ต้องไปเรียนต่างประเทศก็เลยห่างหายไปช่วงนั้น พอหยุดซัมเมอร์พี่ก็จะกลับมาร้องเพลงประมาณ 2 เดือน หาเงินค่าเครื่องบินไง (หัวเราะ) ทางโรงแรมบอกว่าอยากให้กลับมา มีแฟนๆ อยากฟังเสียงปุ๊ร้องเพลง ตอนแรกพี่จะไม่กลับเพราะเราเป็นนักเรียนไง ค่าเครื่องบินก็แพง ทีนี้เราก็คิดว่าถ้าเรากลับมาเล่น 2 เดือนก็ได้เงินหลายหมื่นนะ ได้ค่าเครื่องบิน ก็เลยกลับมาทุกปี

พอเรียนจบกลับมาก็ยังมาร้องเพลงที่โรงแรม เพราะพี่รู้สึกว่าเป็นชีวิตที่พี่ชอบ มันสนุก พี่เป็นคนชอบอิสระ ไม่อยากทำงานออฟฟิศ ก็ทำอยู่พักนึง แต่พอเราไปร้องเพลงที่โรงแรมทุกวันบางทีเราก็เหนื่อย อยากไปหาอย่างอื่นทำ ก็เลยไปทำรายการทีวีกับเพื่อนบ้าง มีโอกาสไปเล่นหนังบ้าง จนกระทั่งกลับมาร้องเพลงอีกครั้งคือออกอัลบั้ม “หนึ่งเดียวคนนี้” นี่แหละ”

แม้จะเรียนจบด้านการเงินที่สหรัฐอเมริกา แต่สุดท้ายเลือกที่จะทำงานในวงการบันเทิง เมื่อถามว่าที่บ้านว่าอย่างไรบ้าง นักร้องดังตอบว่า “ตอนนั้นคิดแบบเข้าข้างตัวเองว่าเรียนให้พ่อแม่จบแล้ว พี่ไม่ได้เรียนแย่แต่ไม่ค่อยขยันไง จนไปเรียนเมืองนอกและจบก็ถือว่าทำหน้าที่แล้ว ก็ขอทำอะไรที่ชอบก่อนแล้วกัน

พ่อชอบให้ร้องเพลง แต่คุณแม่เป็นห่วง พอเราร้องไปนานๆ คุณแม่ก็บอกคุณพ่อว่าให้ไปหางานให้ลูกทำหน่อย (หัวเราะ) ไม่อยากให้ร้องเพลง ชีวิตคนกลางคืนก็ทำให้คุณแม่เป็นห่วง กลับบ้านดึก เขาก็พยายามหางานให้แต่พี่ก็ไม่ชอบอยู่ดี แล้วพี่สาวเป็นนางแบบ เขาก็เลยเอาพี่ไปเดินแบบ พี่รู้สึกว่าชอบชีวิตแบบนี้ และได้ทำอะไรอย่างอื่น แกก็เลยไม่บังคับ คงรู้แล้วว่าบังคับไม่ได้”

หนึ่งเดียวคนนี้

จากนั้นปุ๊ อัญชลี เล่าถึงที่มาของการเป็นศิลปินหญิงออกอัลบั้ม “หนึ่งเดียวคนนี้” ให้ฟังว่า “ตอนนั้นพี่มีโอกาสเพราะว่าพี่ปุ๊ก (จิตนาถ วัชรเสถียร) ชอบเสียงของเรา ก็เลยติดต่อมาจะทำอัลบั้มให้ เพื่อนก็บอกว่าพี่ปุ๊กเก่งนะ มีชื่อเสียงมาก เพราะเขาแต่งเพลงในละครในหนังหลายเรื่อง เพลงดีๆ ทั้งนั้นเลย ตอนนั้นพี่ไม่รู้จักคนในวงการและไม่ได้ฟังเพลงไทย ตอนอยู่โรงแรมจะร้องเพลงฝรั่ง พอได้คุยพี่ก็รู้สึกว่าพี่ปุ๊กน่ารักมาก คุยสนุก เขาก็แต่งเพลง “หนึ่งเดียวคนนี้” มาให้ เลยทำให้พี่กลับมาร้องเพลงจริงๆ จังๆ ถ้าไม่มีตรงนี้ พี่ก็คงไม่ได้มาเกิดในวงการ”

...

ซึ่งหลังจากออกอัลบั้มได้ไม่นาน ปุ๊ อัญชลี โด่งดังเป็นพลุแตก จนเกิดกระแสอัญชลีฟีเวอร์ และมีโอกาสไปร่วมงานแสดงภาพยนตร์ “ด้วยรักคือรัก” กับนักร้องซุปเปอร์สตาร์ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ นักร้องสาวเล่าว่า “หลังอัลบั้มออกมาสักพักแล้ว จนลูกสาวของท่าน ม.จ.ทิพยฉัตร ฉัตรชัย ก็บอกว่าพ่อ ฟังผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงหน่อยสิ ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นขับรถไปต่างจังหวัด ท่านก็เลยเอาตลับเทปใส่แล้วฟัง

ปรากฏว่าท่านชอบ ท่านก็เลยคิดจะสร้างหนังเกี่ยวกับเพลง ความรัก ท่านก็เลยคิดพล็อตเรื่องและกำหนดเลยว่าพระเอกต้องเป็นพี่เบิร์ด นางเอกต้องเป็นพี่ และใช้เพลง 10 เพลงอยู่ในหนังเรื่องนี้ ทำให้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น เพราะคนดูหนังเยอะมาก พระเอกก็น่ารัก มีบทหวานน่ารัก เป็นหนังที่ฉีกแนวออกมา นางเอกดูทอมๆ คนก็คงชอบจริงๆ บางคนเอาหางตั๋วมาให้ดูว่าดู 30 กว่ารอบ ซึ่งอัลบั้มแรกกับหนังเรื่องแรกประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลมากเลย”

ส่วนการถ่ายโฆษณาน้ำอัดลมยี่ห้อดังร่วมกับศิลปินหญิงระดับโลก ทีนา เทอร์เนอร์ พี่ปุ๊ของแฟนๆ เล่าถึงประสบการณ์ครั้งนี้ว่า “ก็พูดได้เลยว่ากระแสอัลบั้มกับหนังทำให้ได้รับโอกาสนี้ เนื่องจากหนังโฆษณาของเป๊บซี่ได้ ทีนา เทอร์เนอร์ ทีนี้เขาเลือกประเทศที่จะร่วมทุนด้วย เขาก็เลือกประเทศไทย เขาอยากได้นักร้องคนไทยไปร่วมร้องเพลงกับทีนา แต่เขาต้องการผู้ชายที่เป็นร็อก ร้องเพลงกับทีนาได้ แต่ทางนี้เขาหมายตาว่าเป็นพี่ ก็เลยตกลงกับทางนั้นว่าขอส่งผู้หญิงได้มั้ย

...

ที่จริงทางนั้นเขาไม่ต้องการผู้หญิงประกบผู้หญิง แต่ทางนี้ก็บอกว่าขอลองส่งเสียงไปได้มั้ย ให้พี่ร้องเพลงส่งไปให้ทางนั้นดู แล้วก็ส่งรูปไป ปรากฏว่าเขาโอเค เขายอมให้สำหรับประเทศไทย พี่เลยโชคดี แต่มันก็ไม่ได้ง่าย เรียกว่าเป็นโอกาสอีกครั้งนึงที่ในชีวิตพี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ไปประกบกับ ทีนา เทอร์เนอร์ เพราะเขาก็เป็นไอดอลของพี่เหมือนกัน แล้วพี่ไม่เคยคิดว่าคนอย่างพี่จะได้ประกบกับนักร้องอินเตอร์ เป็นความภาคภูมิใจของเราและครอบครัวแล้วก็เพื่อนๆ ก็ดีใจมากๆ”

เหตุผลที่หายไป

แม้ในช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่แล้วหลังจากออกอัลบั้ม “อัญชลีกับตัวของเธอเอง” ในปี 2531 ปุ๊ อัญชลี ก็ห่างหายไปจากวงการเพลงนานหลายปี เมื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงนั้น นักร้องดังเล่าว่า

“ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ขาลงมากๆ พี่รู้สึกหมดใจกับการร้องเพลงแล้ว รู้สึกว่าตอนนี้มีเด็กใหม่ๆ มา มีเพลงแนวใหม่ๆ มีค่ายใหญ่ๆ ที่เขาทำเป็นเรื่องเป็นราว แต่เราก็ยังคงเป็นแบบเล็กๆ ของเรา ทำกันเอง เราอาจจะสู้ไม่ได้ มันก็เลยเหนื่อยแล้วไง รู้สึกว่าทำตัวก็ยากด้วย ขึ้นหลังเสือก็ลงยากแล้ว แล้วส่วนใหญ่พี่จะไม่ค่อยรับงานไง คอนเสิร์ตก็รับน้อยมาก ยกเว้นเป็นงานที่รู้จักจริงๆ ก็รู้สึกว่าเอ๊ะ เราจะทำยังไงต่อไปดี

จนกระทั่งพี่มาเป็นคริสเตียน รู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่มีความหวัง มีความรักใหม่ๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ตอนนั้นกลัวว่าจะทำอะไรต่อไปดี ถ้าเราจะร้องเพลงต่อไปคงจะเป็นแบบเก่าไม่ได้แล้ว แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะไปในทางไหนดี แต่พอได้รู้จักพระเจ้าก็มีความหวังขึ้นมา แต่ขอพักสงบนิดนึง ให้รู้จักตัวเองมากกว่านี้ ให้รู้ว่าความเชื่อเราอันใหม่จะนำไปสู่ความหวังอะไรได้บ้าง หรือเปลี่ยนแปลงตัวเราได้บ้าง เปลี่ยนแนวความคิด การดำเนินชีวิต แล้วเราสามารถจะมีแง่คิดที่เราไม่เคยคิดเพื่อจะนำชีวิตของเราต่อไป แล้วพี่ได้พบจริงๆ

...

ตอนนั้นพี่จำได้ว่าหายไปประมาณ 5-6 ปี พี่ไปโบสถ์ อ่านพระคัมภีร์ ไปพบพี่น้องคริสเตียนตามบ้าน อาทิตย์นึงเราจะมีพบกันเพื่อสามัคคีธรรมกัน พูดคุยกัน และเป็นครั้งแรกที่พี่รู้สึกว่าพี่ค้นพบตัวเองใหม่ เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ เปิดใจให้กับคนได้มากขึ้น พูดเรื่องราวตัวเองได้มากขึ้น ไม่ต้องอายว่าเรามีปมด้อยอะไร คือเพราะเราเป็นหนึ่งเดียวคนนี้ไง มันเลยเหมือนเราสวมหมวก ใส่หน้ากาก บางทีเราอ่อนแอข้างในเลยไม่กล้าแสดงออก แต่กับพี่น้องที่มีความเชื่อด้วยกัน พี่รู้สึกว่าพี่กล้าเปิดเผยตัวเอง เลยรู้สึกมีความสุขที่ได้ถอดหน้ากากซะทีนึง เป็นตัวของตัวเองที่รู้จักตัวเองมากขึ้น

พี่เลยรู้สึกว่าเริ่มรักการร้องเพลงใหม่ เพราะคริสเตียนเขาจะร้องเพลง แล้วกลายเป็นพี่กลับมาร้องเพลงเยอะขึ้น เพราะเพลงคริสเตียนมีเยอะมาก พี่ก็เลยกลับมาร้องเพลง รักในการร้องเพลง เริ่มเล่นกีตาร์ใหม่ มาเริ่มเล่นในวง ทำให้พี่ได้รื้อฟื้นการเล่นดนตรีใหม่ การร้องเพลง เข้าห้องอัดใหม่ เพราะเพลงคริสเตียนก็มีอัลบั้ม น้องเขาทำให้หลายอัลบั้มเลย

เริ่มออกคอนเสิร์ตของคริสเตียน ตระเวนตามต่างจังหวัด บางทีไปถึงสิงคโปร์ ฮ่องกง เพราะพี่น้องคริสเตียนที่นั่นเชิญเราไป เหมือนเราสร้างชีวิตตัวเองขึ้นมาใหม่ จนพี่มั่นใจในตัวเองว่าพี่อยากออกเทปแล้ว (หัวเราะ) เพื่อพิสูจน์ว่ายังทำได้อยู่ จนได้ออกอัลบั้ม Crossroad มีเพลง “ด้วยความคิดถึง” และ “มีเธอ” ซึ่งประสบความสำเร็จมากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับพี่ ขึ้นชาร์ตอย่างรวดเร็ว”

กลับมาอีกครั้ง

พอถามตรงๆ ถึงวันที่กลับมาในปี 2540 ตอนแรกมั่นใจมั้ยว่าทุกอย่างจะออกมาดี มีความตื่นเต้นกดดันหรือไม่ ปุ๊ อัญชลี ตอบว่า “มีหมดเลยอ่ะ กดดัน ตื่นเต้น แต่พี่มั่นใจเพราะทีมงานรวมถึง คุณเรืองกิจ ยงปิยะกุล ทำให้พี่มั่นใจว่าตัวงานต้องออกมาดี แต่การตอบรับเป็นอีกเรื่องนึง อันนี้อาจทำให้เราวิตกนิดๆ

แต่พี่วางใจในพระเจ้า พี่เชื่อว่าพระเจ้านำพี่ ให้เราพร้อมที่จะออกมาเป็นคนใหม่ เป็นอัญชลีนิวลุค เป็นคนที่อบอุ่นขึ้น แต่เสียงเพลงยังคงเป็นพี่ปุ๊อยู่ดี เพียงแต่เราเปลี่ยนแนวเพลงเป็นความรัก ความคิดถึง ความห่วงใย การจากไปนานและกลับมาพบกันอีกครั้ง เป็นการบอกแฟนเพลงว่าปุ๊คิดถึงนะ ตามสัญญาที่พี่เคยบอกว่าจะกลับมาแต่ขอเวลานิดนึง พี่สัญญากับแฟนเพลงกลุ่มนึงไว้ ถือเป็นคำสัญญาที่บอกว่าเรากลับมาแล้วนะ

พี่เคยคุยกับทีมงานว่าแค่ขอให้แฟนเพลงกลุ่มเราอุดหนุนเรา ต้อนรับอัลบั้มชุดนี้ก็พอใจแล้ว ไม่ต้องถล่มทลาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมีค่ายเพลงเกิดขึ้นเยอะมาก เราก็เข้ามาในช่วงนั้นพอดี แต่กลายเป็นเพลงพี่แทบไม่ต้องไปจ้างใครเปิด เพราะพอคนรู้ว่าพี่ปุ๊จะออกอัลบั้มใหม่ ปรากฏดีเจซึ่งเคยเป็นแฟนเพลงพี่เขาก็ยินดีเปิดเพลงให้ฟรี ตอนนั้นพี่เข้าใจว่าอาจจะต้องเสียเงินบ้างให้เขา แล้วเราเป็นบริษัทเล็กๆ ไม่มีเงินทุนอะไรมากมาย ก็เป็นความโชคดีมากๆ เลย ปรากฏว่าเพลงติดชาร์ตในเวลารวดเร็ว ขายได้เป็นแสน ซึ่งตอนนั้นถ้าจะให้ล้านตลับก็ยากแล้ว แล้วพี่ได้ไปรับโล่เพราะขายได้เป็นแสนในเวลาไม่นาน เรียกว่าเกินคาดค่ะ”

หลังจากนั้นอีกหลายปี ปุ๊ อัญชลี ก็กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไปร่วมงานกับ บอย โกสิยพงษ์ ด้วยการเป็นศิลปินรับเชิญในอัลบั้ม “Million Ways to Love” และ “Love is Vol.1” สังกัดเบเกอรี่ มิวสิค ในปี 2547 ก่อนจะออกอัลบั้มเดี่ยว “50” ในสังกัด LOVEiS ซึ่งปุ๊เล่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวว่า “บอกได้คำเดียวว่าพี่เป็นคนโชคดี (หัวเราะ) เราอยู่ในวงการนี้นาน เรามีแฟนเพลงหลายคนที่อยู่ในวงการ อย่างคุณบอยเขาจะให้เกียรตินักร้องรุ่นเก่ามาก แล้วเขาเป็นคริสเตียน แล้วทำโปรเจกต์ด้วยกัน คือ “พลังแห่งชีวิต” ก็เลยสนิทกัน

คุณบอยมาที่โบสถ์พี่ด้วย คุณบอยเป็นนักแต่งเพลงที่ชื่นชมนักร้องเก่าๆ เขาก็บอกว่าอยากทำอัลบั้มให้พี่ พี่เลยโชคดีได้ทำอัลบั้มชุด “50” และได้ร้องเพลง “รัก” ซึ่งเป็นเพลงที่คนชื่นชมมากๆ ทั้งความหมายและทำนอง นภ พรชำนิ เป็นคนเชิญให้พี่ไปร้องเพลงนี้ เพราะฉะนั้นก็เลยถือว่าเป็นเรื่องความโชคดีที่เขาเมตตาพี่จริงๆ ทำให้พี่ยังอยู่ในวงการนี้"

นอกจากนี้ ปุ๊ อัญชลี เล่าถึงโอกาสดีๆ ในการทำงานว่า "พอจะหายๆ ไปก็มีเพลงใหม่ ไปรับเชิญคอนเสิร์ตคนโน้นคนนี้ แล้วที่พี่ภูมิใจคือได้เป็นแขกรับเชิญของพี่เบิร์ด ธงไชย คือคอนเสิร์ต “ขนนกกับดอกไม้” ในปี 2558 มันนานมาก จนพี่ไม่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่เบิร์ดอีกแล้ว ร้องไห้เลยอะ คือเราดีใจมากๆ 

แล้วก่อนหน้านั้นพี่ได้ร้องเพลงกับพี่ตูน บอดี้สแลม ในชุด “ดัมมะชาติ” ก็ได้เกียรติจากน้องตูนด้วย ไปร้องฟีเจอริ่งกับเขา ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับพี่ตูน พี่มีโอกาสดีมากๆ หลายอย่างเลยที่นักร้องนักดนตรีในรุ่นนี้ให้เกียรติเรา แล้วด้วยพี่อาจจะเป็นร็อกไง นักร้องร็อกอย่างพี่ตูนก็เลยอาจจะอยากเชิญพี่ไป พี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับนักร้องร็อกรุ่นเราที่ได้มีโอกาสมาร้องเพลงกับรุ่นลูก (หัวเราะ) จนได้มาลงเอยเป็นเรื่องเป็นราวกับวงเดอะ พาเลซ นี่แหละ”

The Night Club

เมื่อถามถึงคอนเสิร์ตครั้งใหม่ The Nightclub Concert : Ep.1 The Palace พาแดนซ์ ในวันที่ 7 พ.ย. 2564 ซึ่งเป็นการแสดงคอนเสิร์ตออนไลน์ครั้งแรกของปุ๊ อัญชลี เจ้าตัวก็เล่าด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสดใสว่า “คอนเสิร์ตนี้เราเปิดด้วยเพลงที่คนยังคิดถึง เป็นเพลงที่ข้ามยุคมาจนถึงปัจจุบันได้ เพลงที่ไม่ค่อยได้ยินหรือยังไม่เห็นใครเอามาเล่นให้ฟังชัดๆ เยอะๆ เลยรวมตัวกันกลายเป็น The Palace พาแดนซ์ ซึ่งทาง World Artists Thailand เขาอยากจะให้กำลังใจคน ให้ทุกคนมีความสุข แล้วการดูออนไลน์สามารถดูได้ทั่วโลก

ซึ่งตอนที่เขาติดต่อมาก็ตัดสินใจไม่นานเลย พี่รู้สึกว่าเป็นไอเดียที่ดีมาก เป็นทางออกอย่างนึงทั้งอาชีพการงานของวงการบันเทิง รวมทั้งคนดูที่เขาอยากจะดู อยากเห็นคอนเสิร์ต แต่ไม่สามารถจัดได้อย่างที่เคยจัด พี่เลยรู้สึกดีใจที่เขากล้าที่จะทำ แล้วให้พาเลซเป็นวงเปิดด้วย พอพี่ฟังคอนเซปต์เขาพี่ชอบเลย พอคุยกับเพื่อนๆ เพื่อนๆ ก็ดีใจกันมาก แฟนเพลงก็ดีใจมาก พร้อมที่จะดูและอุดหนุนเรา พร้อมจะกลับมาสู่บรรยากาศสนุกๆ กัน”

นักร้องสาวเผยถึงการเป็นหนึ่งในสมาชิกเดอะ พาเลซ ซึ่งมีอีก 7 สมาชิก คือ จิ๊บ วสุ, จี๊ด รอยัลสไปรท์ส, ต้น แมคอินทอช, สัน ดิ อินโนเซ้นท์, สายชล ดิ อินโนเซ้นท์, เต้ย อินคา, จืด ฟอร์เอฟเวอร์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นศิลปินรับเชิญของวงก่อน หลังจากนั้นเริ่มรับงานด้วยกันจนในที่สุดเขารับเป็นสมาชิกและไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วไทยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จึงสนิทสนมคุ้นเคย และในการซ้อมคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็คิดว่าจะทำยังไงให้ดนตรีมันใหม่ เข้าสมัยมากขึ้น ซึ่งไม่ยากสำหรับเรา ดีใจมากที่ได้เจอและซ้อมด้วยกันอีก

ส่วนความพิเศษของคอนเสิร์ต เจ้าตัวบอกว่า “นอกจากบทเพลงที่เราร้อยเรียงด้วยความเมามันของเราแล้ว เราจะมีเพลงประจำตัวของแต่ละคน รวมทั้งเพลงเก่าๆ สมัยก่อนที่พี่ออกเทป นอกจากนั้นก็มีเพลงที่สมัยก่อนดังมากๆ เพลงที่แปลงมาจากภาษาอังกฤษ แล้วก็จะมีเพลงพิเศษ สิ่งที่เราเตรียมไว้ คิดว่าเวลาไม่เกิน 2 ชม.กำลังดีเลย ต้องคอยดูว่ามีอะไรบ้าง นอกจากนั้นยังมีแขกรับเชิญพิเศษด้วย เพลงที่ร้องก็เป็นเพลงยุคเดียวกัน เราร้องกันได้”

การเตรียมตัวคอนเสิร์ตครั้งนี้ ปุ๊ อัญชลี บอกว่าต้องระวังป้องกันตัวเองเต็มที่ โดยมีการตรวจโควิด รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องฆ่าเชื้อทุกครั้ง และการฝึกซ้อมคือการรวมตัวของคนหลายคน มีทีมงานด้วย ฉะนั้นจะไม่เหมือนปกติ มีความยากขึ้นอีกนิด แต่ถ้าพูดถึงความสนุกคือเต็มที่อยู่แล้ว เรามีทีมงานที่ดี มีทั้งคอสตูม แสงสีเสียง ซึ่งคอนเสิร์ตนี้ภาพรวมคือ The Nightclub คือได้มาฟังดนตรีสด ออกไปเต้นกัน วาดลวดลายตามสไตล์ มีแสงแวบๆ จากดิสโก้บอล เป็นบรรยากาศไนต์คลับสมัยก่อน ก็จะยกบรรยากาศดังกล่าวส่งตรงถึงจอ

นอกจากนี้ ปุ๊ อัญชลี เชื่อว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นการจุดประกายที่ดี “ก็เป็นครั้งแรกที่แสดงคอนเสิร์ตออนไลน์ รู้สึกดีใจ ทำให้หลายคนมีแรงบันดาลใจที่จะจัดแบบนี้เพิ่มขึ้น ทำให้นักดนตรีนักร้องมีงาน พี่ว่ามันจะทำให้บรรยากาศหลายๆ อย่างมันสามารถกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง ถ้ามีคนกล้าจัด พี่เชื่อว่าต่อไปก็มีคนที่กล้าคิดอะไรล้ำขึ้นไป ทำให้วงการนี้มีความหวัง แฟนเพลงสามารถรู้สึกสนุกกับสิ่งใหม่ๆ ได้

ฉะนั้นพี่อยากฝากไว้ว่าขอให้คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจ จุดประกายให้วงการนี้กลับมาอีกครั้ง เราอยากให้คนดูมีความสุขร่วมกับเรา ให้การสนับสนุน พี่เชื่อว่าหลายคนตั้งตาคอย ความคาดหวังคืออยากให้มีคนดูเยอะที่สุด ร่วมใจมาสนุกกันกับพวกเรา มาสร้างความสุขร่วมกัน ในขณะที่เรายังไม่รู้สถานการณ์จะเป็นยังไง แต่เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมา เรายังสามารถใช้ชีวิตปกติแบบนี้ได้ แม้จะเป็นนิวนอร์มอลก็ตาม”

65 ยังแจ๋ว

แม้ในเวลานี้ปุ๊ อัญชลี จะอายุ 65 ปีแล้ว แต่ก็สัมผัสได้ถึงความแอ็กทีฟ มีพลัง ร่าเริงสดใส เมื่อถามว่านอกจากการดูแลจิตใจ ดูแลร่างกายยังไงบ้าง นักร้องสาวบอกว่า “พี่เป็นคนชอบออกกำลังกายจนมีวินัย เมื่อก่อนตอนอัลบั้มหนึ่งเดียวฯ ออกกำลังกายที่ไหน ไม่มีหรอก ดริงก์อย่างเดียวสนุกสนาน ยังสาว ไม่คิดจะต้องมาฟิตอยู่แล้ว แต่จริงๆ กำลังไม่ค่อยดีหรอก ร้องไม่กี่เพลงก็เหนื่อยแล้ว

เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเหนื่อย เพราะว่าพี่ออกกำลังกายตั้งแต่พี่เริ่มปรับปรุงตัวเองตอนอัลบั้ม Crossroad นี่แหละ เริ่มไปฟิตเนสเกือบทุกวัน แข็งแรงเลยล่ะ นี่พี่ก็ไปวิ่งกับพี่ตูน บอดี้สแลม ด้วยนะ วิ่ง 2 ชม. ได้ประมาณ 10 กม. ทุกวันนี้ก็ยังออกกำลังนะ ก็เล่นฟิตเนสอยู่ในบ้าน มีลู่วิ่ง มีเครื่องไม้เครื่องมือ นี่คือเคล็ดลับของพี่ มันทำให้ร่างกายเรายังได้อยู่ ขึ้นเวทีก็ไม่ก๊อกแก๊ก”

กับความเป็นผู้หญิงเท่ๆ ที่เป็นภาพจำของใครหลายคน และรู้สึกชื่นชมกับลุคนี้ ถามว่ารู้สึกอย่างไร นักร้องสาวเท่ตอบว่า “เขินนะ ใครชมพี่ก็เขินทุกทีว่าเท่ตรงไหนวะ” ก่อนจะหัวเราะด้วยความเขินและพูดต่อว่า “อืม...พี่เป็นคนที่สบายๆ มั้ง แต่งตัวตามสบาย แต่เวลาขึ้นเวทีก็เป็นลุคที่เราชอบ กางเกงฟิตๆ แบบนี้ เป็นคนชอบอะไรฟิตๆ การเคลื่อนไหว ความทะมัดทะแมง หน้าตาก็ธรรมดา หรืออาจจะลีลาการร้องเพลงที่เรามีคาแรกเตอร์แบบนี้ค่ะ ซึ่งคนเรียกว่าเท่ พี่ก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ขอบคุณนะ ก็ชอบอยู่นะ (หัวเราะ) ไม่กล้าพูดหรอก บอกไม่ถูก เพราะพี่ไม่ค่อยเห็นตัวเองเท่ไงคะ”

37 ปีวงการเพลง

เมื่อให้ปุ๊ อัญชลี รีวิวชีวิต 37 ปี ในวงการเพลงว่าเป็นอย่างไร นักร้องสาวตอบทันทีว่า “ถ้าให้พี่รีวิวนะคะ ตั้งแต่ตอนต้นที่เป็นหนึ่งเดียวคนนี้ ถ้ามองไปตอนนั้นพี่รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวคนนี้ เกิดในวงการได้ แต่ถ้ามองรีวิวตอนนี้ พี่รู้สึกว่าถ้าเป็นพี่ตอนนี้แล้วกลับไปตอนนั้น มันจะดีกว่าตอนนี้ (หัวเราะ) คือด้วยความที่เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อ่อนโยนขึ้น รู้สึกว่าเรารู้จักวงการนี้แล้ว เรารู้ว่าควรจะวางตัวยังไง

แต่ตอนนั้นพี่ไม่เข้าใจตัวเอง พี่ได้แต่ความสำเร็จมา ความสำเร็จเราชื่นชม ยินดีกับมัน แต่ถ้าพูดเป็นการส่วนตัวแล้ว การจัดแจงกับตัวเองในการมีชื่อเสียงในตอนนั้น พี่จัดแจงได้ห่วยมาก (หัวเราะ) คือวางตัวไม่เป็นแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหน ความตั้งใจหรือการดูแลตัวเองให้ดีอาจจะไม่ค่อยมี พี่ชอบช่วงหลังของพี่มากกว่า พี่ชอบในช่วงที่พี่เข้ามาเป็น Crossroad ในช่วงหลังที่เรารู้จักตัวเอง เรามีความสุขกับการร้องเพลงแล้ว

เราได้คิดไตร่ตรองลึกซึ้งขึ้น เรียกว่าอยู่เป็นค่ะ ทำให้เราใจเย็นขึ้น ให้เกียรติคนอื่นมากขึ้นในความคิด อย่างเมื่อก่อนเรามักจะเอาเราเป็นใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้เราฟังคนอื่นมากขึ้น แม้มีความแตกต่างแต่ถ้าดีขึ้นเราก็จะยอม กลายเป็นคนยอมคนมากขึ้น ซึ่งสมัยก่อนพี่ไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ไม่ค่อยน่ารักเท่าไรว่างั้นเถอะ (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงความเป็นตัวอัญชลี พี่ชอบปัจจุบันมากกว่า

ถ้าความสำเร็จที่ท่วมท้นจริงๆ ก็คือตอนนั้น แต่ตอนนี้เป็นความสำเร็จที่มั่นคงและยืนยาวกว่า แต่ถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ใช่มั้ยคะ มันก็เกี่ยวโยงกัน แต่ถามความพอใจตัวเอง พี่พอใจตัวเองในตอนนี้มากกว่า และพี่ไม่ได้สนใจว่าจะต้องมีชื่อเสียงมากมายแล้ว ขอแค่เป็นที่จดจำในสิ่งดีๆ สิ่งไม่ดีพี่ก็มีเยอะนะ แต่คนไม่เอามาพูด ซึ่งถือว่าโชคดี เหมือนว่าเขาให้อภัยแล้ว (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้เธอดีแล้วก็โอเค เขาก็จะลืมไป ไม่ต้องเอาเรื่องเก่าๆ มาทิ่มแทงกัน”

ในวันต่อไปกับวงการเพลงของปุ๊ อัญชลี เจ้าตัวเผยว่ายังมีแพลนที่จะร้องเพลงต่อไปจนกว่าจะไม่มีคนฟัง ทุกอาทิตย์ร้องเพลงอยู่แล้วคือร้องเพลงในโบสถ์ เล่นกีตาร์บ้าง การร้องเพลงคือชีวิตจิตใจ งานทั่วไปก็เป็นงานที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น ได้เจอคนนั้นคนนี้ เจอนักร้องเก่าๆ ถ้าไม่มีงานก็จะอยู่แต่ในโบสถ์ รู้สึกรักวงการนี้ แม้วงการนี้มีหลายอย่างที่คนมองอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าเราจริงใจ เขาก็จะจริงใจกับเรา ถ้าไม่มีเรื่องกับใคร ใครก็ไม่มีเรื่องกับเรา ก็อยู่อย่างมีความสุข จะมีงานหรือไม่มีงาน จะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไร รู้สึกพอใจกับสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นอะไรที่เข้ามาใหม่ก็เป็นกำไรมากๆ แล้ว

ส่วนผลงานใหม่ๆ ปุ๊ตอบว่า “อยากมีนะ แต่โควิดเนี่ยทำให้สิ่งที่เราอยากทำต้องเว้นไปก่อน อาจจะมีก็ได้ อย่างเล่นละครพี่ก็ยังอยากเล่นนะ พี่เคยเล่นเป็นแม่ชีมาแล้ว ผู้พิพากษาก็เล่นแล้วนะ ถ้ามีบทอะไรที่มันเข้าคาแรกเตอร์แล้วพี่เล่นได้ก็อยากเล่น พี่ก็เคยเล่นโฆษณามาก็รู้สึกว่าสนุกอ่ะ วงการนี้มีเสน่ห์ตรงนี้คือพอเราได้เป็นนักร้องก็ได้ทำอะไรเยอะแยะ มีสินค้าบางอย่างที่เหมาะกับวัยเรา ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้พี่ยังอยากทำอยู่ จริงๆ ก็มีหลายโปรเจกต์เหมือนกันค่ะ”

ปิดท้ายการสนทนา นักร้องสาวเท่ฝากถึงแฟนเพลงทุกคนว่า “ก่อนอื่นอยากขอบคุณที่ทำให้พี่ปุ๊ยืนหยัดในวงการนี้ได้ ไม่มีแฟนเพลงก็คงไม่สามารถอยู่มาถึงปัจจุบันได้ อยากให้ทุกคนมีความสุขกับสิ่งที่พี่ทำได้คือการร้องเพลงให้ฟัง หรือมีโอกาสคุยกันผ่านรายการต่างๆ สิ่งที่พี่อยากตอบแทนก็คืออยากอวยพรขอให้ทุกคนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันตามคอนเสิร์ตหรือในรายการ แต่เจอกันที่ใจเหมือนเดิม คิดถึงก็ฟังเพลงกันไป ตอนนี้ก็จะมีคอนเสิร์ตที่เจอกันทางจอให้คลายคิดถึงได้บ้าง ไม่มีอะไรนอกจากคำว่าขอบคุณจริงๆ รักทุกคนค่ะ”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : World Artists Thailand
กราฟิก : Sathit Chuephanngam