• กว่าจะเป็นนักร้อง พร จันทพร เคยทำมาแล้วทั้งงานก่อสร้าง ดำนา เป็นสาวโรงงาน
  • เนย ภัสวรรณ เจ้าของเพลงฮิตร้อยล้านวิว "ฝากใบลา" ในวันที่อายุแค่ 14 ปี
  • ความสำเร็จสุดปังของ "รักควรมีสองคน" กระแสตอบรับถล่มทลาย

กำลังมาแรงมากทีเดียวสำหรับเพลงลูกทุ่งสุดฮอต "รักควรมีสองคน" ที่ร้องโดย 2 นักร้องสาว พร จันทพร และ เนย ภัสวรรณ แห่งค่ายเพลงพอดีม่วน STUDIO

เพราะนอกจากในเวลานี้มียอดวิวยูทูบพุ่งสูงมากกว่า 35 ล้านวิว และเป็นเพลงดังที่ติด #1 ON TRENDING FOR MUSIC ในยูทูบแล้ว ในแอปดัง TikTok ก็มีทั้งคนดังในวงการบันเทิงตลอดจนชาวโซเชียลอัดคลิปลิปซิงก์แบ่งทีมเมียหลวงกับทีมชู้เต็มโลกโซเชียลเลยทีเดียว

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์มีโอกาสสัมภาษณ์พูดคุยทางออนไลน์กับ 2 นักร้องสาวถึงความสำเร็จของเพลงนี้ รวมถึงชีวิตของพวกเธอก่อนที่จะมีเพลงดังในยุคโควิด

ซึ่งก่อนหน้านี้นักร้องรุ่นพี่อย่างพรก็เคยมีเพลงสุดฮิต ทั้ง "ปูหนีบอีปิ" ที่มีคนดังทั้ง ชมพู่ อารยา และ ลิซ่า Blackpink เต้นคัฟเวอร์มาแล้ว รวมถึงเพลงกระแสร้อน "นะจ๊ะพ่อมึ_สิ" ที่ร้องคู่กับจุ๊บแจง เจนจิรา ด้านน้องเล็กอย่างเนยก็มีเพลงดัง 182 ล้านวิวอย่าง "ฝากใบลา" ด้วย

...

กว่าจะเป็นนักร้อง

เมื่อเราถาม 2 นักร้องสาวว่ามาเป็นนักร้องลูกทุ่งในค่ายพอดีม่วนได้อย่างไร งานนี้พรเริ่มเล่าถึงชีวิตตัวเองให้เราฟังก่อนว่า

“หนูเป็นรุ่นน้องที่รู้จักในโรงเรียนของพี่นิค (นิค สะเลอปี้) คือที่ ร.ร.โพนงามศึกษา จ.สกลนคร ตอนนั้นพี่นิคเรียนอยู่ ม.5 พรอยู่ ม.1 ก็รู้จักกันมานาน

พี่นิคก็เลยชวนมาร้องเพลงค่ะ ตอนเด็กๆ ก็เรียนไปร้องเพลงไปด้วย ก็ร้องเพลงในโรงเรียน มีบ้างที่ร้องเพลงในงานหมอลำ และได้ไปเป็นแดนเซอร์หมอลำซิ่งช่วงนั้น ไม่ได้ร้องเพลง แต่ก็จะมีบ้างที่เราร้องเพลงแจมนิดหน่อยคั่นเวลา เลยได้มาทำเพลงกับพี่นิคเพลงแรกคือ “ปูหนีบอีปิ” ค่ะ ก็อยู่กับพี่นิคมาเรื่อยๆ”

แต่ก่อนที่จะมาเป็นนักร้องในค่าย พรเคยหาเงินจากการทำงานก่อสร้าง เป็นสาวโรงงาน และเคยดำนามาแล้ว ซึ่งพรเล่าถึงวันวานเหล่านั้นให้ฟังว่า 

“ตอนออกเพลง “ปูหนีบอีปิ” แรกๆ ไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองมีกระแสจากเพลงนี้แล้ว ก็ไปทำงานโรงงานที่ จ.อยุธยา กับพี่สาว ตอนนั้นอายุ 18 ปี ทำมา 1 อาทิตย์ พ่อเปิ้ล นาแก ก็ไปทาบทามว่าเรามาสานต่อเพลงนี้กันมั้ยเพราะว่ามีกระแสแล้ว 

คนโทรถามเรื่องงานเยอะมาก อยากได้นักร้องไปร้องเพลง ก็เลยโอเค กลับบ้านมาทำงานร้องเพลงดีกว่า เหนื่อยจริงๆ ค่ะตอนทำงานโรงงาน เราไม่เคยทำ ไปทำอาทิตย์เดียวก็เหนื่อยแล้ว ไม่ได้นอนตั้งแต่ 2 ทุ่มจน 8 โมงเช้า เราเคยนอนดึก แต่เราอาจจะไม่ชินกับแบบนี้”

จากนั้นพรเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่อยากทำงานโรงงาน รวมถึงเรื่องที่เคยถูกบูลลี่เรื่องหน้าตาตอนไปทำงานว่า “ตอนนั้นที่ไปทำคืออยากไปหาประสบการณ์ว่าทำงานโรงงานจะเป็นยังไง เหนื่อยมั้ย เห็นเขาทำงานโรงงานแต่งตัวสวยกันสงสัยไม่เหนื่อย เราคิดอย่างนั้นค่ะ ก็เลยไปลองทำดู แต่สุดท้ายคือไม่ตรงปกค่ะ มันเหนื่อยเหมือนเดิม ทำไมคนอื่นทำแล้วแต่งตัวสวย เขาไม่เหนื่อยกันรึไง

ตอนที่ไปทำงานโรงงานก็มีเหตุการณ์ที่โดนรุ่นพี่ในโรงงานบูลลี่เรื่องหน้าตา เพราะตอนนั้นก็ตัวดำอยู่ ดำมาก ทุกวันนี้ก็ยังไม่หายดำ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิม ตอนนั้นที่ดำมากเพราะเพิ่งหยุดเป็นแดนเซอร์ใหม่ๆ รอยเสื้อชั้นในยังอยู่เลย เป็นรอยดำรอยขาว

ก็โดนบูลลี่เพราะด้วยความที่ตัวดำและหน้าไม่สวย เป็นสิว เขาเลยบูลลี่ว่าสวยก็ไม่สวย แต่งหน้าก็จัด ตอนนั้นหนูก็ชอบแต่งหน้า ถามว่ารู้สึกยังไง หนูเฉยๆ ค่ะ เพราะตอนนั้นหนูคิดว่าตัวเองสวยแล้ว หนูเลยไม่คิดอะไร ก็มีนิดนึงที่น้อยใจ แต่ก็คิดว่าไม่ต้องไปสนใจคำคนอื่นหรอก ให้กำลังใจตัวเองไปเรื่อยๆ”

ส่วนประสบการณ์เคยทำงานก่อสร้างช่วง ม.3 พรเล่าว่าตอนนั้นปลอมเอกสารเข้าไปทำ เพราะพี่สาวหน้าตาคล้ายกัน แต่ทำงานได้เดือนเดียวก็โดนไล่ออก เพราะด้วยความที่ยังเป็นเด็ก เขาก็บอกว่าไม่ให้ทำเพราะว่าเรายังเป็นเด็กอยู่ มันยังไม่ถึงวัยทำงานก่อสร้าง เดี๋ยวทางเจ้านายจะโดนข้อหาใช้แรงงานเด็กก็เลยออกมา

ที่ผ่านมาสมัยนั้นก็ถือว่าเหนื่อย เพราะตอนทำงานก่อสร้างต้องตากแดด ไม่มีร่มเลย จะได้พักแค่ตอนเที่ยง แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าพ่อแม่เหนื่อยแค่ไหน พรเล่าต่อว่างานก่อสร้างก็ทำมาแล้ว รับจ้างดำนาก็ทำมาแล้ว งานโรงงานก็ทำ แดนเซอร์ก็ทำ ถือว่ายังทำได้ไม่หมด แต่สิ่งที่ทำมาทำให้รู้ว่ามันเหนื่อยมากจริงๆ จนไม่อยากทำ

เพลงสองแง่สองง่าม

...

แต่หลังจากเพลงแรกในชีวิต “ปูหนีบอีปิ” กลายเป็นเพลงดังในโซเชียล พรบอกว่ารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดังเพราะว่าดังแค่ในกลุ่มคนอีสาน แถมบางงานที่ไปร้องเพลงก็ไม่ได้เงินด้วย

“ตอนนั้นเราก็มีงานเยอะมากค่ะ แต่เป็นนักร้องก็ยังลำบากอีกนะคะ ตอนนั้นไปร้องเพลง 5 วัน ฝนตก 5 วัน ไม่ได้เงินสักบาท ไปเฉยๆ ไปร้องเพลงแต่ไม่ได้เงินสักบาทเลย ด้วยความที่เราแสดงแล้วแต่ว่าฝนมันตกแล้วคนไม่เยอะ เราก็เลยได้เงินน้อย บางงานก็ไม่ได้เลย ตอนนั้นท้อมากเลยค่ะ เพลงเราก็มีกระแสอยู่เนอะ คนจ้างงานก็เยอะอยู่ งานเยอะแต่เงินได้น้อย”

ส่วนวันที่ได้เห็นนางเอกซุป'ตาร์สาว ชมพู่ อารยา เต้นเพลงนี้ในภาพยนตร์ “ตุ๊ดซี่ส์แอนด์เดอะเฟค” พรบอก

“ตอนนั้นไม่รู้ว่าเพลงตัวเองไปอยู่ในหนัง แต่อยากไปดูเพราะหนูดูเรื่องนี้ภาคแรกแล้วหนูชอบ ตอนดูก็หัวเราะคิกคัก แต่พอถึงท่อนนั้นมาก็อ้าว เพลงเรานี่หว่า คือกรี๊ดในใจอยู่ในโรงหนัง แล้วเห็นพี่ชมพู่เต้น คนดังๆ ก็เต้น เราก็รู้สึกว่าปลื้มจนน้ำตาจะไหล

ด้วยความที่เพลงเรามันไปยากอยู่แล้วเพราะว่าด้วยความที่เนื้อหาสองแง่สองง่าม รู้สึกว่าการทำเพลงมันยาก ก็ดีใจมากๆ เวลาที่ออกรายการทีวี รายการยอมรับเพลงเรา แต่คนในประเทศไม่ค่อยยอมรับสักเท่าไร”

และเมื่อเห็นนักร้องสาว ลิซ่า Blackpink นำเพลงนี้ไปเต้นคัฟเวอร์ในรายการดังของเกาหลี จนกลายเป็นที่รู้จักในหลายประเทศ ลูกทุ่งสาวบอกว่าตอนนี้คอมเมนต์ในเพลงมีแต่คอมเมนต์ชาวต่างชาติ อ่านไม่ได้เลย เพราะมีคอมเมนต์หลายประเทศมาก

ก็จะอ่านเฉพาะคอมเมนต์ที่อ่านออก ก็เป็นอะไรที่น่าปลื้มใจอีกครั้งเหมือนกันสำหรับเพลงนี้ เพราะเพลงนี้กลับมาหลายรอบมาก กลับมาทุกครั้งก็ทำให้มีงานอีก ทำให้รู้สึกว่าล้มยาก

...

อีกเพลงของพรที่เป็นที่พูดถึงก็คือ “นะจ๊ะพ่อมึ_สิ” พรบอกว่าเป็นเพลงที่แต่งเมื่อช่วงเดือน ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา

“พี่นิคแต่งให้ค่ะ ทำกันเร็วมากค่ะ ทำอยู่ 3 วัน เป็นเพลงที่กลัวโดนแบนเหมือนกัน กลัวดราม่าเหมือนกันว่าทำเพลงออกมาเกี่ยวกับคนดังคนนั้นรึเปล่า เราก็บอกว่าไม่เกี่ยว เราแค่เอาคำพูดของท่านมา แต่นำมาทำในสไตล์ของเราแค่นั้นเอง

เนื้อเพลงคือผู้ชายไม่เคยทำอะไรเพื่อผู้หญิงเลย ผู้หญิงขอเลิกไป แต่เขามาขอโอกาสครั้งหน้าจะทำให้ดีขึ้น พอให้โอกาสก็ยังทำเหมือนเดิม ผู้หญิงเลิกก็บอกขอโอกาสอีกทีนะจ๊ะ ผู้หญิงก็ประมาณว่าจะขอโอกาสอีกแล้วนะ นะจ๊ะพ่อมึ_สิ”

เมื่อถามว่าอยากบอกอะไรกับคนที่รู้สึกแปลกๆ กับชื่อเพลง พรบอกว่า “ก็แล้วแต่วิจารณญาณคนแล้วกันค่ะ เพราะเพลงสามารถสื่อได้หลายด้าน คิดเอาว่าเราจะสื่อทางด้านไหน เนื้อเพลงบอกเกี่ยวกับความรัก แต่หลายคนอาจจะมองว่าเกี่ยวกับเรื่องคนดัง

ก็แล้วแต่แต่ละท่านว่าจะคิดออกไปยังไง เพราะเพลงมันสามารถคิดไปหลายด้าน เรายอมรับในทุกสิ่งที่เราทำออกมา เพราะเพลงเราทำออกมาเพื่อความบันเทิง ถ้ามีคนด่าหรือชมก็ยอมรับเพราะว่าเราทำออกมาให้ดู ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตามมาค่ะ”

ถามว่าคิดยังไงกับเพลงลูกทุ่งที่คนมองว่าใช้คำแบบสองแง่สองง่ามถึงจะเป็นกระแส พรบอกว่าจริงๆ เพลงสองแง่สองง่ามมีมานานแล้ว พวกเราก็ทำออกมาให้เป็นศิลปะในการร้องเพลง ไม่ได้คิดอะไรไปไกลเลย เหมือนเพลงปูหนีบอีปิที่สื่อถึงเรื่องเด็กหญิงที่ชื่อกะปิโดนปูหนีบ แต่คนอีสานจะเรียกอีปิ๊ เสียงเหินขึ้นไปนิดนึง ถ้าให้ร้องปูหนีบกะปิก็ไม่ได้อรรถรสในการร้องเพลง เลยร้องให้ได้อรรถรสในการฟังแค่นั้นเอง

ความสำเร็จของเด็กอายุ 14 ปี

จากนั้นเราถามเนยบ้างว่ามาเป็นศิลปินค่ายพอดีม่วนได้อย่างไร เนยเล่าให้ฟังว่า “คือหนูเป็นญาติของพี่นิค แม่ของหนูเป็นน้องสาวของพ่อพี่นิค แล้วหนูเป็นคนที่ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ หนูเริ่มแข่งร้องเพลงตั้งแต่ ป.1 และประกวดร้องเพลงมาเรื่อยๆ เป็นแบบวิชาการตามโรงเรียน เป็นนักร้องโรงเรียน ก็ประกวดมาเรื่อยๆ

...

จนถึง ม.2 พี่นิคมองเห็นแววหนูว่าร้องเพลงเพราะ และพี่นิคก็แต่งเพลงให้พี่พรกับพี่เมย์ (เมย์ จิราพร) อยู่แล้ว แล้วทีนี้พี่นิคอยากลองแต่งเพลงให้หนูร้องบ้าง ก็เลยกลายเป็นเพลง “ฝากใบลา” เป็นเพลงแรกที่ดังๆ ปังๆ ของหนู

ทีนี้ก่อนจะมาเป็นเพลงนี้ พี่นิคก็มาคิดด้วยว่าหนูเหมาะกับเพลงแบบไหน ก็จะเป็นเรื่องความรักในวัยเรียน รักใสๆ ของวัยรุ่น พี่นิคเลยแต่งเพลงเนื้อหาอกหักเพราะผู้ชายในโรงเรียน ก็เลยไม่ไปโรงเรียน ลาครู ตอนที่เข้าห้องอัดร้องเพลงนี้ครั้งแรกก็ตื่นเต้นนิดนึงนะคะ แต่ไม่เท่าไรเพราะเคยเข้าไปห้องอัดพี่นิคหลายรอบแล้ว เคยไปอัดเล่นๆ ไม่จริงจังหรอกค่ะ”

เมื่อถามว่าอายุเพียงแค่ 14 ปี แต่มีเพลงดังในโซเชียลแล้วเป็นยังไงบ้าง เนยบอกว่าตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะดังขนาดนี้ ตอนที่ปล่อยเพลงไป 1 สัปดาห์ ถ้าจำไม่ผิดก็ 5-6 ล้านวิวแล้ว

“หนูก็ยังไม่คิดว่าตัวเองดัง แต่พอเดินไปโรงเรียน ไปถึงก็เจอเพื่อนทัก คุณครูทักว่าเพลงเนยเพราะนะ ไปดูรึยัง ตัวเองดังแล้วนะ ยอดวิวเยอะ ขึ้นเป็นล้านแล้วนะ หนูก็อ้าว จริงเหรอคะคุณครู ทีนี้หนูก็ไปดูเพลงของตัวเองค่ะ ก็โห...ขนาดนี้เลยเหรอ ไม่คิดว่าตัวเองจะดัง จะมีคนดูเยอะขนาดนี้

พอกลับบ้านไปวันนั้น พี่นิคมาถามหนูว่าถ้าเนยมีงาน เนยจะพร้อมออกงานมั้ย จะกล้าแสดงออกหน้าเวทีมั้ย เนยจะรับคนดูยังไง หนูยังไม่ได้คิดว่าจะได้ออกคอนเสิร์ต ก็ถามว่าจริงเหรอพี่นิค ยังทำหน้าแหยๆ อยู่เลย พี่นิคก็บอกว่าจริง

พ่อเปิ้ลโทรมาบอกว่าเนยมีงานเข้ามาแล้ว หนูก็ตกใจ เราจะรับคนหน้าเวทียังไง ช่วงนั้นงานเยอะมากจนแทบไม่ได้ไปเรียนเลย ฝากใบลาของจริงเลยค่ะ แต่ช่วงนั้นยังไม่ถึงกับดร็อปเรียน แต่ว่าครูสั่งงานอะไรไว้อาจจะทำส่งช้ากว่าเพื่อน

หลังจากนั้นก็กลับไปเรียนต่อค่ะ ตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้น ม.5 แล้ว พอโควิดมา เอาตรงๆ เรื่องเรียนออนไลน์เรียนไม่รู้เรื่องเลยค่ะ (หัวเราะ) มีสอบออนไลน์ด้วย หนูก็เลยขอครูสอบทีหลัง ซึ่งครูก็บอกว่าโอเค เดี๋ยวติดต่อครูทีหลัง หนูก็เคลียร์เรื่องเรียนตัวเอง ส่วนเรื่องงานมีรายการมีงานติดต่อเข้ามา แต่ไม่ได้ไปเพราะสถานการณ์โควิด อีกอย่างเราเพิ่งไปรายการโหนกระแส กลับมาบ้านแล้วต้องกักตัวค่ะ”

มิตรภาพพี่น้อง พร-เนย

จากนั้นพอถามถึงวันที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกว่าเป็นยังไงบ้าง พรเริ่มเล่าก่อนว่า “ตอนนั้นน้องพรมีเพลงดังคือ “ปูหนีบอีปิ” แล้วน้องเนยยังเด็กอยู่เลย ก็มีโอกาสได้เจอน้อง น้องก็ชื่นชอบพี่พร ก็ได้รู้จักน้องตั้งแต่ตอนนั้น เป็นคนที่เสียงดีและยังเด็กอยู่เลย พี่นิคเลยเอามาร้องเพลง ก็เอ็นดูน้องเนยมากค่ะ ตัวยังเล็กๆ ผิวดำๆ อีกอย่างน้องบอกว่าเป็นเอฟซีพี่พรนะ”

ถึงจุดนี้เนยเสริมว่า “ในสายตาของเนยตอนนั้นพี่พรสวยมาก สวยกว่าตอนที่เห็นรูปพี่พรตอนที่ยังเรียน หนูชื่นชอบเพลงพี่พรมาก ตอนนั้นฟังเพลงพี่พรตลอดเลย แล้ววันนั้นเห็นพี่พรในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของพี่นิค แล้วพี่พรนั่งทานข้าวอยู่ หนูก็เลยขอถ่ายรูปกับพี่พร ตอนแรกที่เจอตื่นเต้นมาก พี่เขาดัง อยากถ่ายรูปกับพี่เขา”

เมื่อถามถึงความประทับใจในฐานะพี่น้องร่วมค่าย พรบอกว่าต่างคนต่างน่ารัก ทุกคนซัพพอร์ตให้กำลังใจกันตลอด เวลาเจอกันในค่ายจะสังสรรค์แบบธรรมชาติ “หนูคิดว่าค่ายของหนูเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว ไม่ต้องถือเนื้อถือตัวว่าตัวเองดัง ทำตัวธรรมดาปกติ อยู่ด้วยกันแล้วไม่เฟก ประทับใจในตัวนักร้องทุกคนในค่าย เพราะทุกคนเป็นกันเองน่ารัก นิสัยดีทุกคน”

ด้านเนยเสริมว่ารู้สึกประทับใจที่ทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ผูกพันแบบสัญญาใจ ไม่ต้องมาแบบคนนี้ดังกว่า เราต้องเคารพเขา ต้องนั่งกินข้าวคนละโต๊ะ ไม่ว่าจะดังหรือไม่ดัง ยอดวิวหรือรายได้อาจจะไม่เท่ากัน เราก็ไม่ได้ถือตัว เรานั่งทานข้าว กอดคอคุยกันเหมือนพี่น้อง

ถามว่าในฐานะที่พรเป็นรุ่นพี่ พรมีแนะนำอะไรเนยบ้าง พรบอกว่า “โห น้องไม่มีอะไรต้องแนะนำเลยค่ะ เพราะน้องเสียงดีอยู่แล้ว ก็แนะนำเรื่องการพูดบนเวที การแสดงบนเวที ถ้าสมมติออกงานด้วยกันก็แนะนำตรงนี้ และก็เรื่องการทำตัว ถ้าสมมติเจอศิลปินด้วยกันต้องทำยังไง เป็นการสอนแบบพี่สอนน้องค่ะ ถ้าบางทีพี่ไม่รู้จัก น้องก็อาจจะบอกพี่ค่ะ”

ด้านรุ่นน้องอย่างเนยก็พูดถึงรุ่นพี่อย่างพรว่า “ก็รู้สึกดีที่มีรุ่นพี่ในวงการเพลงในค่ายเดียวกันแนะนำแบบนี้ ดีใจที่เราได้ร่วมงานถูกคน แนะนำเรา สอนเรา ให้เราพึ่งพาได้ทุกอย่างค่ะ บนเวทีก็มีบ้างที่พี่พรจะพูดอยู่คนเดียว หนูก็ยอมรับว่าหนูไม่ค่อยพูดบนเวทีจริงๆ เป็นจุดบอดของหนูมาก บางทีพี่พรสอน หนูก็จะฟัง ไม่เคยเถียงพี่พรเลย ฟังทุกอย่างและค่อยๆ ปรับปรุงค่ะ”

รักควรมีสองคน

เราให้พรและเนยเล่าถึงเพลงฮิตในเวลานี้ “รักควรมีสองคน” เพลงเนื้อหาแซ่บ การปะทะกันผ่านเพลงระหว่างทีมเมียหลวงกับทีมชู้ เชือดเฉือนอารมณ์ผ่านเสียงเพลงได้ถึงใจแฟนๆ เริ่มจากพรพูดถึงเพลงนี้ไว้ว่า “เพลงนี้เป็นเพลงที่พี่นิคแต่งตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งไกด์มาให้น้องพรกับน้องเมย์ก่อน แต่หลังจากนั้นก็ได้มีการปรับเปลี่ยนมาให้น้องเนยร้องแทน เพราะจะให้เมย์ร้องอีกเพลงนึงค่ะ

พอส่งไกด์มา น้องพรกับน้องเนยก็ซ้อมกันอยู่พักนึง พี่นิคก็บอกว่าเข้ามาซ้อมให้ฟังหน่อย พอซ้อมในห้องอัดได้สักครู่ พี่นิคก็บอกว่าโอเค เข้าห้องอัดเลย พออัดเสร็จ พี่นิคก็ทำอยู่ประมาณหลายวันกว่าจะเสร็จ แล้วทีนี้การถ่ายเอ็มวียังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย เพราะสถานการณ์โควิดยังรุนแรง จนมาถึงวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา เรามีโอกาสทำเอ็มวีเพราะว่าจะปล่อยเพลงแล้ว เราทำโปรเจกต์ทีมเมีย เราก็เลยเอาเพลงนี้เข้ามาอยู่ในโปรเจกต์ทีมเมียด้วย

ถามว่าบังเอิญไปมั้ยที่ปล่อยช่วงนี้ หนูก็คิดว่าเป็นความบังเอิญค่ะ เพราะหนูคุยกันแล้วว่าจะปล่อยเพลงวันนี้ ตอนที่ถ่ายก็ถ่ายก่อนที่จะมีข่าวของคุณครูกับนักเรียน เราไม่ได้เอาเพลงเราไปพาดพิงหรือแซะเขา ซึ่งบังเอิญมีหลายคู่มากเลยที่มีสถานการณ์แบบในเพลงค่ะ”

ส่วนแรงบันดาลใจใจการทำเพลงนี้ เนยบอกว่า “เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจจากคนรอบข้างค่ะ ชีวิตจริงใครหลายๆ คนที่ประสบปัญหาแบบนี้พอดี เราไม่ได้อยากเอาใครมาพาดพิงนะคะ ไม่อยากให้ใครเอามาเป็นตัวอย่าง เพลงนี้จะเป็นบทเรียนให้กับทุกคน”

พอรู้ว่าต้องมาร่วมงานกันเป็นไงบ้าง พรบอกว่ารู้สึกดีใจ เพราะน้องเนยร้องเพลงเพราะอยู่แล้ว เพลงที่เนยร้องเพลงแรกคือ “คนแอบฮัก” ชอบเพราะเพลงน่ารักมาก พอได้มาร่วมงานกับน้องเนย์และพี่เมย์ ก็รู้สึกว่าร้องเพลงเพราะ ถ้าเรามาร้องฟีเจอริ่งก็น่าจะออกมาดี ส่วนเนยบอกว่าตื่นเต้น เพราะเราเพิ่งร้องเพลงด้วยกันครั้งแรกคือ “สังหารหมู่” ยังไม่ได้ร้องฟีเจอริ่ง 2 คน

ด้วยความที่อินเนอร์การร้องเพลงนี้ค่อนข้างแรง และทั้งคู่ไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบเนื้อหาในเพลง ถามว่าตอนร้องยากมั้ย พรบอกว่า

“อินเนอร์ตอนร้องเราก็มีพี่นิคเป็นคนบิลด์ในเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าสายตา อีกอย่างเราก็ดูละคร และเอาจากความรู้สึกตัวเองด้วย เราไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะเป็นเมียหลวงหรือเมียน้อย แต่ว่าเราคิดว่าเมียหลวงไม่ยอมต้องทำท่ายังไง ต้องเคร่งขรึมนิดนึง แล้วพรเป็นคนที่หน้าตาน่ากลัวอยู่แล้ว ถ้าทำก็ดูน่ากลัวนิดนึง ก็เอาประสบการณ์ทางหน้าตาตัวเอง และก็ดูละคร พี่นิคก็บิลด์อีก ก็เลยทำอินเนอร์ได้แบบนั้น”

ด้านเนยบอกว่า “คิดว่ายากมากค่ะสำหรับการรับบทเมียน้อย เพราะว่าน้องเนยยังไม่เคยมีประสบการณ์เป็นเมียน้อยใคร (หัวเราะ) ทีนี้พี่นิคก็บิลด์อารมณ์ให้ว่าเนยเป็นเมียน้อยนะ เนยต้องพยายามทำแบบว่าอยากได้ของเขา มันไม่ใช่ของเราตั้งแต่แรกก็ต้องเอามาให้ได้ หน้าตา ท่าทาง เสียง บุคลิกต่างๆ ให้มันได้ แล้วอย่างที่พี่พรพูดคือเราดูละครฉากแย่งสามีกันเป็นยังไง ก็เก็บมาเป็นประสบการณ์ จนมาถึงวันที่ถ่ายเอ็มวีก็คือใช้ประสบการณ์ส่วนนั้นแหละค่ะ”

ถึงตรงนี้พรเสริมว่า “เป็นเพลงแรกเลยที่เหมือนแบตเทิลกันสองคน เป็นผู้หญิงสองคนที่เถียงกัน ไม่ใช่ร้องเพลงคู่กันปกติ แต่เป็นผู้หญิงสองคนที่ร้องเพลงแล้วทะเลาะกัน เป็นครั้งแรกที่ร้องแบบเป็นเมียเป็นชู้ค่ะ” เนยพูดต่อ “ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เป็นทีมชู้ค่ะ มีความร้องฟาดฟันกันทั้งหน้าตา ท่าทาง เหมือนเราไม่ได้ร้องเพลงให้คนอื่นฟัง แต่เราร้องฟาดฟันอารมณ์กัน คือส่วนมากเขาจะร้องไปในทางเดียวกัน แต่เราจะแย้งกันค่ะ”

ความสำเร็จถล่มทลาย

กับกระแสตอบรับที่ดังถล่มทลายมากๆ มีการนำไปทำเพลงคัฟเวอร์ รวมถึงการทำคลิปใน TikTok ถามว่ารู้สึกตกใจมั้ย พรบอกว่าตกใจมาก ด้านเนยบอกว่า “เห็นยอดวิวตั้งแต่ตอนแรกก็โอ้โห ยอดวิวขึ้นเยอะมาก ตกใจมากเพราะนานๆ ทีเพลงหนูจะมีครั้งนึง คือหนูร้องเพลงมาตั้งแต่ “ฝากใบลา” จนผ่านมาตอนนี้ก็ 3 ปีแล้ว ยังไม่มีเพลงไหนออกมาเลย มีบ้างแต่ก็ไม่ได้ปังๆ เปรี้ยงๆ เหมือนเพลงนี้ค่ะ จนวันที่ปล่อยเพลงนี้วันแรกแล้วยอดพุ่งก็ตกใจมาก ดีใจเพราะนานๆ ทีจะมีแบบนี้ คอมเมนต์ก็แห่ให้กำลังใจ ตื่นเต้นมากๆ ช่วงนี้ยอดวิวก็โดดขึ้นวันละ 2-3 ล้านวิวก็ยิ่งดีใจไปกันใหญ่”

เมื่อถามว่าฟีดแบ็กที่กลับมาเป็นไงบ้าง พรบอกว่า “เขาก็ทักเข้ามาว่าดังแล้วนะ อย่าลืมกันนะ ไปตลาดก็มีคนทักว่าหนูร้องเพลงนี้เหรอ พี่ชอบมากเลย เพิ่งเห็นตัวจริงตัวเล็กมาก ก็แซวกันปกติเลย” ด้านเนยบอกว่า “ก็มีคนอินบ็อกซ์มาเพราะยังไม่ได้ออกไปไหนเลย ก็มีคนทักว่าเสียงดีมาก ดังแล้วนะ แต่เราคิดว่าตัวเองยังไม่ดังขนาดนั้นค่ะ แต่ยอมรับว่ามีกระแส ยังไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นนักร้องดังขนาดนั้นค่ะ”

จากฟีดแบ็กดังกล่าว ทำให้เกิดความกดดันในการทำเพลงต่อไปหรือไม่ รวมถึงเพลงแนวรัก 3 เส้าที่มีนักร้องหนุ่มจะมาแบตเทิล และจะได้ฟังกันเร็วๆ นี้จะเป็นยังไง พรบอกว่า “ก็กดดันนิดนึงค่ะว่าเราจะทำเพลงต่อไปออกมาแล้วคนจะชอบเหมือนเพลงนี้มั้ย เพราะการทำเพลงให้คนชอบมันก็ยากนะคะ บางคนอาจจะไม่ชอบเพลงเรา มันก็กดดันว่าถ้าเราทำเพลงใหม่ออกมามันจะเปรี้ยงหรือว่าจะดังเหมือนเพลงนี้รึเปล่า เราก็คิดว่ายังไงน้อ”

ส่วนเนยบอกว่า “กดดันมากๆ เพราะว่าประสบการณ์ของน้องเนยยังไม่มีสักเท่าไร ยังไม่มีเท่าพี่พร หนูอายุแค่ 17 ปี กลัวว่าเพลงหน้าถ้าออกไปปุ๊บแล้วไม่เปรี้ยงเท่าเพลงนี้ เราจะทำยังไงต่อดี ก็คิดมากค่ะ กลัวเอฟซีจะไม่ค่อยชอบเพลงที่มี 3 คนสักเท่าไรค่ะ”

ความในใจ

แม้เพลงจะประสบความสำเร็จ แต่เพราะสถานการณ์โควิด เนยยอมรับตรงๆ ว่าเสียดายมากที่ช่วงชีวิตนานๆ ทีจะมีเพลงดัง แทนที่ป่านนี้จะไปออกคอนเสิร์ต ออกรายการแล้ว แต่ต้องกลับมากักตัวที่บ้าน เสียดายแทนที่เราจะได้ประสบการณ์เพิ่ม มีงานเพิ่ม ได้ความรู้เรื่องการพูดมากขึ้น มีงานติดต่อเข้ามาแต่ไม่ได้ไป ที่สำคัญก็คือไม่ได้เงินซึ่งเสียดายมาก เพราะช่วงนี้ต้องใช้เงินต่อยอดการศึกษาของตัวเอง ต้องส่งตัวเองเรียน

เมื่อถามว่าความสำเร็จที่เข้ามา ทำให้ติดใจอยากเป็นนักร้องไปเรื่อยๆ มั้ย เนยบอกว่า “ก็ติดใจนะคะ แต่ว่าเรายังไว้ใจมันไม่ได้ค่ะ เพราะอาชีพนักร้องมันไม่มั่นคง มันมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา แล้วเราก็ต้องมีอาชีพอื่นสำรองไว้หน่อย มันก็เหมือนช่วงนี้ที่ไม่มีงานไม่มีเงิน มีแต่โควิด แต่ก็ยังอยากทำงานเพลงไปเรื่อยๆ หนูต้องหาอะไรที่ซัพพอร์ตด้วยค่ะ”

จากนั้นเราถามพรถึงเรื่องการเรียนว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง พรบอกว่าไม่ได้เรียนแล้ว เรียนจบ ม.6 ก็ทำงานร้องเพลงเลย ยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปเรียนมหาวิทยาลัย ก็จะทำเพลงไปเรื่อยๆ คนจะได้ไม่ลืมเรา ถามว่าอยากกลับไปเรียนต่อบ้างมั้ย พรบอกว่า “ถ้าสถานการณ์ดีกว่านี้อาจจะมีความคิดค่ะ แต่ตอนนี้เอาไว้ก่อน ยังคิดอะไรไม่ได้มากค่ะ ไม่รู้สถานการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง ที่ผ่านมายังไม่ได้กลับไปเรียนส่วนนึงคือเพลงกระแสดีด้วย เลยยังไม่มีเวลากลับไปเรียนค่ะ”

ส่วนการร่วมงานกันอีกในอนาคต พรบอกว่าก็อยากร่วมงานไปเรื่อยๆ เพราะศิลปินในค่ายอยู่ด้วยกันน้อย อยากร่วมงานกับทุกคนในค่าย และอยากร่วมงานกับน้องเนยเรื่อยๆ เพราะเราผูกพันเป็นรุ่นน้องรุ่นพี่ในค่าย ทำงานด้วยกันไปจนกว่าทำไม่ไหว

อีกทั้งขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่กดไลค์กดแชร์และให้กำลังใจ ขอให้ทุกคนมีความสุข ด้านเนยบอกว่าอยากร่วมงานกับพี่ๆ ในค่ายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเดี้ยงไปข้าง ชอบอยู่แบบนี้เพราะถึงแม้จะเป็นค่ายเล็กๆ แต่อยู่ด้วยกันแบบน่ารักอบอุ่น พร้อมทั้งฝากแฟนๆ ติดตามชมไลฟ์คอนเสิร์ตศิลปินค่ายพอดีม่วนในวันที่ 11 ก.ย. 2564 ด้วย

ปิดท้ายด้วยการให้ทั้งคู่พูดความในใจถึงกันและกัน พรหัวเราะเขินก่อนจะบอกว่า “ก็อยากบอกน้องว่าให้ฟังพี่เยอะๆ ไม่ต้องดื้ออะไรให้มาก (ยิ้ม)”

ถึงตรงนี้เนยหัวเราะเขินเลยทีเดียว พรพูดต่อ “แค่นั้นแหละค่ะ น้องนิสัยดีอยู่แล้ว” ส่วนเนยบอกว่า “หนูขอบคุณพี่พรนะคะที่ซัพพอร์ตหนูทุกอย่าง ไปไหนมาไหนก็ดูแลหนู ไม่ว่าจะไปรายการไหน บางทีก็นั่งรถพี่พร หนูพึ่งพาอาศัยพี่พรได้ทุกอย่าง ขอบคุณพี่พรค่ะที่ดูแลหนูตลอด”.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : พอดีม่วน STUDIO, เฟซบุ๊ก พร จันทพร, เฟซบุ๊ก เนย ภัสวรรณ ฝากใบลา
กราฟิก : Sathit Chuephanngam