โฆษณาแต่ละชิ้นทางโทรทัศน์นั้น ส่วนใหญ่จะสั้นๆไม่กี่สิบวิ จึงเป็นโจทย์หินของผู้สร้างสรรค์งานโฆษณาว่า ทำอย่างไรจึงจะผลิตได้กระชับ ได้สาระ และติดหูติดตาผู้บริโภค
ชมปั๊บ เข้าใจในสิ่งที่ต้องการสื่อสาร จดจำแบรนด์ ตลอดถึงสาระของสินค้าได้แบบไม่กังขา
ด้วยเงื่อนไขนี้ ความจริงที่ได้รับจากสปอตโฆษณาต่างๆ จึงเป็นเรื่องราวที่นำเสนอไม่ครบถ้วนนัก
ภาษาบ้านๆเรียกว่าพูดความจริงครึ่งเดียว อีกครึ่งให้จินตนาการเอาเอง!!
ยาทุกชนิดและสิ่งที่เกินจริง “ห้ามโฆษณา” อาจยกเว้นเพียงยาสามัญประเภทพาราเซตามอล
เซียนการตลาดจึงเลี่ยงออกมาใช้โฆษณาแฝง เช่นการรีวิว การบอกต่อ เป็นไดอะล็อกในบทละครทีวี หรือให้ตัวละครเป็นผู้ใช้ในเรื่องราวนั้นๆ
การโฆษณาประกันชีวิต ก็เข้าข่ายพูดความจริงครึ่งเดียว ไม่เสนอในรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญ!!
สปอตโฆษณาของบริษัทประกันบางแห่ง เนื้อหาค่อนข้างเทาๆ เพราะดูง่าย “ตอนสมัคร” จนเกินเหตุ
แต่ตอนคุ้มครองนั้น มีขั้นตอนตามกฎหมายหลายประการ ไม่ง่ายดังสปอตโฆษณาชวนเชื่อ!!
หน่วยงานที่ดูแลคุ้มครองผู้บริโภคมีอยู่ แต่สูตรสำเร็จของราชการมักอ้างว่า เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ
ส่อให้เห็นถึงโครงสร้างระบบและการบริหารจัดการบกพร่อง
งานใดต้องใช้คนเยอะ บุคลากรกลับไม่ค่อยมี งานใดที่สบาย เจ้าหน้าที่กลับมีมากจนล้น
งานใดได้หน้า ได้กระแส ได้ออกสื่อ บุคลากรจะไม่ขาดแคลน
ยกตัวอย่างเช่น การไล่ล่าเฟกนิวส์ทางการเมืองแบบไม่จำเป็น กลับมีกำลังพลเหลือเฟือ!!
สรุปดื้อๆสั้นๆว่า บ้านเมืองใดเรียงลำดับความสำคัญของงานยังไม่เป็น ระบบก็จะสับสน
สุดท้าย...ผู้บริโภคคือประชาชนก็เสียผลประโยชน์!!
...
“สันติพงษ์ นาคประดา”
‘‘แจ๋วริมจอ’’
jaewrimjor@gmail.com