เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของนางเอกสาวคนดัง “แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์” ที่ต้องมีสติและรับมือกับทุกสิ่งให้ได้ กับการเป็นผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งคนในครอบครัว 8 คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้มีใครอยากให้เกิดแต่ก็ทำให้ได้หันมามองการใช้ชีวิตใหม่และรู้ว่าในภาวะนั้นกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก “แพนเค้ก” แชร์ประสบการณ์ช่วงที่รักษาตัวจากโควิด-19...

“ณ ตอนนั้นพอรู้ว่ามีสมาชิกในบ้านติดมันไม่ใช่กลัวว่าเราจะติดหรือไม่ติด แต่มันต้องคิดต่อเลยว่าติดแล้วจะทำยังไงต่อ ทุกคนต้องวางแผนกัน พอเราอยู่ในครอบครัว การระมัดระวังมันก็จะน้อยกว่าอยู่นอกบ้าน พอมีคนติดเลยคิดทันทีว่าเรามีความเสี่ยงแน่นอน พอรู้ผลว่าติดมาทีละคนหมดทุกคน ต้องคิดทุกอย่างว่าต้องเตรียมตัวยังไง เก็บของยังไง คือมืดแปดด้านเลย ไม่รู้จะถามใคร ไปรักษาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมื่อไหร่ อาการจะแค่ไหนอย่างไร คุณแม่เองก็เพิ่งมาบอกกันทีหลังว่าตอนนั้นใจหาย ทำอะไรไม่ถูก โกยของขึ้นรถไปก็ไม่รู้ว่าขาดเหลืออะไร สำหรับกระบวนการรักษา ทุกวันมีการวัดความดัน วัดออกซิเจน วัดอุณหภูมิเอง รักษาตามอาการ ช่วงนั้นทุกคนก็อาการขึ้นลงกัน ซึ่งคุณหมอก็จะบอกว่าอาการของโควิดเป็นอะไรที่ไม่แน่นอนเลย ตอนเข้าไปอาจจะไม่มีอาการอะไรเลยแต่ปลายอาทิตย์อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ แพนเข้าไปวันแรกแพนไข้ขึ้นสูงก็เป็นสัญญาณว่าอาจจะปอดอักเสบ ซึ่งต่อมาก็ปอดอักเสบจริงๆหลังจากนั้นทุกคนปอดก็เริ่มมีฝ้า ก็ต้องรักษาตามอาการ ให้ยาต้าน และมีการเอกซเรย์ปอด เราต้องปรับตัวไปตลอด แต่ตอนนั้นทุกคนคิดว่าพยายามฟื้นตัวเองกันให้เร็วที่สุด นอนให้เยอะ กินข้าวตรงเวลา กินยา พักผ่อน ทำตามคำแนะนำของคุณหมอ มันก็มีช่วงที่เราไม่รู้ว่าอาการเราจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็กังวลมากเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าเราโอเคหรือยัง สิ่งที่ต้องทำคือทำตามคำแนะนำคุณหมออย่างเคร่งครัด ก็ดูแลคุณแม่ด้วย ในห้องเราอยู่กัน 3 คน แพน คุณแม่ น้องมิกิ แต่คุณแม่เองก็รีบฟื้นตัวเองขึ้นมา ตอนเข้าโรงพยาบาลอาการของคุณแม่จะเยอะกว่าคนอื่น มีเสมหะ ไอ เจ็บคอ ส่วนแพนอาการเริ่มคือไม่ได้กลิ่นเลย และก็ค่อยๆดูแลตัวเองกัน พอปอดดีขึ้น ทั้งแพน คุณแม่และน้องไม่พบเชื้อโควิดแบบอยู่ในระยะแพร่เชื้อได้ คุณหมอก็ตัดสินใจให้กลับบ้าน”

...

หลายคนเป็นห่วงคุณแม่เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?

“คุณแม่ก็กำลังใจดีเข้มแข็ง เราก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกันในครอบครัวและรับกำลังใจจากทุกคนที่เป็นห่วง เราก็พยายามทำตัวไม่ให้มีอะไรแทรกซ้อนขึ้นมาอีก คุณแม่ก็พัก นอน แม่ก็ไม่ค่อยบอกลูกว่าเป็นอะไรเพราะกลัวลูกห่วง กลัวลูกกำลังใจเสีย ไม่พูดอะไร นอนซมลงไปเพราะวัดไข้มาแพนกับน้องสาวหันหน้ามามองกันคุณแม่ไข้สูง ก็ช่วยดูแลกัน มีอาการปุ๊บ เรากินยาเลย ตามอาการ” ณ ตอนนั้นแพนเค้กต้องเป็นหลักให้ทุกคนมั้ย? “แพนด้วย น้องสาวด้วยค่ะ เค้าค่อนข้างฟื้นตัวเร็ว ก็มาช่วยดูแลกันสลับกัน ก็คอยถามอาการคนอื่นๆด้วย น้องสะใภ้กับน้องอัญชัญหลานสาวก็ได้ไปอยู่ด้วยกัน เราก็จะวิดีโอคอลกันทุกวันเช็กอาการกัน”

ตอนจัดการเรื่องของทุกคนตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?

“ต้องมีสติมาก มันก็มีช่วงที่ต้องคิดทุกอย่างว่าจะทำอย่างไรต่อ มีการร้องห่มร้องไห้กัน ตอนน้องสะใภ้มาบอกว่าติดนะ เค้าเองก็ทำอะไรไม่ถูกกลัวลูกติดด้วย เค้าไปนั่งอยู่หน้าบ้านเลย แต่ต้องบอกว่ายังโชคดีที่เค้ามีอาการก่อนคือไม่ได้กลิ่นและด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพยาบาลเลยรีบไปตรวจทันที ทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำอย่างไร มีเวลาแค่วันเดียวให้เราเตรียมตัวต่อ และตอนนั้นก็ติดยกบ้านมีเหลือแค่พี่หมี (สารวัตรหมี พ.ต.ต.ศักดิ์สุนทร เปรมานนท์) ที่ไปมาหากันตลอด พอทุกคนไปรักษาตัวพี่หมีก็ต้องมากักตัวอยู่ตรงนี้แทน เพราะกลัวว่าจะไปติดคุณพ่อคุณแม่เค้าด้วยเหมือนกัน เราเองอยู่กับหมอได้รับการรักษาเราก็ห่วงเค้าด้วยเหมือนกันเพราะเค้าอยู่ข้างนอกอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะเป็นอย่างไร เพราะเราไม่ได้เจอกัน”

จริงๆ มีช่วงนอยด์ จิตตกบ้างมั้ย?

“เป็นความกลัวมากกว่า แต่เราก็พยายามคิดบวกว่าเราต้องรีบหาย มันก็มีวันที่ผลเลือดของแพนกับคุณแม่น่าจะไม่ค่อยโอเค ก็มีพี่พยาบาลมาฉีดยาให้ที่สะดือตอนดึกเหมือนเป็นยาสลายลิ่มเลือด เราก็ตกใจเหมือนกันว่าอาการเราหนักขึ้นหรือเปล่าแต่ก็โชคดีที่พอกินยาแล้วร่างกายเราตอบสนองกับยา ทำให้ทุกอย่างค่อยๆโอเคขึ้น แต่ ณ จุดนั้นที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อมันก็กังวลเหมือนกัน”

เรียกว่าเป็นเรื่องที่มาประสบในครอบครัวแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น?

“ใช่ค่ะ เราไม่คาดคิดว่ามันจะมาถึงเราด้วยความที่เราคิดว่าเราก็ดูแลตัวเองดีแล้ว เราก็พยายามใส่แมสก์ ล้างมือบ่อยๆ ฉีดแอลกอฮอล์ กลับบ้านมารีบอาบน้ำ แต่บางทีเราก็มองข้ามไปเพราะเราคิดว่าเราดูแลนอกบ้านทุกอย่างดีแล้วแต่พอกลับบ้านมาแล้วถอดแมสก์ พูดคุย นั่งทานข้าวด้วยกัน เราอาจจะลืมไปว่าคนใดคนหนึ่งในบ้านไปรับเชื้อตรงไหนมาก็ได้ การอยู่ในบ้านที่ใกล้ชิดกัน กินข้าวกัน เจอกันกอดกัน มันก็อาจจะทำให้เราได้รับเชื้อง่ายมากกว่าการอยู่ข้างนอกอีก ยิ่งถ้าทางบ้านมีผู้สูงอายุหรือเด็ก ยิ่งจำเป็นมากที่ต้องตระหนักถึงจุดเหล่านี้ ทุกวันนี้เราเห็นตัวอย่างเยอะมากในข่าวซึ่งเราก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะทุกอย่างมันเร็วมาก”

...

พอหายดีเหมือนได้รีเซ็ตชีวิตตัวเองใหม่อย่างไรบ้าง?

“มันทำให้เรามองว่าตอนนี้ต้องใช้ชีวิตทุกอย่างเรียบง่าย รีเซ็ตการดูแลตัวเองว่าก่อนหน้านี้เราได้เพิกเฉยตรงไหนไปบ้าง บางทีเราทำอะไรไม่ได้หยุดหย่อน โควิด-19 ทำให้เรากลับมามองตัวเองใช้ชีวิตช้าลง สโลว์ไลฟ์ลงเพราะหลังจากหายแล้วการออกกำลังกายก็ทำหักโหมเหมือนเดิมไม่ได้ต้องประเมินกำลังตัวเองตลอด ร่างกายเราก็ยังไม่ 100% ต้องใช้เวลาฟื้นฟู เราก็รู้ว่าร่างกายเราไม่เหมือนเดิมก่อนที่เราจะเป็น ตอนนี้ก็ยังคงพัก ยังดูแลตัวเอง ตอนนี้ในบ้านแพนก็คือทุกคนมีจานช้อนส้อมเป็นของตัวเอง กินอาหารเป็นเซตของตัวเอง ต้องดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ปรับการดำเนินชีวิตตัวเองใหม่ กินอยู่ง่ายขึ้นเพราะตอนอยู่โรงพยาบาลเราก็กินอาหารของใครของคนนั้น จานเดียวจบ แยกย้ายไปนอน พอร่างกายเราปรับไปเป็นแบบนั้นแล้วทำให้รู้สึกว่าจริงๆเราก็กินแบบนี้ได้แล้วก็อิ่มเหมือนกัน ไม่ได้จำเป็นต้องมากมาย อันนั้นอาจจะเป็นความสุขในแต่ละโอกาสพิเศษ แต่ ณ วันนี้ เรารู้สึกว่าเราสามารถอยู่พร้อมหน้า พร้อมตาแบบกินของใครของคนนั้นได้ พอหายกลับมาที่บ้านทุกคนก็จะแยกอยู่ในโซนในห้องของตัวเอง หลังบ้านที่เตรียมไว้ว่าจะปลูกผักสวนครัวเราก็กลับมาทำตรงนี้ต่อเลย เด็ดกะเพรามาทำกับข้าว เอาผักมาจิ้มน้ำพริก ส่วนที่ต้องสั่งอาหารอะไรเข้ามาเราก็ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ รักษาความสะอาด หรือถ้าต้องออกจากบ้านก็ออกให้น้อยที่สุดที่จำเป็น จริงๆการปลูกพืชผักเราจะมีที่เยอะหรือที่น้อยมันไม่ได้สำคัญ มันอยู่ที่ปลูกแล้วเราได้กิน มันก็คือตัวเราสุขภาพเรา เรารู้ว่าเรากินอะไรมาจากแหล่งไหน ถ้ามาจากในบ้านเราเอง เราก็จะรู้ว่าปลูกยังไงใช้ดินอะไร”

เจอวิกฤติครั้งนี้ได้ข้อคิดอะไรในการดำเนินชีวิตบ้าง?

...

“แพนว่าสติเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะเราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเราบ้าง มีสติกับตัวเราและคนอื่นๆ ค่อยๆแก้ปัญหาไป ค่อยๆตั้งรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ได้ และอย่างที่บอกว่าโควิดมันคาดเดาไม่ได้เพราะ ฉะนั้นเราต้องไม่ประมาททุกอย่าง บางทีเราคิดว่าไม่เกิดขึ้นกับเราหรอกแต่ในการใช้ชีวิตของเราก็มีความเสี่ยงที่จะติดได้จริงๆ สิ่งนี้จะมาสอนเราว่าตัวเราที่คิดว่าดูแลตัวเองดีแล้วมันก็ยังเกิดขึ้นได้ แล้วมันไม่ได้กระทบแค่เราแต่กระทบคนในครอบครัวและคนอื่นรอบตัวด้วย”

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ?

“แพนว่าในช่วงเวลาแบบนี้กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจะให้แก่กันเองกับพวกเราที่อยู่ด้วยกันและกำลังใจที่เราได้รับจากคนอื่นๆ ทุกคนที่ส่งเข้ามาพอเราออกมาแล้วทำให้เรารู้ว่าเราอยากเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนเหมือนกัน ไม่ว่าคนที่เป็นหรือไม่เป็นในภาวะนี้ทุกคนก็ต้องการกำลังใจ มีคนถามเข้ามาเยอะเหมือนกันว่าติดแล้วต้องทำยังไง มีอะไรที่แนะนำได้เราก็อยากช่วย”

อีกมุมก็ได้เห็นโมเมนต์น่ารัก พี่หมี แฟนหนุ่ม มาโบกมือให้กำลังใจอยู่ไกลๆตอนรักษาตัว?

...

“วันนั้นเป็นวันที่พี่หมีไปตรวจโควิดรอบสอง อยู่ในช่วงกักตัวแต่ต้องไปตรวจที่ รพ. ก็เลยบอกเค้าว่าพี่หมีมาแล้วมาโบกมือให้ตรงห้องหน่อย มาจอดรถในตำแหน่งที่เห็นหน่อยได้มั้ย แค่ได้โบกมือกันเห็นกันมันก็ดีใจเพราะมันได้แค่นั้นจริงๆ ซึ่งเราก็ไม่เคยนึกว่ามันจะมีบรรยากาศแบบนี้ที่เราเจอกันไม่ได้ ทุกคนต้องเซฟตัวเอง”

ระหว่างนั้นเรากังวลว่าเค้าจะติดมั้ย?

“ก็กังวลนะคะ พยายามบอกเค้าว่าให้มาตรวจตลอดและให้สังเกตอาการตัวเองแต่โชคดีที่เค้าไม่เป็นอะไร”

ในความเป็นคนรักของพี่หมีในวิกฤติแบบนี้เราได้เห็นอะไรกันมั้ยว่าเค้าเป็นกำลังใจสำคัญ?

“เค้าก็เป็นกำลังใจสำคัญมาก ยืนหนึ่งที่บ้านเลยค่ะ ประสานทุกอย่างสิบทิศ พร้อมคอยซัพพอร์ตตลอด และก็คอยกังวลมากว่าเราจะเป็นยังไง แม่จะเป็นยังไง ทุกคนเป็นยังไง”

ณ วันนี้อยากให้กำลังใจคนอื่นยังไงบ้าง?

“สำหรับเราที่มีประสบการณ์ตรงนี้มาเราก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย กำลังใจคือสิ่งที่สำคัญมากไม่ว่าจะคนที่เป็นหรือไม่ได้เป็น มันก็หนักเท่าๆกัน ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในช่วงเวลานี้ให้เราได้ช่วยกันก้าวผ่านไปให้ได้เร็วที่สุดค่ะ”.