ช่วงหลังนักแสดงหนุ่มมากฝีมือ แซม ยุรนันท์ ภมรมนตรี มักจะโพสต์เฟซบุ๊กเผยเรื่องเล่าในครอบครัวให้แฟนๆ ได้ติดตามกันอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดก็มีอีกเรื่องเล่าที่ไม่ธรรมดา คือเรื่องของ คุณพระชำนาญคุรุวิทย์ หรือ แย้ม ภมรมนตรี ซึ่งเป็นคุณปู่ และที่มาของนามสกุล “ภมรมนตรี” ที่งานนี้เจ้าตัวเล่าย้อนไปไกลถึงบรรพบุรุษที่เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว
โดย แซม ยุรนันท์ ได้โพสต์ภาพคุณปู่คุณย่า พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า “Somewhere in Time” ภาพนี้เป็นภาพหลักที่ติดอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน ตั้งแต่ผมจำความได้ครับ เป็นภาพวันหวานน่ารักของคุณปู่คุณย่า คุณพระชำนาญคุรุวิทย์และแพทย์หญิงแอนเนรี
...
คราวที่แล้วเขียนเล่าเรื่องคุณย่าไป แต่ยังติดค้างไว้เรื่องของคุณปู่ครับ...... คุณปู่ของผมชื่อว่าแย้มครับ เป็นบุตรของพระยามณเฑียรบาล (บัว) ในรัชกาลที่สี่ เป็นหลานปู่ของพระยาราชมนตรี (ภู่) ในรัชกาลที่สาม
เป็นหลานทวดของพระยาสรราช ซึ่งเป็นบุตรของพระยาธิเบศร์บดี เสนาบดีในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ (กรุงศรีอยุธยา) สืบแค่นี้ก่อนละกันนะครับเดี๋ยวอาจจะยาวไปถึงกรุงสุโขทัย หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 ขณะที่พระเจ้าตากทรงกำลังกอบกู้เอกราช ทรงมอบหมายให้คุณปู่ทวด เป็นแม่ทัพไปตีไล่พม่าที่เมืองตากและกำแพงเพชร!!
เมื่อสำเร็จก็เข้ารับราชการเป็นจางวางมหาดเล็กในรัชสมัยของพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระราชทานพระสุพรรณบัตรแต่งตั้งเป็น *เจ้าพระยาธิเบศร์บดี* ครับ
ครั้นเมื่อล้นเกล้ารัชกาลที่หก ทรงพระราชทานนามสกุลให้แก่คุณปู่ ทรงเห็นว่าพระยาราชมนตรี (ภู่) เป็นผู้ที่ถวายงานให้แก่สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อย่างซื่อสัตย์ สุจริต จนเป็นที่กล่าวขาน เป็นเสนาบดีพระคลังมหาสมบัติ ที่ทั้งหาเงินและเก็บเงินเข้าพระคลังมากมายมั่งคั่ง..ไม่ตกหล่น!! ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สะสมเงินใส่ถุงแดงอีกจำนวนมากเป็นสมบัติของชาติสืบมา
พระยาราชมนตรียังนำทรัพย์สินส่วนตัวคือบ้านและที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี สร้างเป็นวัดถวายพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดพระราชทานนามว่า “วัดคฤหบดี” เป็นวัดอารามหลวงครับ และทรงพระราชทาน พระแซกคำ พระพุทธรูปเก่าแก่สมัยเชียงแสน ที่รัชกาลที่หนึ่งทรงอัญเชิญกลับมาจากกรุงเวียงจันทน์พร้อมพระแก้วมรกต มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถครับ ภายในวัดมีเจดีย์สีขาวองค์ใหญ่บรรจุอัฐิบรรพบุรุษของผม (และคงจะเป็นของผมด้วยในอนาคต!!)
เมื่อคุณปู่ของคุณปู่มีชื่อว่า “ภู่” ซึ่งก็คือ ภมร ส่วน มนตรี ก็มาจากพระยาราชมนตรีนั่นเอง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสกุลว่า “ภมรมนตรี” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2456 ครับ
มาเล่าเรื่องคุณปู่กันต่อนะครับ วัยหนุ่มคุณปู่เข้ารับราชการทหารสังกัดกรมทหารม้า ได้ส่งไปปราบจีนฮ่อที่ชายแดน เมื่อสำเร็จกลับมาได้รับความชมเชย..ว่ามีความกล้าหาญ เข้มแข็งและเฉลียวฉลาด ในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปศึกษาต่อวิชาการทหาร ณ ประเทศเยอรมัน และทรงพระราชทานยศเป็นร้อยโทครับ
เรียนก็เรียนหนัก! ฝึกก็ฝึกหนัก! แต่ความรักก็ไม่เบานะครับ ได้พบรักกับคุณย่าซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ แถมยังมีดีกรีเป็นถึงลูกสาวของคณบดีมหาวิทยาลัยชื่อดังของเยอรมัน (ตามภาพ) แต่ทหารไทยใจถึงก็ไม่ได้ย่อท้อ!..พิสูจน์รักแท้ให้คุณพ่อตาศาสดาจารย์ด็อกเตอร์ไฟเอร์เห็น จนได้รับการยอมรับ.. และแต่งงานกันในที่สุด
และเมื่อถึงคราวจะต้องเดินทางกลับประเทศไทย ก็เป็นที่ห่วงใยของญาติพี่น้อง..เพราะสยามประเทศของเรายังเป็นที่รู้จักกันน้อยมากสำหรับคนต่างชาติ ณ เวลานั้น..เป็นห่วงว่าจะต้องไปตกระกำลำบากอย่างไร?? แต่คุณย่าก็ยืนกรานว่าจะขอไปกับคนที่รักทุกที่
เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยก็เป็นอย่างใจคุณพ่อตาที่เป็นห่วงเลยครับ!! ประเทศไทยมีกรณีพิพาทเรื่องดินแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงกับฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสนำกองทหารเข้ามาประชิดชายแดนไทย!! คุณปู่ซึ่งจบการทหารทางด้านปืนใหญ่และอาวุธสงคราม ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการการรบ ต้านกองทัพฝรั่งเศสที่ชายแดนครับ รบกันถึงหกปี!! โดยมีคุณย่าติดตามไปด้วยทุกที่ ช่วยออกหน่วยแพทย์และฝึกพยาบาล ว่างจากรบก็ช่วยรักษาชาวบ้านเป็นครั้งคราวจนเป็นที่เรียกติดปากกันว่า “หมอแหม่ม” หมอแหม่มให้กำเนิดลูกสาวสองคนที่บ้านหมากแข้ง (อุดรธานี) ชื่ออำพันและอรุณวดีครับ (ตามรูป)
เมื่อรบกันยาวนานมาถึงปีที่หก ผู้บัญชาการกองรบฝรั่งเศส ชูธงขาวเข้ามาพบคุณปู่ แจ้งให้ยุติสงคราม!! ส่งโทรเลขให้ดูว่ารัฐบาลสยาม ยอมทำตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสแล้ว คุณปู่อ่านโทรเลขด้วยน้ำตานองหน้า ..เพราะนั่นหมายถึงเราต้องสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นของไทยแต่โบราณไปให้กับต่างชาติ
...
คุณปู่แค้นใจรับไม่ได้จุดไฟเผาโทรเลขฉบับนั้นและเป่าแตรนำกองทหารอีกทั้งชาวบ้านขับไล่ทหารฝรั่งเศสแตกกระเจิงไป.. แต่สุดท้ายคุณปู่ก็ถูกนายทหารฝรั่งเศสจับ!! และถูกปลดยศทหารต่อหน้านายทหารทั้งสองประเทศ จับเป็นนักโทษสงคราม นั่งเกวียนไปรับโทษที่พระนคร
โดยมีคุณย่าขี่ม้าตามระหว่างทางคุณย่าท่านป่วยหนัก! เป็นไข้จับสั่น ไข้ขึ้นสูง หมดเรี่ยวแรง! ต้องผูกไว้กับหลังม้าเพื่อไม่ให้ตกลงมา เป็นที่ทรมานยิ่งนัก!! เมื่อถึงโคราชก็ได้นั่งรถไฟกลับพระนคร (ขณะนั้นประเทศไทยเพิ่งได้เริ่มสร้างทางรถไฟและยังไม่ทั่วถึงครับ)
เมื่อถึงก็ได้เข้าเฝ้ากราบพระบาท พระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงชื่นชมในความเด็ดเดี่ยว รักชาติ ไม่ยอมแพ้ศัตรู พระราชทานยศเป็นพันตรี และทรงพระกรุณาอวยยศให้เทียบชั้นพระยา แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ไปรับราชการเป็นทูตทหารประจำกรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมันบ้านเกิดของคุณย่า
ส่วนคุณย่านั้นทรงชื่นชมเป็นพิเศษเพราะเป็นต่างชาติแท้ๆ แต่ช่วยเป็นกำลังสำคัญในการจัดตั้งทีมแพทย์และพยาบาล ช่วยบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง ทรงพระกรุณาพระราชทานหีบทองคำเป็นของขวัญครับ
คุณย่าได้กล่าวว่า..ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนเร็วกว่าที่คิด โดยแทบไม่รู้จักเมืองหลวงของประเทศไทยดีพอเลย กลับเยอรมันครั้งนี้ คุณย่าได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝด ประยงค์-ประยูร ตามที่เล่าไปเมื่อครั้งที่แล้วครับ”.