- ก้าวแรกของ Potato กับเส้นทางการอยู่ในวงการเพลงที่เข้มข้น
- การเปลี่ยนแปลงที่ต้องรับมือ สารพัดดราม่า คำสบประมาทที่ต้องเจอ
- ผลงานใหม่ล่าสุดในปีที่ 20 ของ Potato และชีวิตที่ก้าวเดินต่อไปท่ามกลางโควิด
เดินทางบนถนนสายดนตรีมานานกว่า 20 ปีแล้ว สำหรับ Potato (โปเตโต้) วงร็อกชื่อดังจากค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เจ้าของเพลงดังมากมาย อาทิ คนดีไม่มีที่อยู่, ทำนองที่หายไป, ไม่ให้เธอไป, ปากดี, กล้าพอไหม, รักแท้ดูแลไม่ได้, นี่แหละความเสียใจ, เธอยัง, ทิ้งไว้กลางทาง ฯลฯ และล่าสุดกับผลงานอัลบั้มใหม่ “Friends” อัลบั้มชุดที่ 8 ที่เปิดตัวมิวสิกวิดีโอเพลงแรก “คนตัวเล็ก” และล่าสุดกับมิวสิกวิดีโอเพลง “หมดความหมาย” ที่กำลังมาแรงในเวลานี้
แต่กว่าที่จะเป็นที่ยอมรับมาจนถึงทุกวันนี้ วันแรกของโปเตโต้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะเจอความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งเรื่องสุดเศร้าเมื่อ ปีย์ ปีย์ชนิตถ์ (ร้องนำ) เสียชีวิต รวมไปถึงการออกจากวงของ นุช อรนุช (เบส), โน้ต นันทไกร (กีตาร์), บ๋อม สุวาทิน (กลอง), วิน รัตนพล (กีตาร์, ร้องนำ) วงโปเตโต้ยังเจอคำสบประมาทในการทำงานเพลงมามากมาย แต่สุดท้ายก็สามารถพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นที่ยอมรับในที่สุด
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยผ่านทางแอปพลิเคชัน Zoom กับ 5 หนุ่มโปเตโต้ ปั๊บ พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข (ร้องนำ, กีตาร์), ชูหั่ง ทีฆทัศน์ ทวิอารยกุล (กีตาร์), โอม ปิยวัฒน์ อนุกูร (เบส), กานต์ อ่ำสุพรรณ (กลอง), อั้ม เกียรติยศ มาลาทอง (คีย์บอร์ด) ถึงการทำงานในอัลบั้มใหม่ รวมถึงวันวานวันแรกของโปเตโต้จนถึงปัจจุบัน
...
ก้าวแรกของโปเตโต้
ย้อนกลับไปเมื่อเดือน ส.ค. 2544 วงโปเตโต้เป็นวงดนตรีวัยรุ่นน้องใหม่ในสังกัดแกรมมี่ เกิดจากการรวมตัวของ 5 สมาชิก ปีย์ ปีย์ชนิตถ์, โน้ต นันทไกร, บ๋อม สุวาทิน, นุช อรนุช รวมถึง ปั๊บ พัฒน์ชัย ที่มาเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของวงในชุดแรก เราถามถึงโมเมนต์วันนั้นกับปั๊บ สมาชิกตั้งต้นของวงโปเตโต้ที่อยู่มาตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน ปั๊บทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนตอบว่า “จากวันนั้นถึงวันนี้ เขาก็มีพัฒนาการแบบของเขาตามธรรมชาติ ประสบการณ์ ถ้าถามว่าต่างกันเยอะมั้ย ก้าวแรกที่เราได้ทำงาน เหมือนเราไม่ได้ทำอะไรเยอะ เรามีหน้าที่ร้องเพลง ออกไปแสดง
แต่พอมาถึงวันนี้กระบวนการในสิ่งที่เราต้องทำ มันถูกกรองมาจากเราเยอะขึ้น รายละเอียดเลยเยอะขึ้น ผมจำโมเมนต์นั้นไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) วันนั้นมันมีแต่ความตื่นเต้นน่ะครับ เราไม่ได้กลัวที่จะผิดพลาดอะไร เราแค่ได้ทำ มันคือโชคดีที่สุดแล้วที่ได้ทำอาชีพนี้ แต่หลังจากนั้นเหมือนเราต้องรับผิดชอบอาชีพแล้ว ต้องตั้งใจทำให้มันดีขึ้นไปอีก มีสำนึกในอาชีพตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งผ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกว่าโห เรายังรู้อะไรน้อยมากเลย เรายังต้องเรียนรู้อีก มันก็เลยยังสนุก”
เมื่อถามว่าในวันแรกที่มาทำอัลบั้มแรก คิดมั้ยว่าจะเดินทางมายาวนานแบบนี้ ปั๊บบอกว่า “ไม่ได้คิดเลยครับ ตอนที่รู้ว่าต้องเซ็นสัญญา ต้องทำงานอาชีพนี้ มันดีใจอยู่แล้วเนอะ เพราะมันเป็นความฝันที่เราไม่คิดว่าจะกลายเป็นจริง ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะต้องอยู่กันไป ไม่ได้มองอนาคตไกลขนาดนั้นเลยครับ แค่ในวันต่อวันเราออกไปทำงาน มันมีความสุขทุกวัน แต่หลังจากนั้นแหละถึงได้รู้ว่าเส้นทางการอยู่ในวงการมันช่างเข้มข้นเหลือเกิน”
ก่อนจะหัวเราะออกมาและพูดต่อว่า “มันไม่ได้ง่ายเลย เราต้องพิสูจน์ว่าเราจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีหรือเปล่าครับ มันต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ประมาทไม่ได้ เวลาประมาทก็จะมีเอฟเฟกต์กลับมาทันทีกับวงเลยว่าจะเกิดผลบางอย่าง มันก็เลยกลายเป็นว่าค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็ยังขอเรียนต่อไป ถ้ายังมีโอกาสได้ทำงาน ได้ทำเพลงก็จะทำให้เต็มที่ ผมว่าความรู้สึกนี้มันเหมือนเดิมตั้งแต่วันนั้นครับ”
การเปลี่ยนแปลงที่ต้องรับมือ
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า วงโปเตโต้เป็นวงดนตรีร็อกที่มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวงจนเกือบหมด เหลือเพียงปั๊บที่อยู่มายาวนานตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน มีเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง เมื่อถามว่ารับมืออย่างไร ปั๊บยิ้มก่อนตอบว่า “ผมโชคดีที่มีเพื่อนและทีมงานที่รักและให้เกียรติซึ่งกันและกัน คือทีมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเราอยู่ด้วยกัน 11 ปีแล้วนะครับ คือทีมเมมเบอร์ที่ออกอัลบั้มชุดที่ 7 และกำลังจะออกชุดที่ 8 ด้วยกัน แต่ก่อนหน้านั้นด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น วันที่เรายังไม่มีประสบการณ์ชีวิตเยอะ การตัดสินใจ การจัดการปัญหามันค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีพลิกแพลงอะไรเยอะ
ฉะนั้นสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับวงก็คงเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งมันผ่านมาจนผมแทบไม่ได้เปิดลิ้นชักดูแล้วว่าตรงนั้นมันมีอะไรที่หลงเหลืออยู่บ้าง แต่ที่แน่ๆ ผมว่าความรู้สึกพวกนั้นมันก็ส่งผลให้โปเตโต้ปัจจุบันเป็นแบบนี้ไงครับ ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องในวันนั้น โมเมนต์ในวันนี้มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นด้วย บางช่วงเราก็ซีเรียสกับชีวิต แต่บางช่วงเราก็ปล่อยให้ลมมันผ่านไปครับ เหมือนอะไรจะเกิดมันต้องเกิด เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี หน้าที่ของเราก็คือร้องเพลง เล่นดนตรี ทำให้คนแฮปปี้ ก็ทำ 3 สิ่งนี้ให้มันดี อันนี้คือสิ่งที่วงยึดมาเรื่อยๆ ครับ มันก็เลยค่อยๆ ผ่านเรื่องพวกนี้มาได้เรื่อยๆ
...
คือด้วยอาชีพเราอยู่ในวงการบันเทิง พยายามอยู่กับความเป็นจริงในความหมายของผมก็คือ สิ่งที่มันเกิดขึ้น เราก็ควรต้องยอมรับมันด้วย ไม่ใช่บอกตัวเองว่าเป็นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนไปโทษสิ่งรอบตัว สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาดูตัวเราเองว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไขบ้าง ผมว่าเรื่องพวกนี้มากกว่าที่เวลาวงเรานั่งคุยกัน มันจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วและเปลี่ยนเป็นรูปธรรม มันเกิดขึ้นจริงเพราะเป็นความจริง แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างหมดเลย มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรื่องเดียว มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไม่ชอบกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำงานทั้งหมดครับ”
สารพัดดราม่า คำสบประมาทที่เจอ
อีกหนึ่งสิ่งที่วงโปเตโต้ต้องเจอมาตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกคือสารพัดดราม่า คำวิจารณ์ต่างๆ จากคนฟังเพลง กว่าจะเป็นที่ยอมรับดังเช่นทุกวันนี้ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน ถึงจุดนี้ชูหั่งพูดขึ้นทันทีว่า “ตีกลองสับปะรังเค กานต์โดน (หัวเราะ)” กานต์บอกว่า “ก็มีแหละ เมื่อก่อนก็จะแบบ เฮ้ย อะไรวะ ก็ดีแล้วนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ฟัง ก็นอยด์ๆ แต่ก็ต้องพัฒนาตัวเองจริงๆ เด็กสมัยนี้เก่งกว่าเราเยอะ”
...
จากนั้นปั๊บเผยถึงสาเหตุที่วงโปเตโต้มักจะถูกวิจารณ์อย่างหนักในช่วงแรกว่า “ด้วยความที่ลุคของวงเหมือนวันนั้นมันเบบี๋มาก เหมือนวงที่แบบ...เล่นจริงหรือเปล่าไม่รู้ ร้องซิงก์ป่าวไม่รู้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ทุกคนรู้สึกแหละครับ ผมว่าตรงนั้นแหละที่เป็นแรงกดดันที่เราพยายามจะพัฒนา ก็อยากจะพิสูจน์ให้โลกรู้เหมือนวัยรุ่นทั่วไปคนนึง มีช่วงเวลาแก๊ปนึงที่เราขะมักเขม้นในการที่ต้องฝ่าฟันตรงนี้เยอะ คำสบประมาทถ้าเป็นยุคนี้ ผมว่าอาจจะตายไปเลยก็ได้นะ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโซเชียล การคอมเมนต์กันยังไม่ทันท่วงทีขนาดนี้ ก็นานกว่าผมจะรู้ตัวว่าเราเป็นวงที่ประมาท ขาดการซักซ้อม ทำให้เวลาเล่นดนตรีไม่ค่อยมีเสถียรภาพที่ดี
คือบางทีคำวิพากษ์วิจารณ์มันก็มีผลที่ดีนะครับ ทำให้เรากลับมาเคี่ยวกรำกับตัวเองมากขึ้น อย่าเรียกว่าพิสูจน์ให้เขาเห็น แต่มันก็จริงอย่างที่เขาว่า บางเรื่องที่เราไม่ดี เราก็แก้ไข ยกตัวอย่างเช่นคนว่าเราร้องสดห่วยมาก ควรฟังแต่เทปและซีดี ไม่ควรไปดูคอนเสิร์ต ก็จะเจอแบบนี้เรื่อยๆ ในสมัยนั้น ผมว่าเราก็ต้องพัฒนา จนวันนี้มันไม่ใช่เป็นความรู้สึกที่ทำเพลงเพื่อพัฒนาข้อบกพร่อง แต่มันเป็นการทำเพลงเพราะเราอยากจะเสิร์ฟอะไรให้เขาฟังดีนะ เขาจะชอบมั้ย คือตรงนั้นเราไม่ได้ไปคิดว่าทำให้โลกรู้ว่าเราเจ๋งมั้ย มองว่าโชคดีแล้วที่ยังได้ทำอาชีพนี้ครับ”
...
ถึงตรงนี้ชูหั่งเสริมว่า “คือผมว่าถูกคนด่าไม่น่ามีใครแฮปปี้หรอก แต่ผมว่ามันผ่านมาจนเรามีวิธีจัดการกับมันแล้ว อย่างผมจะชอบคำคำนึงประมาณว่า ถ้าเขาว่าเราแล้วไม่จริงไม่ต้องโกรธเขาเพราะมันไม่จริง ถ้าเขาว่าเราแล้วจริงก็ไม่ต้องไปโกรธเขาเพราะมันจริง พูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้านคือบางทีก็ต้องช่างแม่_บ้าง ผมว่าแต่ละคนก็จะมีวิธีการจัดการ ผมว่าข้อความมันมีอารมณ์อยู่ในข้อความ บางคนตำหนิเรา เรารู้ว่าเขาตำหนิเราด้วยความรู้สึกยังไง บางคนแค่มาถ่มถุย ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ผมก็ไม่ให้ราคากับตรงนี้ แต่สำหรับบางคนที่ติเรา เรารู้สึกว่าในแมสเสจเขาอยากให้รู้ว่ามันไม่ดีจริงๆ ติเพื่อก่อ ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เราต้องเอาชนะให้ได้”
นอกจากดราม่าคำวิจารณ์ต่างๆ แล้ว ในการทำงานของวงโปเตโต้เองก็มีปัญหาบ้างตามประสาการทำงานร่วมกัน เมื่อถามว่าทำยังไงที่ทำให้ยังไปต่อด้วยกันได้ ชูหั่งบอกว่า “ก็คุยกันปกติครับ พอเรารู้ว่ามีปัญหาแล้ว เราก็จะคุยเคลียร์กันหมดเลย ถามว่ามีปึงปังบ้างมั้ยก็มีนะครับ อารมณ์พุ่ง ทะเลาะกัน อย่างผมกับปั๊บก็มี ผมกับพี่โอมก็มี คือคนเราอยู่ด้วยกันมันหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันไม่ได้อยู่แล้ว พอโตขึ้นแล้วก็ต้องแก้ไข อย่างที่ปั๊บบอกว่าเราไม่ได้เอาตัวเองเป็นหลัก เราต้องมานั่งทบทวนว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง เราพูดหรือทำอะไรที่ไม่ดีบ้าง พอหลุดจากอารมณ์ที่กระทบกระทั่งกันแล้ว นั่งนิ่งๆ ก็จะคิดได้เอง ก็ยอมรับว่าส่วนไหนเราผิดและรีบเคลียร์ทันที พออายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น เรื่องพวกนี้มันโผล่มาเอง ไม่มีใครมาสอน ไม่ได้เขินกันว่าเราทำผิด เลยเคลียร์กันได้ง่ายครับ”
จากนั้นกานต์เสริมว่า “แต่ละคนมีอีโก้ แต่พวกผมลดกันได้ ฟังกันแล้วเอาจุดที่มันดีดีกว่า สุดท้ายแล้วถ้าเอาอีโก้ตัวเองใส่เยอะเกินไปมันไม่โอเคครับ เราทำงานกับคนตั้งเยอะ” ด้านอั้มบอกว่า “จริงๆ ผมอยู่ในยุคที่พวกพี่เขาวัยรุ่นด้วยครับ ตอนที่เดือดๆ” ถึงตรงนี้เสียงหัวเราะของสมาชิกที่เหลือดังลั่น อั้มเล่าต่อ “ตอนนั้นอารมณ์นำ ไม่ค่อยคูลเท่าตอนนี้ครับ มีอะไรก็ใช้อารมณ์ แล้วค่อยเคลียร์กัน ทุกวันนี้คนอื่นๆ เขาคูลขึ้นเยอะแล้วครับ”
Friends
และล่าสุดเมื่อช่วงต้นปี 2564 วงโปเตโต้ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลงแรก “คนตัวเล็ก” ในอัลบั้มชุดที่ 8 “Friends” ก่อนจะปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลงที่ 2 “หมดความหมาย” เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งปั๊บก็ได้เล่าถึงการทำเพลงอัลบั้มนี้ให้ฟังว่า “ที่ตั้งชื่ออัลบั้มว่า Friends มาจากการที่เรามองว่าที่ผ่านมาเราโตมากับการที่อยู่เป็นเพื่อนคนฟังมา 20 ปี เมื่อก่อนเราอาจคิดว่าเป็นเพื่อนที่บอกทางว่าทำแบบนี้ดีกว่า แต่อัลบั้มนี้จะเป็นเพื่อนลักษณะที่ว่าถ้าเขาเศร้าก็จะเศร้าด้วย ถ้าแพ้ก็แพ้ไปด้วยกันครับ เพลง “หมดความหมาย” เป็นซิงเกิลที่ 2 จากอัลบั้มชุดที่ 8 “Friends” เป็นเพลงช้าอกหักเจ็บปวดที่วงโปเตโต้ไม่ได้ทำมาสักพักใหญ่ เราก็คิดถึงเพลงลักษณะนี้เหมือนกันครับ ก็เลยมาสร้างเพลงแบบนี้กันดีกว่า แต่ก็ผสมผสานรูปแบบที่เป็นปัจจุบันของเราด้วยนะครับ
คือด้วยโครงสร้างของอัลบั้ม เราจะวางฟังก์ชั่นของเพลงให้แตกต่างกัน มีเพลงเร็ว ช้า กลาง ซึ้ง ให้กำลังใจ อย่างเพลง “คนตัวเล็ก” มันจะเล่าถึงทัศนคติของเราว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นภาพรวม เพลง “หมดความหมาย” ตอนแรกเราตั้งชื่อเป็นโค้ดไว้ว่า “คนแพ้” เป็นเพลงอกหัก อยู่เป็นเพื่อนคนที่แพ้ เพลงนี้ก็จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนคนฟังที่เจ็บปวดอยู่ หลังจากนั้นเราไปห้องอัด แล้วมันมีท่อนนึงที่เขียนว่าหมดความหมาย ก็รู้สึกว่าเป็นคำที่แทนความรู้สึกเจ็บปวดได้ชัดเจนสำหรับความรัก เพราะต่อให้พยายามทำอะไรให้มากมาย แต่ถ้าไม่มีคุณค่าสำหรับเขาก็ไม่มีความหมาย เลยเป็นที่มาของคำว่าหมดความหมาย
จากนั้นปั๊บเล่าถึงการทำงานมิวสิกวิดีโอที่เลือก ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร และ จีน่า ญีนา ซาลาส มาร่วมงานกันครั้งแรกว่า “คือตอนที่ผมแสดงมินิซีรีส์ของเพลงทิ้งไว้กลางทาง ตอนนั้นผมเรียนกับแอ็กติ้งโค้ชชื่อครูบิวด์ ก็จะมีความเกี่ยวเนื่องกับน้องต่อ มีการพูดถึงกันแบบความรู้สึกที่ดีครับ มันเป็นแบบนี้มานาน พอมาช่วงโควิดเราไปถ่ายรายการนึงเพื่อที่จะออนในโซเชียล ผมก็เจอน้องที่กองถ่ายข้างๆ ออกมากินข้าวแล้วเจอกัน ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันส่วนตัว แต่เหมือนคนคิดถึงกัน ก็นั่งคุยกันนานมาก
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าคงเป็นโอกาสที่ดีถ้าจะมีผู้ชายคนนี้มาอยู่ในมิวสิกวิดีโอของเรา หรือมาร่วมงานกับเรา บวกกับพี่สันต์ที่เป็นโปรโมเตอร์เรา ได้ติดต่อทาบทามน้องต่อมาเล่น ก็ส่งเพลงให้เขาฟัง บวกกับผู้กำกับเอ็มวีก็เป็นผู้กำกับคนเดียวกับเพลง “ทิ้งไว้กลางทาง” มาเจอกัน จะบอกว่ามันก็เป็นโชคชะตาเหมือนกัน ส่วนจีน่าก็ตามหาอยู่นานเหมือนกัน เพราะว่าคาแรกเตอร์คือต้องสวยด้วย และต้องไม่ดูใจร้ายเกินไป ดูเป็นธรรมชาติ จีน่าเองก็ตอบตกลงเล่นตอนใกล้วันถ่ายแล้วเหมือนกันครับ พอมาทำงานด้วยกัน เขาเป็นมืออาชีพมากครับ พอสั่งคัต เขายังเศร้าอยู่ ต้องคุมความรู้สึกตรงนั้นไว้ เลยไม่คุยกับเขาเพราะกลัวเขาเสียมู้ดตรงนั้นครับ เรารู้เลยว่าเขาตั้งใจจริงๆ”
เมื่อถามถึงฟีดแบ็กที่ออกมาดีมาก จนถึงตอนนี้มียอดวิวในยูทูบ 5 ล้านกว่าวิวภายในเวลาไม่นาน อั้มตอบว่า “ก็ดีใจครับ คนดูหลายล้านวิว เสียงตอบรับจากเพื่อนๆ นักดนตรีก็ชอบด้วย ส่วนใหญ่ผมจะชอบถามเพื่อนนักดนตรีว่าเพลงนี้เป็นไงบ้าง เพื่อนบอกว่าได้ว่ะ มันดี ชอบ คือปกติเป็นนักดนตรีก็จะคุยเรื่องดนตรีกันครับ” จากนั้นกานต์ตอบว่า “ผมว่ากระแสตอบรับดีครับ เข้าไปอ่านในคอมเมนต์ต่างๆ ก็ถือว่าโอเค มันไปตรงกับอารมณ์คนในตอนนี้หรือเมื่อก่อน แสดงว่าเข้าถึงง่าย”
ปั๊บเสริมว่า “ผมดีใจที่เขาได้ฟังเพลง เพราะว่าที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าเขาได้ยินเพลงใหม่เราบ้างมั้ย แต่ดีใจแล้วที่เพลงนี้ได้ไปถึงพวกเขา ส่วนเขาจะชอบมากหรือน้อยมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาแล้ว หน้าที่ของเราคือเหมือนเสิร์ฟถึงหน้าเขาแล้ว แล้วเขาได้ทานแล้ว ยิ่งเขามีฟีดแบ็กที่ดีกลับมา พวกผมกับทีมงานเบื้องหลังก็รู้สึกมีกำลังใจ ชื่นใจ สำหรับผมเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ กระแสดีเกินกว่าที่ผมคิดไว้มากครับ” เมื่อถามถึงว่าอัลบั้มเต็มจะได้ฟังเมื่อไร ปั๊บตอบว่า “ตอนแรกคุยกันไว้ว่าจะเป็นเดือน มิ.ย. 2564 แต่ตอนนี้คิดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปีครับ”
ชีวิตที่ต้องเดินต่อไปท่ามกลางโควิด
เมื่อถามถึงแพลนต่อไปที่อยากทำ ปั๊บบอกว่า “จริงๆ ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะออกอัลบั้มใหม่สักที คิดว่าน่าจะมีมีตติ้ง น่าจะมีคอนเสิร์ตสนุกๆ อีกสัก 2 ปีไปเจอกันที่คอนเสิร์ตใหญ่นะ เหมือนรวมคนที่เราคิดถึงกันไปร้องเพลงที่เรารักกัน แต่ว่าตอนนี้ภาพมันหุบลงไปหน่อยนึง ก็เลยว่าจะดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แต่ส่วนวงหลักๆ ก็คือการออกอัลบั้มแหละครับ เป็นเป้าที่อยากทำที่สุด”
ส่วนหั่งบอกว่า “อย่างอัลบั้มนี้ที่ทำ ถ้าย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นที่ทำ เราก็มีทำงานร่วมกับแฟนเพลง เราคิดโปรเจกต์ “เนื้อติดมัน” ที่ตอนนี้เป็นเพลง “ทำนองที่มีเธอ” อันนั้นเป็นโปรเจกต์ที่เราอยากทำงานร่วมกับแฟนเพลง ให้เขาเขียนเพลงให้วงร้อง ซึ่งโปรเจกต์นี้สำเร็จ ได้ผู้ชนะมาแล้ว เป็นสิ่งที่เราทำแล้ว แต่ถ้าให้ทำอีกทีก็คิดหนักนิดนึง ตอนนี้รวมตัวไม่ได้เพราะโควิดครับ”
เมื่อถามถึงพิษโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบ ปั๊บอกว่า “พวกเรายังรัดเข็มขัดกันได้ เซฟตัวเองกันดีๆ แต่ที่กระทบน่าจะเป็นทีมงาน เด็กวง คนทำไฟ ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ คนขับรถให้วง ตอนนี้กำลังคุยกันว่าช่วยเขาอย่างไรดี เขากระทบเพราะว่าอาชีพเขาต้องออกไปทำงานถึงจะมีรายได้มาดูแลตัวเองและครอบครัว พอเกิดโควิดรอบแรกยังหาวิธีได้ทันอยู่ แต่พอมารอบนี้หนักอยู่ครับ”
หั่งเสริมว่า เรื่องนี้เป็นวาระการประชุมของวงว่าจะหาทางช่วยเหลือยังไง ยังมึนอยู่ เพราะได้รับผลกระทบเต็มๆ งานถูกแคนเซิลหมดเลย ถึงตรงนี้โอมบอกว่า “ตอนนี้ยังไม่เห็นอนาคตเลยครับ พูดตามความจริงคือไม่เห็นอนาคตจริงๆ เราเห็นแต่ที่เขาพูดถึงจำนวนคนติดเชื้อ แต่เขาไม่ได้บอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง จะแก้ไขยังไง” หั่งบอกว่า “อาชีพอย่างเรา การพบเจอเป็นสิ่งสำคัญ แต่พอมีโรคระบาดก็พบเจอไม่ได้ เรื่องรายได้ส่วนหนึ่ง แต่การไปเจอคนที่รอเจอเราไม่ได้มันหนักมากอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ยังคงเชื่อว่าสุดท้ายก็ยังมีทางออกของมันเองครับ”
ส่วนสภาพจิตใจหลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิดระลอกที่ 3 ซึ่งค่อนข้างหนักพอสมควร ปั๊บเผยว่า โควิดระลอกนี้พอปรับตัวได้บ้างนิดหน่อย เหมือนเริ่มรู้ตัวเองมากขึ้น โควิดรอบแรกรู้สึกประหลาดกับตัวเองเพราะปกติเล่นดนตรีมา 18 ปี ไม่มีหยุดเลย กว่าจะรู้ตัวว่าเหมือนหมาไม่ได้ถูกพาไปออกกำลังกาย ก็เป็นบ้าไปเหมือนกัน เลยร้องเพลงผ่านช่องทางตัวเอง ไม่ได้จะให้คนดูด้วย ร้องเพราะอยากร้องเพลงให้ตัวเองได้ยิน เป็นการแก้ปัญหาทางจิตใจของตัวเอง ป่วยกายยังพอหาวิธีฟื้นฟูได้ ป่วยใจอันนี้อันตราย เวลามีเรื่องแบบนี้ต้องดูใจตัวเองเรื่อยๆ ว่ารู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ถึงตรงนี้หั่งบอกว่า “พวกผมถือว่าน้อยกว่าหลายๆ คน ญาติพี่น้องเราที่ทำอาชีพอื่น ถ้าเอาสิ่งที่เราเจอไปเทียบกับเขา เทียบกันไม่ได้หรอกครับ อย่างที่บ้านผมทำร้านอาหารก็หนักเลยครับ ซึ่งผมว่าในสังคมน่าจะมีคนที่น่าจะรับผลกระทบหนักกว่าพวกผมเยอะ ก็ยังคงเป็นกำลังใจให้กันต่อไปครับ”
ก่อนจบการสนทนา โอมฝากบอกแฟนๆ ทุกคนว่า “ก็ฝากเพลงใหม่ “หมดความหมาย” ของวงน้องใหม่ “โปเตโต้” ด้วยนะครับ” ก่อนจะยิ้มกว้างและบอกว่า “คิดว่าตัวเองเป็นน้องใหม่ตลอดเวลาครับ จะได้รู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆ มาเสมอ ยังไงก็ฝากด้วยครับ ผมว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่น่าจะโดนใจในอันดับต้นๆ ของโปเตโต้ ส่วนตัวผมชอบและอยู่กับมันมานาน ก็อยากให้ทุกคนชื่นชอบครับ”
ปิดท้ายที่ปั๊บฝากอัลบั้มใหม่ของพวกเขาว่า “ฝากอัลบั้มชุดที่ 8 Friends ของโปเตโต้ด้วย เป็นก้าวแรกๆ ของอัลบั้มนี้ ผมก็ยังอยากนำเสนอมุมมองต่างๆ ของเพลงที่มีอยู่ในใจให้ทุกคนฟังมากครับ ขอบคุณที่สนับสนุนและชื่นชอบเพลงด้วยนะครับ คิดว่าเราน่าจะได้รู้จักกันมากขึ้น ขอบคุณที่ให้วงโปเตโต้อยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงเพลงจะชื่อว่าหมดความหมาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีความหมายสำหรับพวกผมและทีมงานครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : GMM Grammy
กราฟิก : Theerapong Chaiyatep