หนึ่งในนักแสดงที่มีความฝันยิ่งใหญ่และไม่เคยหยุดไขว่คว้าทำให้ฝันเป็นจริง ต้องมีชื่อ “จา พนม” หรือ “โทนี่ จา” ถูกบันทึกไว้ จากการได้รับบทนำคู่กับซุปเปอร์สตาร์ของฮอลลีวูดอย่างมิลลา โจโววิช ในภาพยนตร์เรื่อง “มอนสเตอร์ ฮันเตอร์” (Monster Hunter) ที่ดัดแปลงมาจากเกมยอดนิยม ผลงานกำกับของพอล ดับเบิลยู.เอส.แอนเดอร์สัน เจ้าพ่อภาพยนตร์แอ็กชันที่นำเกมมาสร้างจนโด่งดัง โดยเฉพาะหลายต่อหลายภาคในจักรวาลภาพยนตร์ “เรซิเดนต์ อีวิล” (Resident Evil) และเขายังเป็นคู่ชีวิตของมิลลา โจโววิช ด้วย
แม้โควิด-19 ยังไม่จางหาย ทว่า “มอนสเตอร์ ฮันเตอร์” ก็เตรียมปรากฏแก่สายตาผู้ชมในโรงภาพยนตร์ คงจะไม่ใช่แค่แฟนๆของ มิลลา โจโววิช หรือแฟนเกมนี้เท่านั้น แต่เชื่อว่าคนไทยก็คงตั้งตารอดูบทบาทใหม่ของ “โทนี่ จา” ในวันที่กลายเป็นนักแสดงนำและเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญของภาพยนตร์สตูดิโอใหญ่ระดับโลก “มอนสเตอร์ ฮันเตอร์” ซึ่งเป็นไปตามปณิธานที่ว่า “สักวันหนึ่งเราจะทำให้ได้ เราเดินตามความฝันทีละนิดๆ เราเจออะไรมามากมาย ก็เรียนรู้จากความผิดพลาด ณ จุดนั้นเราถือว่าเราคิดบวก เรามีโอกาสแล้ว เราแสวงหาโอกาส ไขว่คว้าโอกาสตรงนั้นมา สักวันหนึ่งมันต้องเป็นของเรา ในที่สุดเราก็ได้ไปยืนอยู่จุดๆนั้น”
...
ความรู้สึกถึงการเป็นนักแสดงไทยที่ได้เป็นระดับดารานำกับซุปเปอร์สตาร์ของฮอลลีวูด
“รู้สึกว่าเรามาไกลมากเลย ตื่นเต้น ประทับใจ แล้วก็ภูมิใจมากครับ ที่ได้มีโอกาสได้ไปร่วมกับหนังสตูดิโอที่ใหญ่ขนาดนั้น ที่สำคัญคือพลังขับเคลื่อนของเรานี่ คือเราทำเพื่อประเทศชาติ การทำเพื่อประเทศชาติ ผมมีความภาคภูมิใจนะที่เวลาผมไปต่างประเทศ ผมได้ยกมือไหว้พูดสวัสดีครับ ผมมาจากประเทศไทย พูดภาษาไทย กินอาหารไทย ไปตามร้านอาหารก็เจอคนไทย คนเรียก ‘จา พนม’ คือเขารู้จักเราคนไทย คือมันไม่ได้ไกลจากเรานะ แต่ว่าเราไปอยู่ ณ จุดนั้นเราโชคดี ต้องขอบคุณหลายๆอย่าง ต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณแผ่นดินเกิดที่ทำให้เราได้เกิดมา ได้มีความฝัน ขอบคุณโลกของหนังศิลปะการต่อสู้ โลกของหนังที่เราชอบ และพระเจ้าอยู่หัว (ยกมือชี้ขึ้นไปบนฟ้า) คือซุปเปอร์ฮีโร่ของผม แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นโปรเจกต์ที่ใหญ่มาก เขามีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างให้เราสามารถคิดว่าเราจะทำได้แบบนี้นะ เขาสามารถเติมเต็มให้เราได้ ตอนแรกที่ได้บทหนังตัวนี้มาไม่เชื่อเลยนะ เล่นเป็นอะไรสัตว์ประหลาดเหรอ เรายังไม่เชื่อเลยว่าได้เล่นเป็นฮันเตอร์ (Hunter) ก็ยังไม่เข้าใจ ก็ไปดูในเกมก็แล้วกัน ไปดูคาแรกเตอร์ คงไอ้ตัวนี้มั้ง ถือดาบใหญ่ๆแล้วก็วิ่งโน่นนี่นั่น มันเท่จังเว้ย แอบรู้สึกว่าใช่ตัวนี้หรือเปล่า แต่ก็ยังไม่มั่นใจอีก พอไปสตูดิโอแล้วก็ไปเจอโปรดิวเซอร์และผู้กำกับ เขาบอกว่า ‘Welcome to Monster World, you’re hunter.’ เขาเอาสตอรีบอร์ดมาให้ เอาแอนิเมชันที่เขาทำรีเสิร์ช เวิร์กช็อปมาให้เราดู แล้วเอาเกมมาให้เราเล่น นี่แหละคือแมจิก เราจะทำแมจิกร่วมกัน มิลลา โทนี่ จา คือทำให้ฝันเขาเริ่มจะเป็นจริง มันไม่ใช่แบบว่าเล็กๆแล้วนะ เราตื่นเต้นมากเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องทำให้ดีที่สุด”
“อีกอย่างหนังไปถ่ายในโลเกชันที่เขาต้องการได้ภาพแบบสมจริงก็คือเคปทาวน์ (แอฟริกาใต้) แล้วก็เป็นทะเลทรายสีขาว แล้วก็ไปที่ภูมิภาคแทนควา บรรยากาศที่นี่คือเป็นอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกใบใหม่ก็ว่าได้ มันท้าทายมาก ผมเปรียบว่านั่นคือห้องเรียนของผมเลยนะ ไปแลกเปลี่ยนเป็นคอนเนกชัน เราไม่ใช่แค่เป็นนักแสดงแต่เราไปเรียนรู้ด้วย เอาเทคนิคไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องระหว่างฝั่งตะวันตกกับเอเชียว่าแตกต่างกันยังไง เราก็ไปศึกษาว่าองค์ความรู้นั้นสามารถที่จะมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นหนังไทย หรือไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหนังไทย”
เตรียมตัวอย่างไรกับการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
“ฝึกซ้อมสภาพร่างกายและจิตใจทุกสิ่งทุกอย่าง รีเสิร์ชจากเกมนะครับ เพราะว่าเราได้รับบทตัวละครก็คือเป็นฮันเตอร์ เราก็ไปศึกษาเกมว่าตัวฮันเตอร์เนี่ยมีบุคลิกยังไง ลักษณะนิสัยยังไง แล้วก็สัตว์ประหลาดในโลกของมอนเสตอร์เนี่ย มีตัวอะไรบ้าง แล้วก็จะเอาชีวิตให้รอดจากโลกของมอนสเตอร์ได้อย่างไร ผมก็ทำการบ้านในเรื่องของบท ตีความเรื่องของตัวละครตัวนี้ออกมา บวกกับต้องฝึกฝนเรื่องของการใช้อาวุธ เพราะว่าไม่เคยใช้อาวุธแบบใหญ่ขนาดนี้ แล้วมันต้องใช้ทั้งธนู ทั้งดาบยักษ์ แล้วก็ต้องวิ่งในทะเลทราย ด้วยความร้อนประมาณ 45-50 องศา เราต้องวิ่งแล้วก็ทั้งชุด คอสตูมทุกสิ่งทุกอย่างมันยากมากๆในการที่จะไปวิ่งตรงนั้น แล้วก็ถ่ายทอดจินตนาการมาสู่โลกของความเป็นนักแสดง ต้องมองซ้ายมองขวาแล้วจินตนาการว่าไอ้ตัว “ราธารอส” (หนึ่งในสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจ) มันเป็นลักษณะยังไง เราก็ไปรีเสิร์ชจากในเกมก่อนจากนั้นเราก็จินตนาการแล้วก็ใส่ฟีลลิ่งออกมา”
...
บทนี้แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆอย่างไร เพราะต้องเล่นกับซีจีหรือใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างงาน
“ต้องบอกว่าแตกต่างเลย เพราะนี่คือหนังเรื่องแรกที่เป็นแฟนตาซีของผมนะครับ ที่ใช้เทคนิคและงบประมาณบิ๊กใหญ่มาก เล่นในหนังมอนสเตอร์ ฮันเตอร์ ผมก็เจ็บเหมือน เดิม ช่วงที่เราถ่ายทำแล้วก็ต้องออกแอ็กชัน อาวุธและอุปกรณ์ด้วย มันไม่ถนัด มันใหญ่ มันหนักมาก แล้วมีฉากต้องวิ่งในทะเลทราย มีฉากหนึ่งที่ผมจะต้องกระโดดลงมาสูงประมาณ 10 เมตรนะครับ สูงมากแล้วก็ต้องกะคำนวณให้ตรงกับมอนสเตอร์ ซึ่งมอนสเตอร์เนี่ยเราดูไม่ออกเลยว่ามอนสเตอร์มันอยู่ตรงไหน เอาแค่กากบาทไปแปะไว้ แล้วเราต้องกระโดดให้ได้ตำแหน่งตรงนั้น แล้วมุมกล้องต้องได้ ต้องได้เป๊ะ โฟกัสมันต้องได้ โอ้โห ประมาณ 10 เทก ทั้งหมดคือจินตนาการ นี่คือสิ่งที่ท้าทายและแปลกใหม่”
...
เล่าการทำงานกับพอล ดับเบิลยู.เอส.แอนเดอร์สัน และมิลลา โจโววิชหน่อย
“ทำงานกับพอลกับมิลลา โจโววิช นี่สนุกมาก เขาเป็นแบบครอบครัว เขาก็จะทำอาหารให้เราทานด้วย คือค่อนข้างจะใกล้ชิดกันมาก แล้วเราก็มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรื่องทำแอ็กชันยังไงที่จะให้มันดูสมจริง แล้วก็ดูใช้ท่าทางของการต่อสู้แบบไทยๆในหนัง อีกอย่างคือเราได้มีโอกาสร่วมงานกับทีมสตันต์ที่เคปทาวน์ พอเราไปดูการทำเวิร์กช็อปดูไลน์แอ็กชันของเรากับมิลลา โจโววิช เราต้องแบ่งปันไอเดีย ต้องบอกเขาว่าเราถนัดแบบไหน คือต้องเล่นให้ผู้กำกับได้เห็น เราก็เล่นให้ดูหมดเลย
ทั้งมวยไทย ทั้งกระบี่กระบอง ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็พลิกแพลงเล่นกับมิลลาตรงนั้น มิลลาเขาก็ชอบความมีพลังอยู่แล้ว เขามีเพาเวอร์ ตรงนั้น พอเรามาเล่นด้วยกันก็รู้สึกว่าเคมีมันตรงกัน มันผลัดกันรุกผลัดกันรับในชั้นเชิงของศิลปะการต่อสู้ ซึ่งต้องขอบคุณที่เขาเปิดโอกาสให้เราได้ดีไซน์”
แล้วโควิด–19 ส่งผลกระทบกับการทำงานอย่างไรบ้าง
“ก็ได้รับผลกระทบนะ จากโปรเจกต์ 3-4 เรื่องก็ต้องเลื่อนไปเพราะว่าเจอปัญหา ผมว่าไม่ใช่แค่ที่ไทย ผมว่าทั่วโลกครับเจอปัญหาเหมือนกัน ไม่ว่าจะทุกสายงาน ทุกสายอาชีพเจอเหมือนกัน เราทำหน้าที่ตรงนี้ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ก็ดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากหรือว่าการล้างมือ ผมว่าเราต้องผ่านไปให้ได้ แล้วก็ต้องผ่านไปด้วยกันขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง สู้ครับ”.
...
ข่าว : ศุภางค์ภัค เศารยะพงศ์