จากกรณีที่ ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น Miss Universe Thailand 2019 ได้ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับบริษัท TPN 2018 จำกัด ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวด Miss Universe Thailand ซึ่งมีการระบุว่าเคยเซ็นสัญญาเมื่อตอนผ่านเข้ารอบ 60 คนไปแล้ว แต่หลังจากนั้นทางกองประกวดส่งสัญญาฉบับใหม่มาให้เซ็น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสัญญาบางส่วน และไม่สามารถตกลงกันได้ ทางกองประกวดจึงขอจบสัญญากับฟ้าใส

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เกิดดราม่ากับแฟนนางงามอย่างมาก และกลายเป็นที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ล่าสุด ปุ้ย ปิยาภรณ์ แสนโกศิก ผู้บริหาร บริษัท TPN 2018 จำกัด ก็ได้ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนถึงเรื่องนี้ว่า 

ที่ผ่านมา ถูกเพจบางเพจดราม่าว่าทำไมถึงเงียบ ไม่ออกมาพูดอะไร แต่ถ้าคิดวิเคราะห์อย่างคนฉลาดและเป็นผู้ใหญ่ ตนมองว่าการที่ออกมาต่อล้อต่อเถียงทุกคนก็ต้องบอกว่าตัวเองถูก แต่การออกมาพูดด้วยหลักฐานทุกอย่าง ก็จะทำให้ไม่ต้องเถียงกัน

และขอยืนยัน มีคำถามถามมาเยอะมากว่าจะดำเนินการทางกฎหมายยังไง เราควรเอาเวลาไปทำสิ่งที่สร้างสรรค์สังคม ตนเองไม่ว่างที่จะไปขึ้นศาลฟ้องใคร ไม่คิดจะฟ้องใครหรอก มันไม่ได้ประโยชน์เลย ถึงแม้เราจะชนะแล้วยังไงต่อ ถ้าแพ้แล้วจะยังไง ตนเองจะไม่ฟ้องเพราะไม่มีเวลา และมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

...

แต่ขอไล่ไทม์ไลน์ตามลำดับดังนี้
1. ประกวดเสร็จเมื่อตอนเดือนมิถุนายน วันที่ 6 มิ.ย. ผู้เข้าประกวดทุกคนจะต้องทำข้อตกลงการเข้าประกวด MUT 2019 ซึ่งผู้เข้าประกวดทุกคนจะต้องทำข้อตกลงที่เป็นเพียงเงื่อนไขในการประกวด และคนที่เข้ารอบ 5 คนเท่านั้นที่จะได้ทำข้อสัญญา

2. วันที่ 17 ก.ค. ผู้ได้ตำแหน่งรองทั้งหมดก็เข้าเซ็นสัญญาเรียบร้อย ยกเว้น ฟ้าใส ที่ไม่ได้เข้า เพราะช่วงนั้นเค้ายุ่งมากจริงๆ และทางกองประกวดเค้าก็ยุ่งเช่นกัน

3. เคยแจ้งให้ ฟ้าใส เข้ามาดูสัญญาหลายครั้งแล้ว และทางผู้จัการส่วนตัวคนเก่าของ ฟ้าใส ก็ได้นัดกับพี่ปุ้ยว่าจะเข้ามาดูสัญญา ซึ่งตนเองก็รอ แต่สุดท้าย ฟ้าใส ก็ไม่ได้เข้ามา บอกว่าเหนื่อย ตนเองเลยบอกก็ไม่เป็นไร

4. อีกครั้งก็คือได้นัดให้ ฟ้าใส เข้ามาก่อนที่จะเดินทางไปแอตแลนตา ซึ่งพี่ผู้จัดการกองประกวดคนเก่า ก็ได้เอาเอกสารที่อยู่ประมาณ 3-4 หน้าไปให้ แต่ ฟ้าใส ก็ยังไม่สะดวก เพราะอยากจะโฟกัสเรื่องการเทรนก่อนไปประกวด แต่ตนเองก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะเรื่องของสัญญาสะดวกเมื่อไหร่ก็เซ็น ซึ่งหลายคนก็บอกว่า ไม่ยอมรีบจัดการให้เรียบร้อยก่อนเอง อันนี้ตนยอมรับว่าผิดเอง

และช่วงที่เดินทางไปแอตแลนตา ตนเองก็ได้ถามกับทางผู้จัดการส่วนตัวของ ฟ้าใส ว่าได้เซ็นเอกสารรึยัง ด้านผู้จัการบอกว่า น้องขออ่านเอกสารก่อน ซึ่งตอนนั้นตนได้พานางงามบินไปอยู่ที่แอตแลนตาก่อน 2 สัปดาห์ เพื่อที่จะได้ไม่เจ็ตแล็ค และจะได้ถ่ายทำคลิปต่างๆ ส่งมาให้แฟนนางงามที่เมืองไทย

มีหลายคนบอกว่า ฟ้าใส ดังด้วยตัวของตัวเอง ข้อนี้ตนเองไม่เถียง เพราะน้องเค้าเก่งจริง มีความมุ่งมั่นของเค้าในห้วงเวลานั้น แต่อยากจะบอกว่า น้องประกวดมาหลายเวทีแล้ว แต่ก็ไม่เคยถึงจุดที่เค้าฝัน มาถึงยุค TPN ซึ่งเราโปร่งใสมาก และเราก็ทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการเทรนนิ่งน้อง เราก็เลือกมือดีมาหมด หรือแม้แต่การส่ง การจัดหางานน้องให้ได้มีเวทีพูดในต่างชาติ เพื่อให้ต่างชาติได้เห็นว่านี่คือ Miss Universe Thailand อยากให้มองหลายจุด มันไม่ได้มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ หรือเกิดขึ้นมาได้เลย

จากนั้นก็ได้ถามทางผู้จัดการว่า ได้อ่านข้อสัญญารึยัง ซึ่งทางผู้จัดการบอกว่า ฟ้าใสบอกว่าไม่ได้เอาสัญญาติดตัวมาด้วยที่แอตแลนตา ก็ไม่เป็นไร แต่วันที่ 28 คุณแม่ของฟ้าใสก็เดินทางมาและขอนอนกับเรา เราก็โอเค เพื่อที่จะมารอส่งน้องเข้ากอง

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กองประกวดก็ได้ไปปรินต์สัญญามาให้คุณแม่ เพราะคุณแม่ของฟ้าใสบอกว่าจะขอดูเอง เพราะน้องอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องของภาษาไทย และคุณแม่ก็ได้ขอแก้ไขในสัญญา ซึ่งเป็นลายมือของคุณแม่เองหมด วินาทีนั้นจะยังไงก็ได้หมด เพื่อที่เราจะได้แนบเอกสารนั้นส่งให้กับกองประกวดใหญ่

ปุ้ย บอกว่า ในสัญญาของทุกกองประกวด ได้แยกไว้ว่าให้ 30-70 โดย 70 เป็นของนางงาม และจะมีสัญญาที่เป็นงานของเมืองนอก ซึ่งเราเขียนไว้ว่า 50-50 โดยที่เราจะเคลียร์ให้ทั้งหมด ทั้งส่วนแบ่งของเอเจนซี่ฝ่ายต่างประเทศ คุณแม่บอกว่าขอแก้เป็น 70-30 ได้มั้ย เราก็ให้ เพราะเราคิดว่า รายได้พวกนี้ไม่ได้ทำให้บริษัทรวยเป็นพันล้าน

ซึ่งคุณแม่ของฟ้าใสได้แก้สัญญาหลายรอบ และสัญญานี้หลังจากที่คุณแม่แก้ไป ก็ไม่ได้เซ็น รอให้น้องดูเองเพราะน้องบรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนแรกเราก็งงๆ แต่คุณแม่บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เราก็คนธรรมะธัมโมด้วยกัน เดี๋ยวรอให้น้องกลับเมืองไทยค่อยมาเซ็นก็ได้ เราก็ไม่เป็นไร ตอนนี้กระแสมันแรงมากๆ เราคิดอย่างเดียวว่าทำยังไงให้เด็กเราได้มงที่ 3 เรื่องพวกนี้ปลีกย่อย ไม่สนใจเลย

...

พอกลับมาเมืองไทยวันที่ 27 ก.พ. ทางกองประกวดก็ได้ส่งหนังสือทวงถาม ให้ฟ้าใสเข้ามาเซ็นสัญญาที่สำนักงาน ซึ่งวันที่ 4 มี.ค. ฟ้าใส ก็ได้เดินทางมาพร้อมญาติผู้ใหญ่ 2 คนและทนายความ ได้ถือหนังสือสัญญาดังกล่าวมา 1 ฉบับ เพื่อมาขอเจรจาด้วย และยื่นข้อเสนอให้บริษัท ซึ่งในสัญญานั้นเขียนมาไม่ครอบคลุมทั้งหมดของข้อกฎหมาย ซึ่งเห็นแล้วก็น่าจะเซ็นกันวันนี้ไม่ได้ เลยส่งตัวร่างสัญญาที่ครอบคลุมทั้งหมดจะได้ไม่มีปัญหาด้านกฎหมายในภายหลัง ก็มีการเจรจากันและส่งอีเมลตอบรับกัน

สุดท้ายก็มีการเซ็นสัญญากัน โดยที่ทาง ฟ้าใส มีเจตนาที่จะไม่เข้ามาเซ็นสัญญากับทางเรา แต่สุดท้ายก็เซ็นเพราะมีการพูดคุยกันระหว่างทนายกันเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายมีทนายในการตรวจสอบสัญญาทั้งหมด ในสัญญาเรียบร้อยแต่จะไม่เอามาเปิดเผยกัน

วันที่ ฟ้าใส ถือสัญญาของตัวเองเข้ามากับทนายความ ซึ่งตนเองมองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ น้องคงไม่แฮปปี้ที่จะทำงานกับกอง แต่เราก็ให้เกียรติเค้า ถ้าเค้าไม่แฮปปี้ที่จะทำเราก็ไม่ว่ากัน ซึ่งวันที่น้องมาวันที่ 4 มี.ค. พร้อมสัญญา ทนาย และญาติผู้ใหญ่ ก็ยื่นข้อสัญญาของน้องให้เรา เราก็โอเค เพราะไม่อยากจะมีเรื่อง และน้องก็ได้เซ็นสัญญาในวันนั้น

...

คนชอบบอกว่า แน่จริงเอาสัญญามากาง ซึ่งที่ผ่านมาตนเองจะบอกว่าไม่ได้ แต่ถ้าวันนี้น้องอยากจะเอาสัญญามาให้ทุกคนดู เราก็ไม่ว่า ถือเป็นเรื่องยินดี และไม่มีข้อผิดด้วย

อย่างที่ทราบว่าจะมีการเซ็นสัญญาเงื่อนไขกองประกวดก่อนในครั้งแรก และหลังจากได้ตำแหน่งก็จะมีการทำสัญญากับกองประกวด แต่ฟ้าใสไม่เคยเข้ามาทำสัญญาตัวนี้ เพราะฉะนั้นตัวเงื่อนไขก็จะไม่ได้ คือวันที่ 4 มี.ค. 2019 ไม่มีการเซ็นสัญญาแต่มีการทำเซ็นข้อตกลงที่ว่า ฟ้าใส มีความประสงค์ที่จะไม่เข้ามาทำสัญญากับเรา

และที่ ฟ้าใส บอกว่า ทางกองได้ยกเลิกข้อสัญญาต่างๆ กับตนเองนั้น ปุ้ย บอกว่า ไม่เคยยกเลิกสัญญาค่ะ ถ้าวันที่ฟ้าใสเข้ามาเซ็นไม่เข้าร่วมทำสัญญา ถ้ากองจะประกาศออกไปก็ได้เลย แต่เราไม่ทำ เค้าก็ยังคือ Miss Univese Thailand 2019 นั่นแหละ

พร้อมกันนี้ ปุ้ย ได้ยืนยันว่า คนแก้ไขสัญญาไม่ใช่ TPN และทาง ฟ้าใส ได้ปฏิเสธที่จะเซ็นมาโดยตลอด การที่ ฟ้าใส ออกมาบอกว่า ทาง TPN เป็นฝ่ายจบสัญญา ซึ่งทนายความได้บอกในเรื่องนี้ว่า ทางเราได้มีหลักฐานการเรียกฟ้าใสมาเซ็นสัญญาอยู่แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผย เพราะเป็นด้านกฎหมาย 

และ ปุ้ย บอกว่าเรื่องพวกนี้ควรจะจบได้แล้ว ถามว่าเสียใจมั้ย เสียใจ ตนเองพยายามเลี่ยงมาตลอด ไม่อยากออกมาพูดเรื่องแบบนี้ ก็มองในจุดดีจุดน่ารักดีกว่า

...

นอกจากนี้ ปุ้ย ยังได้พูดถึงกระแสดราม่าของ อแมนด้า อีกด้วยว่า ตนเองให้อ่านสิ่งที่คนเข้ามาติติงน้องตลอด ซึ่งตัวเองน้องก็ได้จดเก็บไว้หมดเพื่อที่จะได้เอาปรับปรุงตัวเอง แต่พวกที่ติแล้วด่าทอน้อง ตนเองได้คุยกับทนายแล้ว เดี๋ยวจะต้องมีการจัดการ อย่างเช่นมีคนเข้ามาเขียนว่า หวังไปเถอะมง 3 กองประกวดไปหาคนหน้าเหมือนสัตว์มาประกวด คนที่โพสต์แบบนี้ตนเองจะตามล่ามาให้ได้ แม้จะใช้บัญชีอวตาร์ก็ตามที.