• เส้นทางการทำงานของ นัท ศุภณัฐ และ เพชร ชนะภูมิ ก่อนที่จะมาเป็น โซโล่-กีล์ ใน "Oxygen The Series ดั่งลมหายใจ"
  • ความสนิทที่มากกว่าคำว่า คู่จิ้น
  • จุดมุ่งหมายที่อยากประสบความสำเร็จจะได้ลบคำสบประมาทของครอบครัวได้

ออนแอร์ไปได้ประมาณ 6 EP แล้ว สำหรับซีรีส์รักแห่งปี "Oxygen The Series ดั่งลมหายใจ" จากนิยายสู่ซีรีส์บนหน้าจอโทรทัศน์ นำแสดงโดย นัท ศุภณัฐ เลาหะพานิช และ เพชร ชนะภูมิ เถรว่อง เรียกว่าเป็นคู่จิ้นหน้าใหม่ที่เคมีเข้ากันและลงตัวสุดๆ แม้ว่าเรื่องนี้ทั้งคู่จะได้รับบทที่ต่างจากตัวเองไปบ้าง แต่ก็สามารถทำออกมาได้ดีทีเดียว 

ล่าสุด 2 หนุ่มทั้ง นัทและเพชร ก็ได้มาเยือนถึง ไทยรัฐออนไลน์ พร้อมเปิดใจนั่งพูดคุยอย่างเป็นกันเองถึงเส้นทางการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งทั้งคู่บอกว่า อยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ยังไม่เคยถึงฝัน จนกระทั่งได้มีโอกาสมาเจอนักเขียนของเรื่องนี้ จึงถูกเลือกมาแคส และโอกาสนั้นก็มาถึง 

...

เดินเข้าวงการมาคนละเส้นทาง แต่สุดท้ายก็ได้มาเจอกัน

เพชร "สำหรับผมมีแคสติ้งก่อนครับ เข้ามาแคสในบท พี่กีล์ แล้วทีนี้เขาก็เห็นแววมั้งครับ เลยให้มาเล่นกัน ซึ่งในบทของ นัท ลุคมันได้อยู่แล้ว แต่ในส่วนของบท พี่กีล์ เขาก็ต้องหาว่าจะเป็นยังไง เพราะคาแรกเตอร์ตัวนี้หายากอยู่ ซึ่งในปกนิยายบทของ นัท เขาเขียนไว้ว่าเป็นรูปลักษณ์ที่อยากได้ ตรงปกมากเลย

ส่วนตัว กีล์ เขาก็ได้เปิดแคสเพื่อที่จะหาตัวที่เหมาะสมจริงๆ ซึ่งพอเราได้มาเราก็กดดันอยู่นิดนึง แต่พอแฟนคลับเห็น เขาก็เอารูปมาเทียบว่าจริงๆ เราก็คล้ายนะ แล้วพอซีรีส์ออกมาทุกคนก็โอเคกับที่ เพชร มาเป็นคาแรกเตอร์นี้ครับ ในบทของผม เราไม่รู้เลยว่าคนเข้ามาแคสเยอะมั้ย เพราะตอนไปแคสเราก็แค่เข้าไปแคสเลย ไม่รู้ว่ามาทั้งหมดกี่คน ของผมแคสครั้งเดียวก็ผ่านเลยครับ"

นัท "เริ่มเข้าวงการมาตั้งแต่แรกเลย จริงๆ ของนัทเริ่มเข้ามาทางสายเกม เมื่อก่อนเป็นเด็กเล่นเกมครับ ตอนเริ่มเข้าวงการบันเทิงผมได้ไปเจอพี่ไก่ วรายุฑ เหมือนตอนนั้นพี่ไก่เขากำลังทำละครพอดี เขาเลยให้ไปลองแคสที่ออฟฟิศว่าคาแรกเตอร์เราพอไหวมั้ย เราก็ไปเรียนการแสดง เขาก็สอนการแสดง สอนแอคติ้ง จนได้เล่น เด็ดปีกนางฟ้า

มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า จริงๆ มันก็เอ็นจอยนะ ตอนแรกก็ไม่ได้คิด ไม่ได้วางภาพตัวเองว่าจะเข้ามาอยู่วงการ ที่วางภาพตัวเองไว้คือเล่นเกม แข่งเกม ช่วงหลังคือแคสเกม มันเป็นอะไรที่ไม่ได้คาดคิดไว้เลยครับ ช่วงที่ก่อนจะเข้ามาแคส Oxygen the Series มีคนมาชวนผมไปเล่นซีรีส์เรื่องหนึ่ง แต่ว่าตอนนั้นผมก็ยังไม่สนใจ แล้วบังเอิญว่าซีรีส์เรื่องนั้นผู้กำกับเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียน แล้วติดต่อผ่านรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยอีกทีหนึ่ง

ตอนแรกเราก็จะไม่ไป เพราะเรายังสนุกกับเกมอยู่ แต่เขาก็มาชวนว่า ไปลองหน่อย แต่ซีรีส์เรื่องนั้นก็ได้พับโปรเจกต์ไป โชคดีว่า น้องอาย นักเขียนเขาได้มาเจอเราพอดี พี่ผู้กำกับเขาก็ได้ติดต่อมาบอกว่า เรามีคาแรกเตอร์ที่ตรง เขาอยากได้ เขาก็บอกกับทางนักเขียนบทว่า ถ้าไม่ใช่คนนี้ ให้หาคาแรกเตอร์แบบนี้เลยได้ไหม เขาอยากได้หน้าตาแบบนี้ คาแรกเตอร์แบบนี้เลย แต่เราไม่ได้ เพราะเรารับอีกเรื่องหนึ่งอยู่ พอมันพับโปรเจกต์ไป ก็ได้มีการคุยกันใหม่ เขาก็อยากให้เป็นเรา เลยได้เข้ามาเล่นครับ"

เพชร "ที่จริงเรารู้จักกันมานานมาก พอเรามาเล่นมันก็ไม่ได้เกร็ง ไม่ได้เครียดอะไรขนาดนั้น พอเข้าฉากด้วยกันมันก็เรื่อยๆ ครับ"

...

นัท "จริงๆ ซีรีส์ที่เขาพับโปรเจกต์ไป เราได้เล่นคู่กัน เลยได้มาเจอกันเรื่องนี้อีกรอบครับ ซึ่งเรื่องนั้นเรายังไม่ได้เล่นด้วยกันนะครับ ยังไม่ได้ถ่ายทำ พอมาเล่นด้วยกันมันค่อนข้างสมูทนะครับ แต่บทเรื่องนั้นกับเรื่องนี้คนละโลกเลยครับ (หัวเราะ)

ถ้าเรื่องนั้นบทของ นัท จะเป็นเด็กวิศวะที่มีความเถื่อนๆ ห้าวๆ กร่างๆ หน่อย แบบดิบๆ บ้าง แต่เรื่องนี้บทของ โซโล่ มันก็จะค่อนข้างใกล้ตัวเรามากขึ้น ที่มันต่างคือตัวของ โซโล่ จะค่อนข้างนิ่ง เหมือนเขามีปมที่มันเศร้า เจอเรื่องแย่มากๆ แทบไม่อยากจะเปิดรับอะไร ปิดกั้นความรู้สึกทุกอย่าง ไม่อยากสนใจใคร ไม่อยากสนใจโลกอีกแล้ว"

เพชร "บทเรื่องนี้เราเป็นพี่ปี 4 คาแรกเตอร์ตัวพี่กีล์ จะมีความเป็นผู้ใหญ่ เพราะเป็นเด็กกำพร้า คืออยู่บ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก คอยดูแลคนในบ้าน ดูแลน้องๆ เขาจะมีความเป็นผู้ใหญ่ และมีความใจดีมากๆ เป็นคาแรกเตอร์ที่อบอุ่น ยิ้มง่าย ดูแลใส่ใจคนอื่น แอบเครียดเหมือนกันเล่นยาก (ยิ้ม)"

นัท "ในบทของ โซโล่ จะเป็นเด็กอายุ 18 ซึ่งเราเลยช่วงวัยนั้นมานานมากแล้ว เลยรู้สึกกดดันเหมือนกันนะว่าถ้าสมมติเราต้องกลับไปเป็นเด็ก คนจะเชื่อมั้ย เพราะว่าจริงๆ แล้วเพชรเขาก็เด็กกว่านัทด้วย แต่เราต้องมาเล่นเด็กกว่าเขา 3-4 ปี ก็เลยกดดันหน่อยๆ แต่มันก็ผ่านมาได้ครับ เราก็เต็มที่ที่สุดแล้ว (ยิ้ม)"

...

เพชร "ของผมตัวจริงจะเป็นคนที่พูดเยอะ พูดมาก แอคทีฟตลอดเวลา แต่ในคาแรกเตอร์พี่กีล์ต้องเป็นอีกโลกหนึ่งเลย เขาจะเป็นคนที่เรียบร้อยมาก เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งบอกเลยว่า พอเขาเขียนคาแรกเตอร์ออกมาว่าเป็นคนอบอุ่น บอกเลยว่าเครียดมาก คำว่าอบอุ่นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

แล้วอบอุ่นมันยาก เราต้องมาจากข้างในจริงๆ เลยทำคาแรกเตอร์นานมากว่าจะเป็นพี่กีล์ได้ครับ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เวิร์คช้อปนานมาก ประมาณ 3-4 เดือนครับ เรื่องนี้เราถ่ายจบตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว เพิ่งมาได้ออนกันยายนปีนี้ครับ"

เพชร "พอได้ย้อนกลับไปดูตัวเอง คือทุกคนจะพูดเหมือนกันว่า อยากจะกลับไปทำให้ดีกว่านี้ ด้วยความที่มันผ่านมาปีนึง เราก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ คือ ณ ตอนที่เราถ่ายมันเป็นความเรียล ความสด ที่เราทุกคนได้ทำเต็มที่แล้ว ณ เวลานั้นแต่พอผ่านมาเป็นปีเราได้กลับมาดูผลงาน รู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่านี้นะ"

นัท "ผมว่าได้อีก (ยิ้ม)"

จากไม่มีใครรู้จัก ชีวิตเปลี่ยนต้องระวังการใช้ชีวิตมากขึ้น

เพชร "ชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะครับ การใช้สื่อโซเชียลจากที่ตอนแรกคนมาดูสตอรี่เราหลักร้อย ตอนนี้เป็นหลักหมื่น ยอดฟอลโลว์เยอะขึ้น เราต้องระวังการใช้โซเชียลมากขึ้น การโพสต์ มันก็ต้องระวังขึ้นครับ"

...

นัท "เมื่อก่อนเราไปซื้อของร้านนึง คือเราไปซื้อร้านนี้ประจำ มีวันหนึ่งเราเข้าไปเขาก็เอาน้ำมาให้ แล้วบอกว่า วันนี้นมอุ่นไม่มีนะคะ มีแต่น้ำเปล่าได้มั้ย เราก็ตกใจว่าเขาดูซีรีส์เราด้วย ติดตามเราด้วย

บางทีเราไปเดินเลือกซื้อของ ที่แคชเชียร์เขาก็วิ่งมาแล้วบอกว่า เดี๋ยวเอาไปคิดเงินให้ค่ะ ขอถ่ายรูปได้มั้ย ขอโทษนะคะวันก่อนในทวิตเตอร์ที่มีงานไม่ได้ตามไป เพราะต้องทำงาน เราก็รู้สึกว่ามันไปในวงที่คนรู้จักเราเพิ่มมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนเงียบๆ ไม่มีใครรู้จัก"

เพชร "เรื่องนี้เป็นงานแสดงเรื่องแรกของเพชรครับ ก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมอยู่ที่มหาวิทยาลัยครับ เป็นลีดของ ม.ธรรมศาสตร์ แล้วก็จะมีเล่นโฆษณาบ้างครับ เอาจริงๆ เราก็พยายามที่จะเข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่ปี 1 แล้ว

คือตอนนั้นเราก็เคยมีโอกาสไปเซ็นสัญญากับค่ายนึง แต่ว่าไม่ได้มีงานออกมา เราก็พยายามที่จะแคสงานไปเรื่อยๆ แต่ว่าไม่ติด ก็พยายามไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 19 มาจนตอนนี้ 26 แล้ว เพิ่งจะได้เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ ที่ได้ไปเป็นเซ็นสัญญาเพราะตอนนั้นไปประกวดรายการนึง เขาก็เลยให้เซ็นสัญญาประมาณ 2-3 ปีครับ"

นัท "ของ นัท ก่อนหน้านั้น นัท เล่นเกม แข่งเกมครับ คือช่วงแรกๆ เราเล่นแบบจริงจัง ซ้อมทีมแข่งแบบนี้ไปตลอด ก่อนที่จะมาเจอพี่ไก่ วรายุฑ ผมทำเซิร์ฟเกมอย่างจริงจัง ปรากฏว่ามันมีเรื่องของสุขภาพ เรานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไม่ได้ออกไปไหนเลย มันปวดหลัง เป็นกระดูกทับเส้น เลยมาคิดว่ามันมากเกินไปแล้ว เลยลดลงมา ช่วงที่ลดลงมาก็ได้เจอพี่ไก่ ลองมาเล่นละคร

ตอนแรกต้องบอกเลยว่าเราเป็นเหมือนเด็กติดเกม สมมติว่าเจอใครสักคนเราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปคุย เป็นเด็กขี้อายมาก ทำตัวไม่ถูก แต่ตอนนั้นเหมือนพี่ไก่เขาหักดิบ เขาให้ไปเดินแบบงาน ELLE แล้วด้วยความที่เราแค่ไปทานข้าวร้านที่มีคนเยอะๆ เราก็จะไม่ชอบแล้ว ถ้าไม่ใช่โต๊ะที่นั่งตรงมุม เราจะรู้สึกเขินอาย

เขาก็หักดิบให้เราไปเดินแบบ ซึ่งมันต้องใกล้เยอะๆ เราต้องโฟกัสให้ได้ ซึ่งท่าเดินเรายังแปลกอยู่เลย ก็ต้องฝึก งานนั้นเป็นงานแรกด้วย ก็รู้สึกว่าเราทำได้นี่ มันไม่ได้เป็นแย่อะไรเลย เลยคิดว่าการที่เราจะเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง มันได้พัฒนาตัวเราด้วย พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาชีวิตเราให้ไปได้มากขึ้นกว่านี้

ถ้าเรายังเป็นเด็กติดเกมเราคงไม่สามารถทำอะไรได้ ที่บ้านก็ยังมีธุรกิจที่ต้องทำ มันจะไม่สามารถควบคุมได้ เลยรู้สึกว่าตรงนี้มันพัฒนาตัวเราไปได้เยอะเหมือนกัน เลยเริ่มรักการแสดง เพราะมันพัฒนาชีวิตเราให้เป็นคนที่ดีมากขึ้นได้ เราก็เล่นเกมลดลง แล้วหันมาโฟกัสวงการมากขึ้นครับ

หลังจากเล่น เด็ดปีกนางฟ้า มันก็ยังไม่ได้มีละครเรื่องอะไรเข้ามา ส่วนมากจะเป็นงานออนไลน์เล็กๆ แต่ช่วงนั้นโชคดีที่ได้มาเจอพี่เต้ เพจแคสเกม ตอนแรกเราก็คุยกับเขาเล่นๆ แต่จับผลัดจับผลูเราก็ได้ไปแคส เหมือนเริ่มไปเป็นสตรีมเมอร์ เราก็เริ่มสนุก แต่ว่าเราไม่ได้ทิ้งงานในวงการ ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปแคสนะ เพราะเราไม่ชอบแข่งกับคนเยอะๆ

เราคิดว่าอะไรที่เป็นของเรามันก็จะเป็นของเรา เลยไม่ค่อยชอบไปแคสเท่าไร ถ้าไม่มีคนรู้จักชวน คือเราเป็นคนชอบทำอะไรจากสิ่งที่เราชอบก่อน เพราะมันจะเป็นแรงผลักดันให้เราตั้งใจทำ ให้งานมันออกมาดี แต่ถ้าเราไม่ได้อยากทำ ต่อให้เราไปแคส ก็จะรู้สึกว่าเราเอาเปรียบคนอื่นเขา เลยเลือกงานที่เราชอบดีกว่า"

เลือกเรียนตามใจที่บ้าน

นัท "จริงๆ นัทเรียนจบนิเทศ เพราะตอนแรกเริ่มเรียนบริหาร อยากจะกลับไปทำงานที่บ้าน ด้วยความที่แบบพ่อก็เชิงบังคับนิดนึงว่าเราต้องกลับไปทำงานที่บ้านนะ เพราะที่บ้านทำรับเหมาก่อสร้างทำถนนครับ จริงๆ เขาจะให้เรียนสายตรงเลย เป็นวิศวะ แต่เราไม่ได้จริงๆ เราไม่ใช่เด็กเรียนด้วยแหละ เลยเลือกบริหารแทน พอเราเรียนก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราไม่ใช่เด็กเรียนขนาดนั้น เราก็เลยตามเพื่อนไปแล้วกัน ก็ซิ่วจาก ม.กรุงเทพ มา ม.รังสิต ครับ"

เพชร "เพชรเรียน ม.ธรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ครับ แล้วก็เป็นลีดฯ ของคณะและมหาวิทยาลัยครับ ตอนปี 1 เป็นลีดคณะครับ แล้วก็ไปคัดลีดของมหาวิทยาลัยตอนงานบอล 69 แล้วไม่ติดก็เลยพักไปปีนึง กลับไปคัดใหม่ตอนปี 3 ครับ เป็นลีดงานบอล 70 ครับ ผมใช้ชีวิตอยู่กับลีดฯ 4 ปีเลย ผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมครับ ด้วยความที่ปี 1 ก็ไปสมัครดาวเดือนมหาวิทยาลัย ก็ได้เป็นรอง แล้วรุ่นพี่ในคณะเขาอยากให้ไปคัดลีดดู เราลองก็ได้ มันก็สนุกดี มีอะไรทำ

ที่เลือกเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาควิทยาการคอมพิวเตอร์ เพราะที่บ้านบังคับครับ (หัวเราะ) ด้วยความที่ที่บ้านเขาจะเป็นวิศวะ เภสัช บริหาร บัญชี แล้วผู้ใหญ่เขาก็มองว่า เราเล่นคอมบ่อย ลองเรียนวิทยาคอมมั้ย คือเหมือนคะแนน GAT PAT เราถึงพอดี แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะไปสอบ คะแนนมันถึงเขาอยากให้เลือกอะไรที่มันดีๆ

แล้วลองเรียนไป พอเราเรียนไปเราก็ชอบ มันก็โอเคทำให้มันผ่าน เกรดออกมาก็โอเค แต่พอเริ่มได้ทำกิจกรรม รู้สึกว่าทางนี้มันสนุกกว่า กิจกรรมเยอะมาก ทั้งเป็นลีด เป็นพิธีกร คือยอมรับครับว่าเป็นคนหัวดีแต่ขี้เกียจ (หัวเราะ) เพชรเป็นคนที่ถ้าให้ทำ ให้จำ ให้สอบเนี่ยเราทำได้ แต่เป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ถ้าทำจริงๆ เกรดก็สูง แต่แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง เรียนจบมาได้ก็โอเคแล้ว (ยิ้ม)"

ที่บ้านไม่อยากให้เป็นดารา แต่ขอทำตามความฝันของตัวเอง

เพชร "ที่บ้านไม่ชอบ (ยิ้ม) คือก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจ ตอนแรกเราขอเขาว่าอยากจะเรียนนิเทศศาสตร์ เขาบอกว่ามันไม่มีงานทำหรอกสายนิเทศ จริงๆ ความฝันเราตั้งแต่เด็ก เราตั้งเป้าไว้แล้วว่าเราอยากเป็นตรงนี้ ทั้งๆ ที่มันยาก แต่เราแค่รู้สึกว่าเราอยากเป็น

คือเพชรเข้าใจผู้ใหญ่นะว่าทำไมเขารู้สึกไม่ชอบที่จะให้เราทำงานในวงการ คือมันเข้ายาก ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าเราจะได้เงิน ได้งานจากตรงนี้จริงๆ จนมาทำ Oxygen the Series เขาก็ได้เห็นว่ามันออกทีวีนะ มันมีคนชอบนะ เขาก็โอเคขึ้น ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดแต่เขาก็รอดู อย่างพ่อเราก็มานั่งกดไลค์ทุกเพจเลย แต่ก่อนหน้านี้ไม่เลย เขาจะว่าประจำ ซึ่งเขาก็เป็นห่วงด้วยแหละ

คือหลังจากที่ผมเรียนจบมา เพชรไปทำงานประจำก่อนประมาณ 2 ปีครับ ไปเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ พอเราออกมาเขาก็ถามว่าทำไมถึงออก คือแค่เรารู้สึกว่าเราสนุกกับงานตรงนี้ อยากทำงานตรงนี้ให้เต็มที่ เลยเลือกที่จะออกมา"

นัท "ของผมเรื่องใหญ่ครับ หลังจากซิ่วมา เป็นปัญหาบ้านแตกเลย คือผมเป็นลูกคนเดียวด้วย เหมือนเขาวางไว้แล้วว่าเราจะต้องเดินตามทางที่เขาวางไว้ จริงๆ แล้วคุณพ่อจะเป็นคนที่ค่อนข้างเผด็จการนิดนึง (หัวเราะ) เขาวางทุกอย่างไว้ให้เราแล้ว เหมือนเราจะต้องเดินตามสิ่งที่เขาวางไว้ เหมือนเขาไม่เข้าใจเรื่องของวงการบันเทิงด้วย เขาจะอยู่กับงานรับเหมา ไปยื่นซองประมูล ทำถนน

พอเราเลือกที่จะเลิกเรียนบริหาร เราก็ตั้งใจแหล่ะว่าเราจะไม่กลับไป จะหาอะไรทำเป็นของตัวเองให้มันได้สักอย่าง ก็คือเราก็เล่นเกมอย่างจริงจัง ทำเซิร์ฟเป็นของตัวเอง คิดว่าวันหนึ่งอยากจะมีเกมเป็นของตัวเอง เลยอยู่กับมันตลอด เพื่อที่อยากให้เขาเห็นว่าทางที่เราเลือกสามารถไปได้นะ

ก็มีปัญหาถึงขั้นเขาให้เดดไลน์เราเหมือนกันว่า ถ้าเกิดปีนี้ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หรือไม่ได้ทำอะไรก็ตาม ต้องกลับ แต่นัทก็ดื้อครับ เรารู้สึกว่าทำตรงนี้ยังไม่เต็มที่เลย เราขอเวลาอีกหน่อยได้มั้ย บวกกับตอนที่เราได้เข้าวงการพอดี เลยคิดว่าถ้าเราสามารถทำให้เขาเห็นได้ว่าเราเอาตัวรอดได้ สามารถดูแลตัวเองได้

แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นได้เราก็ต้องอินกับมันไปก่อน โชคดีที่มีซีรีส์เรื่องนี้ออน เขาก็เข้าใจ เริ่มเห็นแล้วว่ามันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เริ่มมีเพลง เราทำเพลงส่งไปให้เขาฟัง มันเริ่มโอเคขึ้นนะ เราทำตรงนี้ได้ แต่มันก็เป็นอีกหนึ่งความโชคดี

ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่แยกกันอยู่ มันเลยทำให้นัทมาอยู่กับแม่ กับพ่อนัทก็ไม่ค่อยได้เจอ ความกดดันเลยลดลง ส่วนแม่คือแบบเขาบอกว่าถ้าเราอยากทำอะไรทำไปเลยลูก เขาคอยซัพพอร์ตเราทุกอย่าง ให้เราทำเต็มที่เลย แต่ขอแค่เรียนให้จบ เกรดจะเป็นยังไงไม่เป็นไร

ตอนนี้ผมกับพ่อก็ยังมีความไม่ค่อยคุยกันอยู่นิดนึง (ยิ้ม) แต่ว่าแม่ก็มาบอกว่าพ่อเขาก็แฮปปี้นะครับ แค่เขาไม่ได้มาพูดกับเราตรงๆ ว่าเขาโอเค เขาชอบ ผมว่าลึกๆ แล้วเขาก็อยากให้เรากลับไปทำงาน ไปทำธุรกิจกับเขา ส่วนแม่เขาก็ดันเราเต็มที่ เรามาขนาดนี้แล้วแม่เขาก็เชื่อว่าเราทำได้

ถ้าถามว่าในใจผมอนาคตจะกลับไปช่วยงานพ่อมั้ย ผมอยากอยู่ในวงการก่อน รู้สึกว่าอยากไปให้มันสุดจริงๆ ถ้ามันยังไม่สุดจริงๆ เราก็ยังไม่อยากกลับไป คือนัทรู้สึกว่าเราคิดดีแล้ว ถ้าเรากลับไปแล้วเราไม่ได้ชอบตรงนั้นมันจะฝืน เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีครั้งเดียว เราควรจะต้องอยู่กับอะไรที่เราตัดสินใจเลือกแล้ว ต้องผ่านไปให้ได้"

ความจริงกับความฝันที่เกินคาดมาก

นัท "รู้สึกว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้วคนเห็น แล้วเขาชอบ มันเป็นอะไรที่ถูกใจ อย่างบางทีเราก็ได้เห็นคนเข้ามาขอคำแนะนำจากเรา เขาเจอเรื่องแย่มา เรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เราสามารถเป็นความสุขให้ใครได้เลยเหรอ"

เพชร "ก็รู้สึกดีใจครับ ตัวเพชรเองก็มีเพื่อนอยู่ในวงการเยอะพอสมควรที่เล่นซีรีส์วาย ก็ได้ดูผลงานของเพื่อน เขาก็ถามว่าเมื่อไรของเราจะออก แฟนคลับหลายๆ คนก็จะถามว่าทำไมพี่เพชรรู้จักเยอะจัง คือเพื่อนเราในวงการหลายๆ คนก็เริ่มต้นมาพร้อมเรา แค่มีผลงานก่อน

แต่ของเราก็รอ Oxygen the Series ซึ่งมันก็ออกมาได้ด้วยดี ทุกคนก็โอเค แฟนคลับต่างชาติชอบ แฟนนิยายชอบ ก็ถือว่าเป็นฟีดแบ็กที่ดีมากๆ เลย ในใจลึกๆ ตัวเพชรเองก็คาดหวังอยากให้คนรู้จักเราเยอะๆ เพื่อที่เราจะได้ทำงานต่อได้ในวงการต่อไป แต่มันก็เกินคาดจากที่เราคิดไว้ครับ"

เพชร "คือตัวเพชรไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่าขอบคุณ หลายคนรอผลงานของเพชร รอติดตามเพชร ตอนนี้มีทั้งแฟนคลับที่เคยอยู่กันมานานมาก จนตอนนี้มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนรักมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอบคุณทุกคนที่รักในตัวเพชร รักในซีรีส์ รักในทุกอย่างที่เพชรทำออกมาครับ"

นัท "ขอบคุณแฟนๆ ซีรีส์นะครับที่ให้การติดตามและสนับสนุนตั้งแต่มันยังไม่มีอะไร รู้สึกขอบคุณมากๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอ ขอบคุณทุกคน แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาติดตามเรา เขาเอ็นจอยกับเราและชอบเรา

ขอบคุณมากจริงๆ ที่ชอบและมีความสุขกับสิ่งที่เราตั้งใจทำ อยากบอกแฟนคลับว่าขอบคุณที่อยู่ข้างๆ กัน คือจริงๆ มีกลุ่มแฟนที่ตามนัทมานานมากๆ แล้วก็เคยมีปัญหากัน แต่เขาก็ยังตามเราอยู่ ขอบคุณที่เข้าใจในตัวเรา เราก็จะตั้งใจทำผลงานตรงนี้เพื่อให้เขามีความสุขแล้วสนุกกับงานของเราต่อไปเรื่อยๆ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ".

ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า

ช่างภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์

กราฟิก : Varanya Phae-araya