• เปิดใจ มีน พีรวิชญ์ จากคนโนเนม นั่งรถตู้ฉะเชิงเทรา-กรุงเทพฯ เพื่อมาแคสต์งานแสดง 
  • เผยครั้งแรกเป็นลูกคนเดียว ที่เกิดจากหลอดแก้ว
  • ยังสนิทกับ แปลน มาก แม้จะไปอยู่ช่อง 3 แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม 

โด่งดังมาจาก "Love By Chance บังเอิญรัก เดอะซีรีส์" สำหรับ มีน พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร หนุ่มหน้าใสวัย 22 ปี ขวัญใจสาวๆ เห็นแบบนี้บอกเลยว่า ประวัติเขาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะ มีน เคยเป็นเจ้าของตำแหน่ง The most vibrant & shining guy จากการประกวด 50 หนุ่มโสดคลีโอในฝัน 2017 อีกด้วย 

บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ มีน พีรวิชญ์ และทันทีที่เราเห็นผู้ชายตัวสูง ผิวขาว ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ก็คิดว่า นักศึกษาหนุ่มที่ไหน แต่พอเจอกันใกล้ๆ มีน พีรวิชญ์ นั่นเอง วันนี้ มีน มาพบกับเราด้วยรอยยิ้ม หน้าตาสดใส พร้อมกับพลังเต็มเปี่ยมที่จะเล่าเรื่องราวในชีวิตให้เราฟัง  

เป็นเด็กหลอดแก้ว กว่าจะได้มาเกิดยากมาก 

“คือต้องเล่าก่อนว่า ที่บ้านผมเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างปล่อยเรา อยากทำอะไรก็จะสามารถทำได้ ให้ลูกทำเลยเต็มที่ ก็ไม่ได้สนับสนุนและไม่ได้ ก็ทำเลย อยากทำอะไรก็ลอง คอยดู คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ ครับผม แต่ช่วงหลังๆ พอเราเริ่มเข้ามา เขาก็สนับสนุนเต็มตัวครับ”

“ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็เป็นห่วงนิดหนึ่ง ด้วยความที่เราเกิดยากโตยากนิดนึงครับ เป็นเด็กหลอดแก้ว ที่บ้านเขาจะแอบหวงมากกว่า ไม่ได้ห้ามตรงๆ แอบห่วงอยู่ไกลๆ ครับ แต่ไม่ได้ถึงขั้นว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ไม่ได้กำหนดว่าต้องเดินทางตามนั้นตามนี้ เขาให้เราเลือกเองหมดเลย”

...

“เมื่อก่อนอยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็มากรุงเทพฯเอง นั่งรถตู้มาเอง เพื่อมาแคสต์งาน ไม่ได้บอกว่าจะได้ด้วยนะ เมื่อก่อนมาแคสต์โฆษณาก็มา แรกๆ ก็ไม่ได้งานเลย มาแคสต์เป็น 10-20 ตัวเลยมั้งแต่ไม่เคยได้สักมา มาฟรีเลย ทำแบบนี้เป็นปีเลย แต่พอเราเริ่มได้ เหมือนเราจับทางถูกมั้ง มันก็ได้งานเรื่อยๆ”

เป็นเด็กเนิร์ดหน้าห้อง ไม่ค่อยกล้าแสดงออก

“เป็นเด็กขี้อายมาก เนิร์ดๆ เป็นเด็กหน้าห้อง ด้วยความที่สมัยก่อนที่โรงเรียน เด็กหน้าห้องก็จะได้ทำอะไรหลายอย่างมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ครูเขาก็จะจับไปทำโน่นทำนี่ อยู่ๆ ก็จับพลัดจับผลูได้ไปเป็นประธานนักเรียนชั้นประถม

การที่เราได้เป็นประธานนักเรียน ครูก็จะจับเราไปทำกิจกรรมอื่นๆ ผมอยู่ในเครือโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ครูก็จะไปจับทำกิจกรรมในเครือโรงเรียนเดียวกัน ทำให้เราได้ฝึกสกิล มีความรู้ ความกล้าขึ้น เป็นเด็กหน้าห้องทำอะไรไม่เป็นเขาก็จับไปฝึกเป็นพิธีกร”

“เราเป็นเด็กกิจกรรม คนก็เลยจะรู้จักเยอะ เพราะเราทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ เราก็สนุกไง คือผมเป็นเด็กเรียนแล้วพอได้ไปจับกิจกรรมก็สนุก เราชอบ ก็ผันตัวไปเป็นเด็กกิจกรรม”

เมื่อเราถามว่า ตอนเด็กต้องเป็นหนุ่มฮอตแน่ๆ มีน หัวเราะอย่างอารมณ์ดี พร้อมเล่าว่า “ก็มีบ้าง เพราะด้วยผมเป็นประธานนักเรียนด้วย น้องๆ ก็รู้จัก แต่คือลุคผมคนไม่ค่อยกล้าเข้าหา ไม่รู้เหมือนกัน คนอาจจะคิดว่าผมมีคนคุยเยอะๆ ไม่ค่อยมีเลยครับ แล้วผมก็เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าเข้าหาคน ไม่ได้มีผู้หญิงเยอะขนาดนั้น เปิดไอจีได้เลย ไม่มีใครกล้าทักมาคุยกับผม”

เคยเป็นตัวประกอบที่ไม่มีบทพูด 

“เริ่มต้นเข้าวงการบันเทิง ผมเริ่มจากมาแคสต์ซีรีส์เรื่อง Love Sick2 เป็นงานบันเทิงงานแรก แล้วรู้จักผู้จัดการส่วนตัว ก็ติดรอบ 10 คนสุดท้าย วันนั้นผมจำได้ว่าวันที่ผมไปแคสต์คนไปเยอะมาก คิวผมได้คิวที่ สามร้อยกว่า ขนาดว่าวันนั้นผมไปเช้าแล้วนะ เขานัด 10 โมง ผมไปตั้งแต่ 9 โมงกว่า

คนที่ไปน่าจะเป็นพันคนเลยมั้งครับถ้าจำไม่ผิด แล้วผมติด 10 คนสุดท้าย ตอนนั้นเขาทำคล้ายรายการเรียลลิตี้ที่ค้นหานักแสดงหลักประมาณ 3-4 คน แต่ไม่ได้ถึงขั้นติดนักแสดงหลัก แค่ได้เข้า 10 คนสุดท้ายครับ พอได้ไปอยู่ตรงนั้น ถ่ายโน่นนั่นนี่ เลยทำให้เราได้รู้จักกับคนโน้นคนนี้ มีคอนเนกชั่นมากขึ้นในวงการ แล้วพี่ๆ ทีมงานกลุ่มนั้นก็เรียกเรากลับไปใช้งานเรื่อยๆ ในช่วงแรกครับ”

“ก่อนหน้าที่จะดัง ผมตัวประกอบเลยแหละ ณ ตอนแรก โห ช่วงแรกๆ ปีแรกที่เข้ามาทำงาน เล่นแต่บทที่ไม่มีชื่อ ไม่มีคาแรกเตอร์ บทแบบเราคิดขึ้นเองได้เลย เหมือนแบบเขาอยากให้เราลองมากกว่า แล้วก็ไปอยู่กับงานโฆษณาบ้าง ถ่ายเอ็มวีบ้าง

แล้วเพิ่งจะมีโอกาสได้เล่นตัวหลักๆ เมื่อตอนเข้าวงการมาได้สักปีสองปี ประมาณ ม.6 ครับ ตอนที่เข้ามาแคสต์งานครั้งแรกประมาณ ม. 5 ครับ อายุประมาณ 16-17 ปี แต่ก็ได้แคสต์เป็นแค่ตัวสองตัวสาม ในเรื่อง Love Sick ครับ”

...

“พอได้เข้ามาทำงานแล้วมันสนุก อย่างที่เราบอกเราเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ แล้วก็ชอบทำอะไรใหม่ๆ ตลอดอยู่แล้ว แล้ววงการบันเทิงก็ตอบโจทย์เพราะเราเป็นคนที่ชอบทำอะไรใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ วงการค่อนข้างกว้าง ร้อง เล่น เต้น ละคร ซีรีส์ มันมีหลายแบบมาก แต่ละเรื่อง แต่ละคาแรกเตอร์มันก็ต่างกันไป ทุกวันได้ทำอะไรใหม่ๆ เยอะอยู่ตลอด”

ดังเป็นพลุแตก จากซีรีส์ บังเอิญรัก

“ไม่เคยคิดเราจะดังมากขนาดนี้ อย่างแรกก็คือเรารู้จักกับผู้กำกับอยู่แล้ว ก็คือคิดอยู่นานว่าจะเล่นดีมั้ย เพราะเป็นซีรีส์วาย ไม่เคยรับเล่นเป็นบทคู่วายด้วย ตอนเล่น Love Sick เป็นตัวประกอบที่ไม่มีคู่ ไม่มีบทเลยครับ หรือเล่นกับคู่ผู้หญิงบ้าง เป็นตัวรองบ้าง

แต่พอมาเป็นคู่ชาย-ชายจริง ก็คิดอยู่เหมือนกัน แล้วก็ความเป็นซีรีส์วายเราจะเล่นหลายเรื่องได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ แต่ผู้กำกับเราก็เชื่อมือเขาแหละ แต่ในเมื่อพี่ผู้กำกับเขามั่นใจ เราก็มั่นใจครับ ก็เลยมาเล่น”

“ตอนแรกกังวลนะ แต่พอรู้ว่าคนที่เล่นคู่เราเป็นพี่ที่รู้จักกันอยู่แล้ว พี่แปลน เราก็สบายใจขึ้น พอมาได้ทำงานจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันก็เป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่งที่เป็นเกี่ยวกับการแสดง เราก็ไม่ได้คิดมากว่าการเป็นชาย-ชายมันจะแปลก และยากไปกว่าชาย-หญิง ผมเฉยๆ”

...

“ตอนซีซั่น 1 เวิร์กช็อปเยอะมาก เวิร์กช็อปกันประมาณ 3 เดือน ด้วยความที่นักแสดงทุกคนมีคิวค่อนข้างว่าง ยังไม่ใช่เด็กที่มีชื่อเสียงเท่าไหร่ ทุกคนก็เลยมีเวลาพร้อมเทให้”

“ตอนซีซั่น 1 เลิฟซีนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ซีซั่น 2 เยอะ ตอนซีซั่น 1 ผมเป็นคู่ 2 แต่มาตอนนี้ผมขึ้นมาแล้ว ด้วยบทที่มันค่อนข้างละเอียดขึ้น เลยมีเลิฟซีนเยอะ ที่ผมอ่านบทมีแทบทุกอีพีเลย(หัวเราะ) เล็กๆ น้อยๆ บ้างแต่ไม่ได้รุนแรงอะไร เป็นโมเมนต์กุ๊กกิ๊กมากกว่า ส่วนใหญ่จะหนักไปทางดราม่า เพราะส่วนใหญ่เป็นดราม่าเรื่องครอบครัว”

กับ พี่แปลน อยู่ด้วยแล้วสบายใจ

“คือเรารู้จักมาก่อนหน้านี้แล้วครับ ตอน Make It Right หลัง Love Sick ตอนนั้นผมยังหัวเกรียนอยู่เลย ตอน ม.6 แต่เราก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ร่วมงานกัน เพิ่งมาร่วมกันตอน บังเอิญรัก ถามว่าสนิทมั้ย สนิทนะ

คือตอน Make It Right ก็เป็นพี่คนหนึ่งที่เราสนิทอยู่แล้ว แล้วตอนมา บังเอิญรัก ยิ่งเล่นด้วยกัน ก็เลยสนิทกันมากขึ้นครับ ทุกวันนี้ก็คือถือว่าสนิทเลยแหละ เลยกลายมาเป็นคู่จิ้น(ยิ้ม) มีมีน มีพี่แปลนที่เล่นคู่กัน”

...

“ตอนนั้นเราเล่นซีรีส์ด้วยกัน วันแรกที่เราไปถ่ายก็เจอกับพี่แปลน แล้วคนอื่นเขามีคู่กันหมด แต่มีนก็ไม่มีคู่ในเรื่อง พี่แปลนก็ไม่มีคู่ เลยทำให้ตอนเดินสายโปรโมตซีรีส์ เราอยู่ด้วยกันค่อนข้างบ่อย ก็เลยกลายเป็นคู่กันขึ้นมา(ยิ้ม) สนิทกันมานานประมาณ 4 ปีได้แล้วครับ”

เมื่อเราถามว่า แล้ววันที่มาเล่นซีรีส์ชายรักชาย พ่อแม่ว่ายังไงบ้าง มีน บอกว่า พ่อแม่สนับสนุนมาก เพราะเขาเปิดกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว 

“เขาไม่ติดอะไรเราเลยนะ เพราะเราก็เริ่มมาจากซีรีส์พวกนี้อยู่แล้วด้วย ถึงจะไม่ใช่คู่รักแต่เราก็มีแจมและเขาก็พอรู้มาอยู่แล้ว และเขาก็เปิดกับเรื่องนี้อยู่แล้ว พ่อกับแม่ผมชิลมาก คือมีช่วงหนึ่งผมไม่มีแฟนเลยนานมาก ปกติที่บ้านเราจะคุยกันตลอด เราชอบคนนั้นคนนี้ก็จะเล่าให้ที่บ้านฟังตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งช่วงเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละ ไม่มีแฟนเลย แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ที่บ้านฟัง

วันหนึ่งนอนอยู่ที่บ้าน ตื่นมาแม่นั่งอยู่ปลายเตียง เขาก็ถามว่า มีน แม่ถามตรงๆ เลยนะ เป็นเกย์รึเปล่า บอกแม่ได้นะ เราก็บอกว่า ไม่ใช่แม่ ไม่มีเวลาเฉยๆ คือเขาค่อนข้างเปิดกับเรื่องพวกนี้มาก”

ลงหลักปักฐาน เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง 3

“เหมือนตอนเราเป็นนักแสดงอิสระ โอกาสมันก็หลากหลายกว่า และเราก็ลองมาแทบจะทุกศาสตร์ของการแสดงแล้ว แต่ว่าเรายังไม่เคยลองเล่นละครอย่างจริงจังเลย เรารู้สึกว่าการที่เรายั่งยืนหรือมีโอกาสทางการแสดงไปยาวๆ ละครก็น่าจะเป็นคำตอบ

ประกอบกับตอนช่วงนั้นก้มีหลายช่องติดต่อมา และยังมีงานเก่าค้างเยอะ ผ่านๆ มา แต่พอมาถึงช่วงปีนี้ ทางช่อง 3 ก็มีติดต่อมาและมีโอกาสได้พูดคุยกัน มีข้อเสนอหรือสัญญาอะไรที่เปิดโอกาสให้เรามากเลย เราก็เลยโอเค

คิดว่าตัวเองพร้อมด้วยแหละ ตอนนั้นยังเด็ก คิดว่าเข้ามางานละครก็อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่ทุกวันนี้คิดว่าน่าจะพร้อมแล้วสำหรับละครใหญ่ ก็เลยโอเคตัดใจเซ็นปากกา”

“ทางช่องก็มีละครให้แล้วเรียบร้อยครับ แต่ช่วงนี้ มีน จะเคลียร์งานเก่าไปก่อน มีนมีงานเก่าค้างอยู่เยอะมากถึงสิ้นปีนี้ ตอนนี้ถ่ายซีรีส์เยอะมาก อัดๆ มา 4-5 เรื่อง และสิ้นปีนี้จะเปิดกล้องเรื่องแรกครับผม แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นเรื่องอะไร”

“ถามว่ากลัวผู้ชมเขาจะติดภาพเราจากซีรีส์วายมั้ย อืม ไม่ได้กลัวนะ เพราะอย่างแรกเลยมีนรู้สึกว่าถ้าคนจำเราได้ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่คนจำได้ว่า น้องคนนี้เคยเล่นเรื่องนี้ ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในฐานะนักแสดง ว่าเราเล่นแล้วคนจำได้

แต่ว่าเราจะทำยังไงให้คนจำเราเล่นคาแรกเตอร์ใหม่ๆ เรื่องใหม่ๆ ได้มากกว่า ผมไม่ได้กลัวว่าคนจะจำได้ แต่เราต้องพัฒนาตัวเองให้คนจำได้ว่าเราพัฒนาในความสามารถที่หลากหลายและหลายทางครับ”

มีสังกัดแล้ว แต่ความเป็น มีน-แปลน ยังเหมือนเดิม

“(ยิ้ม) คือพอเราเซ็นสัญญาช่อง 3 แล้ว การรับซีรีส์หรือละครช่องอื่นจากด้านนอก เป็นเรื่องยากขึ้นครับ มีนก็อาจจะรับได้แค่ละครของช่องกับภาพยนตร์ครับ ทำให้โอกาสร่วมงานผมว่าก็ยังมีอยู่นะกับพี่แปลน อีเวนต์หรือว่างานแฟนมีตติ้งต่างๆ ก็ยังรับได้ปกติ

เพราะฉะนั้นจะบอกปิดตำนานเลยก็ไม่ได้หรอก ก็มีโอกาสร่วมงานกันเรื่อยๆ แหละ แค่บังเอิญรักจบแล้วทั้ง 2 ซีซั่น ตอนนี้ บังเอิญรัก กำลังออนแอร์ แต่ว่ายังถ่ายไม่เสร็จเลย เหลืออยู่นิดหน่อยครับ”

“ผมกับพี่แปลนก็คุยกันตลอดครับ ก่อนเซ็นสัญญาก็คุยกัน ปรึกษากัน ตอนที่มีหลายช่องมาติดต่อเราก็คุยกันมาตลอดว่าดีมั้ย ก็แปลว่าเขารู้แหละ เขาสนับสนุนนะ มันคือโอกาสที่ดีอีกอันหนึ่ง”

แฟนคลับไม่ปลื้มหลังจรดปากกาเซ็นสัญญาช่อง 3

“ช่วงแรกที่พอรู้ว่าเราเซ็นช่องก็มียินดีด้วย บางคนก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ที่เขาไม่พอใจ ผมคิดว่าเขาไม่เข้าใจมากกว่า ที่ผมไปช่อง 3 แล้วจะปิดประตูตายไปเลย ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้น แต่ก็ยังมีโอกาสได้ร่วมงานกันอยู่

ก็มีคนมาว่าแรงๆ พูดแบบแช่งขอให้ไปไม่รอดจะได้กลับมาร่วมงาน แต่ว่าพอเราได้พูดคุยเล่าออกไปว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง หลายคนก็โอเคขึ้นนะครับ เข้าใจมากขึ้น คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะโอเคนะ”

“คือหลายคนเขาอาจจะตกใจที่เราไปเซ็นสัญญาช่อง แต่คือเขาไม่รู้มาก่อนว่าจริงๆ เราก็รับงานนอกได้เหมือนเดิม พวกอีเวนต์ต่างๆ เราก็เจอกันได้เหมือนเดิม”

“ตอนแรกนอยด์นะ มีนอยด์กับบางคอมเมนต์ สมมติว่าเราเลือกมหาวิทยาลัยที่หนึ่ง หรือการงานที่หนึ่ง ยังไม่ทันจะก้าวไปทำเลย แต่มีคนมาแช่งแล้ว หรือพูดไม่ดี ทั้งๆ ที่มันเป็นก้าวที่เราเลือก ผมว่าทุกคนน่าจะสนับสนุนและคิดว่ามันคือการประสบความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง พอเราได้พูดคุย ก็น่าจะดีขึ้นครับ ก็ทำได้แค่นี้ เราใช้ผลงานพิสูจน์ดีกว่าครับ”

“ส่วนใหญ่มีนจะเจอแฟนๆ ตามอีเวนต์บ้างครับที่ได้พูดคุยกัน หลังๆ ก็จะตามโซเชียลมีเดีย ทวิตเตอร์บ้างครับ เพราะหลังๆ เราไม่ได้เจอกันตามงาน ก็จะมีพูดคุยกันตามทวิตเตอร์ คอยตอบคอมเมนต์บ้าง ปกติ มีน จะไม่ไลฟ์เลย แต่ช่วงหลังมาเรารู้สึกว่าต้องไลฟ์บ้าง พูดคุยกับแฟนคลับเราก็เลยไลฟ์”

จากคนโนเนม เป็นคนมีชื่อเสียง

“อย่างแรกเลยรู้สึกว่า แอบภูมิใจในตัวเองนะที่เราไม่ยอมแพ้ไปซะก่อน คือระหว่างทางมันมีทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ เหนื่อยที่ไม่มีงานแล้วเราจะเสียเงินเข้ามาแคสต์ทำไม เหนื่อยที่ว่าทำงานแล้วก็ไม่ไหว เพราะว่าวันนั้นเราไม่ยอมแพ้ไปซะก่อน คือท้อได้แต่ว่าไม่ถอย ไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้ต่อ ก็เลยเป็นเราทุกวันนี้”

พ่อแม่รู้สึกภูมิใจในตัวเรามั้ย? “เขาไม่เคยพูดนะ แต่ผมก็เชื่อว่าเขาภูมิใจ(ยิ้ม) คือบ้านผมเป็นบ้านที่ขี้อาย ก็จะไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยบอก แต่คือเขาเอาไปพูดได้ไม่อายใคร มีเราเป็นลูก เมื่อก่อนเขาจะไม่พูดเลย

แต่หลังๆ เขาจะพูดนะ ก็ดีใจที่มีเรา คือทุกวันนี้ก็ส่งเงินให้ที่บ้าน พ่อกับแม่เขาอยู่ที่ฉะเชิงเทราเหมือนเดิม ส่วนมีนก็อยู่กรุงเทพฯคนเดียวแล้วส่งเงินให้ที่บ้าน มีแพลนจะทำบ้านแล้วพาครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกัน พ่อกับแม่เปิดร้านเกม เขาก็จะวัยรุ่นหน่อยครับ(ยิ้ม)”

ฝันอยากมีบ้าน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่

“ใช่ๆ คือก่อนที่จะเรียนจบเราก็ฝันว่าอยากจะมีที่อยู่ในกรุงเทพฯ เราก็ซื้อคอนโด มาตอนนี้เราอยากให้พ่อแม่ย้ายมาอยู่กับเราด้วยกัน คือที่ฉะเชิงเทรา บ้านที่พ่อกับแม่อยู่เขาเป็นตึกแถวเปิดร้านเกม เลยอยากจะซื้อบ้าน ก็มีแพลนแต่ไม่รีบครับ รอดูไปก่อนสัก 2-3 ปีครับ”

“คือตอนแรกผมตั้งใจว่าปีนี้อยากทำงานสบายๆ รับทีละเรื่องค่อยๆ ทำไป แต่พอมันเจอโควิด ต้นปีก็ไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่บ้าน ช่วงนั้นทำธีสิสพอดี ไปๆ มาๆ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา นี่แหละครับ แต่พอหมดโควิดก็ถาโถมเข้ามาอัดกัน

งานปีนี้กับปีที่แล้วก็เยอะพอๆ กันเลย ปีที่แล้วจะหนักที่อีเวนต์ต่างประเทศ ปีที่แล้วบินต่างประเทศบ่อยมาก 3 เดือน 30 ไฟลต์ อยู่เมืองไทยค่อนข้างน้อย แต่มาปีนี้ไม่ได้ไปไหนเลย หนักไปทางถ่ายซีรีส์มากกว่า เพราะต้องรีบเคลียร์งานเก่าด้วย และเตรียมจะไปต่อที่ช่อง 3 ด้วย อาจจะเปลี่ยนคาแรกเตอร์ตัวเองให้โตขึ้นมาหน่อย ตอนนี้กำลังกลับมาเล่นฟิตเนสแบบจริงจังอีกครั้งครับ”

ขอบคุณแฟนๆ ที่ซัพพอร์ตกันเสมอมา

“ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนนะครับ ที่รู้จักกันมานานแล้ว หรือเพิ่งรู้จักในบทสัมภาษณ์นี้ ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด เราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีชื่อเสียงและโด่งดังมากขนาดนี้ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการซัพพอร์ตของแฟนๆ ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่คอยซัพพอร์ตเรามาตลอด

และก็หวังว่าทุกคนจะคอยซัพพอร์ตเราในทุกๆ เรื่อง ในการตัดสินใจของเราครับ เราก็ทำเต็มที่เพื่อแฟนๆ เหมือนกัน อยากให้เจอเราบ่อยๆ และเราก็จะทำเต็มที่เพื่อแฟนๆ เหมือนกันครับ”

น่ารักและอ่อนน้อมขนาดนี้ ไม่แปลกเลยที่ใครเห็นต่างก็หลงรัก และ มีน ยังบอกกับเราอีกว่า คนเริ่มรู้จักก็ตอนที่เขาได้มีโอกาสเป็นตัวแทนไปถือธงในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 72 ในปี 2561 ขอให้ มีน ทำสำเร็จดังใจหวังกับเส้นทางที่เลือกไว้นะคะ แฟนๆ ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอจ้า.

ผู้เขียน : โอ้ว...ซาร่า

ช่างภาพ : วัชรชัย คล้ายพงษ์

กราฟิก : Supassara Taiyansuwan