เอ่ยชื่อของ ไมเคิล แจ็คสัน หรือชื่อเต็มๆ ว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน นักร้องนักแต่งเพลงเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน ภาพจำที่คอเพลงทั้งหลายนึกถึงคงหนีไม่พ้นภาพศิลปินหนุ่มเพลงป๊อปเจ้าของท่าเต้นลูบเป้า ท่าเต้นมูนวอล์ก รวมถึงท่าเต้นต้านแรงโน้มถ่วงในตำนาน เจ้าของเพลงฮิตที่คนทั่วโลกต่างร้องตามได้มากมาย

ไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป๊อป กับเรื่องเข้าใจผิดที่ถูกพิสูจน์หลังเสียชีวิต

และยังเป็นเจ้าของสถิติอัลบั้มเพลงที่ขายดีที่สุดในโลกจากกินเนสส์บุ๊ก ที่ยากจะมีใครมาลบล้างตำนานของเขาได้ หากในวันนี้เขายังมีชีวิตอยู่ วันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2020 ที่จะถึงนี้ ไมเคิลจะมีอายุ 62 ปีเต็ม บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ย้อนเรื่องราวชีวิตในอดีตของราชาเพลงป๊อปชื่อดังระดับโลกผู้ล่วงลับมาฝากกัน

...

ที่สุดของผลงานเพลง สถิติที่ยากทำลาย

แรกเริ่มในวงการเพลง ไมเคิลร้องเพลงตั้งแต่อายุ 5 ปี โดยเป็นสมาชิกวง The Jackson Five ในปี 1964 (ภายหลังมีการเปลี่ยนชื่อเป็น The Jacksons) ก่อนจะมีผลงานซิงเกิลในฐานะศิลปินเดี่ยว คือเพลง Got to Be There และปล่อยอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก Got to Be There ในปี 1972

โดยไมเคิลออกอัลบั้มเดี่ยว 4 ชุด (Got to Be There, Ben, Music & Me และ Forever, Michael) ภายใต้สังกัด Motown ก่อนจะย้ายค่ายไปเซ็นสัญญากับค่าย CBS หรือ Epic ในปี 1975 และมีผลงานอัลบั้มชุดที่ 5 Off The Wall ในปี 1979 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขายได้ 20 ล้านชุดทั่วโลก

แต่ที่เป็นจุดพีคที่สุดและเปลี่ยนชีวิตของไมเคิลอย่างมากคืออัลบั้ม Thriller ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดที่ 6 ในปี 1982 อัลบั้มที่มียอดขายมากกว่า 110 ล้านชุด อีกทั้งมิวสิกวิดีโอ Thriller ยังได้รับการจดทะเบียนเข้าสู่หอภาพยนตร์แห่งชาติ โดยหอสมุดรัฐสภาของอเมริกา

เพลงนี้เป็นมิวสิกวิดีโอเพลงแรกและเพลงเดียวที่ได้รับเกียรติยศในฐานะวัฒนธรรมภาพยนตร์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ และในปี 2006 กินเนสส์บุ๊กระบุว่า Thriller เป็นมิวสิกวิดีโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดที่เคยมีมา ด้วยยอดขายกว่า 9 ล้านชุด

จากนั้นเกือบ 5 ปี ไมเคิลออกอัลบั้มชุดที่ 7 Bad ในปี 1987 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากเช่นกัน โดยเป็นอัลบั้มแรกและอัลบั้มเดียวที่มีซิงเกิลบนชาร์ต US Billboard Hot 100 ถึง 5 เพลง มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกมากกว่า 30 ล้านชุด

และในปี 1991 ไมเคิลออกอัลบั้มชุดที่ 8 Dangerous ซึ่งมียอดขายทั่วโลก 32 ล้านชุด เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มประวัติศาสตร์ที่เข้าชาร์ตสัปดาห์ในอันดับ 1 บน Billboard 200 อีกทั้งยังเป็นอัลบั้มแนวนิวแจ็กสวิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล

ปี 1995 ไมเคิลออกอัลบั้มชุดที่ 9 HIStory : Past, Present and Future, Book I ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายเปิดตัวเป็นอันดับ 1 ในหลายประเทศ อาทิ อเมริกา, แคนาดา, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย และติดท็อป 10 ในประเทศสเปน, อินเดีย และเม็กซิโก โดยมียอดขายประมาณ 20-30 ล้านชุดทั่วโลก

...

ก่อนจะออกอัลบั้มชุดที่ 10 Invincible ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายในชีวิตของไมเคิลในปี 2001 มียอดขายทั่วโลก 8-10 ล้านชุด

จากนั้นในเดือน มี.ค. 2009 ไมเคิล แจ็คสัน ได้ประกาศว่าจะมีคอนเสิร์ต This Is It ณ โอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยจะจัดเพียง 10 รอบ แต่เมื่อมีผู้ชมให้ความสนใจอย่างมากจึงได้เพิ่มเป็น 50 รอบ ทำลายสถิติการขายบัตรคอนเสิร์ตมากกว่า 1 ล้านใบภายในเวลาไม่ถึง 2 ชม. ซึ่งเดิมทีจะจัดขึ้นตั้งแต่ 13 ก.ค. 2009 ไปจนถึง 6 มี.ค. 2010 

แต่น่าเสียดายที่ไมเคิลไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจ เสียชีวิตลงด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2009 ก่อนจะถึงคอนเสิร์ตเพียงไม่กี่วัน โดยมีอายุเพียง 50 ปีเท่านั้น

หลังจากการเสียชีวิต ค่าย Epic ก็มีการปล่อยซิงเกิลและอัลบั้ม This Is It ของไมเคิล แจ็คสัน ในเดือน ต.ค. 2009 และมีภาพยนตร์สารคดี Michael Jackson’s This Is It ในเดือนเดียวกัน

ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดีคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาล ด้วยรายได้มากกว่า 252 ล้านเหรียญทั่วโลก ก่อนจะปล่อยอัลบั้ม Xscape ในปี 2014 โดยเป็นอัลบั้มหลังการเสียชีวิตของไมเคิล ที่รวมเพลงของไมเคิลที่ไม่เคยวางจำหน่าย

โดยในบรรดาอัลบั้มเพลงของไมเคิล มี 5 อัลบั้มที่ติดอันดับอัลบั้มเพลงทั่วโลกยอดขายสูงสุดตลอดกาล คือ Off the Wall (1979), Thriller (1982), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory (1995) โดยอัลบั้ม Thriller เป็นอัลบั้มเพลงชุดเดียวของโลกที่มียอดขายมากกว่า 100 ล้านชุด

นอกจากนี้ไมเคิลเป็นศิลปินป๊อปชายที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในโลก อีกทั้งในปี 2016 นิตยสาร Forbes ระบุว่า ไมเคิล แจ็คสัน เป็นศิลปินที่มีรายได้สูงสุดหลังเสียชีวิตในแต่ละปี นับตั้งแต่วันที่เสียชีวิต

ท่าเต้นสุดฮิตที่กลายเป็นเอกลักษณ์

อีกหนึ่งความสำเร็จที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของไมเคิล มีทั้งท่าเต้นลูบเป้าอันโด่งดังที่เห็นได้จากในมิวสิกวิดีโอเพลง "Bad" ซึ่งไมเคิลเคยให้สัมภาษณ์กับ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรชื่อดัง ในรายการ The Oprah Winfrey Show เมื่อปี 1993 ถึงท่าเต้นนี้ว่า มันเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เมื่อตอนที่กำลังเต้นไปกับจังหวะดนตรีที่ปั่นอารมณ์ ก็เลยคว้าจับตัวเอง มันเป็นดนตรีที่ผลักดันให้ตนทำเช่นนั้น

ส่วนท่าเต้นมูนวอล์ก (Moon Walk) ท่าเต้นที่เหมือนกำลังเดินไปข้างหน้า แต่จริงๆ กำลังเดินถอยไปข้างหลัง มีให้เห็นครั้งแรกในการแสดงเพลง “Billie Jean” ในอัลบั้ม Thriller เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 1983 ในงานฉลองครบรอบ 25 ปีของค่ายโมทาวน์

เดิมทีท่าเต้นนี้รู้จักกันในชื่อท่าแบ็กสไลด์ โดย บิลลี เบลี นักเต้นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เป็นคนเต้นในปี 1943 ในภาพยนตร์เรื่อง Cabin In the Sky และท่านี้ได้รับความนิยมหลังไมเคิลนำมาเต้นจนมีแฟนๆ แห่เต้นตามกันทั่วโลก

และอีกหนึ่งท่าเต้นที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก คือท่าต้านแรงโน้มถ่วง (anti-gravity lean) ของไมเคิลที่ปรากฏในมิวสิกวิดีโอเพลง Smooth Criminal (อัลบั้ม Bad) ในภาพยนตร์ Moonwalker ปี 1988

ซึ่งเป็นท่าที่ไมเคิลและนักเต้นโน้มตัวไปข้างหน้าประมาณ 45 องศา โดยใช้หมุดยึดกับพื้นและนำเท้าเข้าไปเกี่ยวกับอุปกรณ์เพื่อยึดตัวนักแสดงไว้กับพื้น ซึ่งในการแสดงสดในคอนเสิร์ต ไมเคิลแก้ปัญหาด้วยการออกแบบรองเท้าต้านแรงโน้มถ่วง ซึ่งเป็นรองเท้าพิเศษที่มีปลอกพยุงข้อเท้า และมีกลไกซ่อนอยู่ใต้เวที โดยไมเคิลจดสิทธิบัตรรองเท้าดังกล่าวเมื่อปี 1993

รางวัล-เกียรติยศแห่งความสำเร็จ

ไม่ใช่แค่ความสำเร็จในเรื่องชื่อเสียงเงินทองเท่านั้น ไมเคิล แจ็คสัน คว้ารางวัลต่างๆ ในวงการเพลงมาแล้วหลายรางวัล อาทิ รางวัล World Music Awards ในฐานะศิลปินป๊อปชายที่มียอดขายมากที่สุดในสหัสวรรษ, รางวัลศิลปินป๊อปแห่งสหัสวรรษจากเวที Bambi Awards, รางวัล American Music Awards 26 รางวัล (และได้รับรางวัล Artist of the Century จากเวทีนี้ด้วย), รางวัล Grammy Award 13 รางวัล ฯลฯ

โดยอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด Thriller (1982) ทำให้ไมเคิลคว้ารางวัลแกรมมี่อวอร์ด 7 รางวัล และรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส 8 รางวัล จากอัลบั้มนี้อัลบั้มเดียว อีกทั้งเป็นศิลปินที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับ 1 บน US Billboard ในทุกทศวรรษตั้งแต่ยุค 60-90

ไมเคิล แจ็คสัน ยังเป็นศิลปินที่มีชื่อจารึกตามหอเกียรติยศ รวมไปถึงสถานที่สำคัญต่างๆ มากมาย อาทิ บรรจุชื่อบน Hollywood Walk of Fame 2 ครั้งในฐานะสมาชิก The Jackson Five และศิลปินเดี่ยวในปี 1984, บรรจุชื่อใน The Rock and Roll Hall of Fame and Museum 2 ครั้ง ในฐานะสมาชิก The Jackson Five ปี 1997 และศิลปินเดี่ยวในปี 2001 ฯลฯ

อีกทั้งยังเคยได้รับรางวัลพิเศษ “Point of Light Ambassador” จากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จากการเชิญเด็กด้อยโอกาสไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นศิลปินคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้

เรื่องที่หลายคนยังเข้าใจผิด

ไมเคิล แจ็คสัน เป็นคนบันเทิงระดับโลกคนหนึ่งที่ผจญกับข่าวคราวต่างๆ มากมาย และหนึ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นร้อนมาตลอดคือเรื่องสีผิวของเขา ซึ่งในวัยเด็กไมเคิลเป็นคนผิวสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มเติบโตขึ้น สีผิวของเขาเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จนเป็นสีผิวขาวซีด ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าไมเคิลฟอกสีผิวตนเองให้ขาวขึ้น

และถึงแม้ไมเคิลจะตอบคำถามประเด็นนี้ด้วยเพลง “Black or White” (อัลบั้ม Dangerous) ซึ่งมีท่อนหนึ่งที่ร้องว่า "หากคิดจะเป็นแฟนกัน ก็ไม่สำคัญหรอกว่าจะผิวขาวหรือผิวดำ" (But, if you're thinkin' about my baby It don't matter if you're black or white) แต่ผู้คนก็ยังคงตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ว่าหากไม่แคร์เรื่องสีผิวจริง แต่ทำไมไมเคิลถึงเปลี่ยนผิวตัวเองเป็นคนผิวขาว 

จนกระทั่งไมเคิลให้สัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ในปี 1993 ว่าตนเองเป็นโรคด่างขาว (Vitiligo) แต่เมื่อคนยังคงกุเรื่องต่างๆ ว่าตนไม่อยากเป็นในสิ่งที่ตนเป็น ทำให้รู้สึกแย่ เพราะมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและควบคุมไม่ได้

ซึ่งโรคด่างขาวเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของสีผิว เพราะเซลล์สร้างเม็ดสีถูกทำลายจนหายไป ส่งผลให้ผิวหนังเกิดรอยขาวขึ้น โดยไมเคิลใช้การแต่งหน้าเพื่อกลบสีผิวและทำการรักษาไปพร้อมกัน 

แต่การรักษาให้กลับไปเป็นสีผิวแบบเดิมไม่เป็นผลและเป็นมากขึ้น จึงฟอกสีผิวเพื่อให้ผิวที่ปกติมีสีใกล้เคียงกับผิวที่เป็นโรคด่างขาว ทำให้แพ้แสงแดดอย่างรุนแรง เพราะผิวไม่มีเม็ดสีช่วยป้องกันแสงแดด จึงใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว แว่นกันแดด หมวก อยู่เป็นประจำ

แต่ดูเหมือนก็ยังมีคนที่ปักใจเชื่อว่าไมเคิลฟอกสีผิวเพราะไม่อยากเป็นคนผิวสีอยู่ดี ประกอบกับการศัลยกรรมใบหน้า ทำให้หลายคนหาว่านักร้องดังไม่รักในชาติกำเนิดตัวเอง ทั้งที่จริงเป็นเพราะอาการป่วยที่ทำให้เปลี่ยนสีผิวเท่านั้น

จนกระทั่งไมเคิลเสียชีวิต เมื่อมีการชันสูตรศพจึงมีการยืนยันว่าไมเคิลป่วยโรคนี้จริง และไมเคิลใช้ยาบรรเทาอาการโรคนี้ โดยพบหลอดยา Benoquin และ Hydroquinone อยู่ในของใช้ส่วนตัวด้วย

ผู้ทรงอิทธิพลวงการเพลง แรงบันดาลใจของศิลปินดัง

ไมเคิล แจ็คสัน ถือเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการเพลงระดับโลก เป็นผู้ที่ทำลายกำแพงอุปสรรคเรื่องเชื้อชาติและสีผิว โดยจุดเริ่มต้นมาจากการที่ค่าย CBS (หรือ Epic) ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง “Billie Jean” ซึ่งในตอนแรกช่องเอ็มทีวีปฏิเสธ เพราะนโยบายเรื่องการเหยียดผิว

แต่ด้วยการกดดันของต้นสังกัดของไมเคิล จึงทำให้เพลงนี้ได้ออกอากาศและได้รับความนิยม ก่อนที่จะปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง "Thriller" ซึ่งมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่เป็นเหตุการณ์พลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมดนตรี เพราะเป็นการรวมกันในการสร้างภาพยนตร์และเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นมิวสิกวิดีโอที่มีอิทธิพลลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมสมัยนิยม

นอกจากนี้ไมเคิลยังเป็นศิลปินที่มีผลงานเพลงที่โดดเด่นทั้งในด้านการร้อง ดนตรี การเต้น มีอิทธิพลต่อศิลปินระดับโลกมากมาย อาทิ มาดอนน่า, บริตนีย์ สเปียร์ส, เซลีน ดิออน, มารายห์ แครี, บรูโน่ มาร์ส, คริส บราวน์, บียอนเซ่ ฯลฯ

รวมไปถึงในประเทศไทย ไมเคิลยังเป็นศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจของศิลปินดังหลายคน อาทิ เบิร์ด ธงไชย, บี้ สุกฤษฎิ์, ติ๊ก ชิโร่, เจมส์ เรืองศักดิ์, เจ เจตริน, ทาทา ยัง, ใหม่ เจริญปุระ, ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง, กอล์ฟ-ไมค์, แบงค์ วงแคลช ฯลฯ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟนๆ ที่ชื่นชอบไมเคิลจากทุกมุมโลก โดยเฉพาะในช่วงที่ไมเคิลโด่งดังสุดๆ เด็กๆ ในยุคนั้นมักจะร้องและเต้นเพลงของไมเคิลเป็นจำนวนมาก

ไมเคิล แจ็ค​สัน และ​ทีม​งาน​ เดินทาง​ไป​ที่​โรงเรียน​สอน​คน​ตาบอด​กรุงเทพ ถ.ราชวิถี เพื่อนำ​ของขวัญ​ไป​มอบ​ให้​แก่​​เด็ก​นักเรียน​ตาบอด เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2539
ไมเคิล แจ็ค​สัน และ​ทีม​งาน​ เดินทาง​ไป​ที่​โรงเรียน​สอน​คน​ตาบอด​กรุงเทพ ถ.ราชวิถี เพื่อนำ​ของขวัญ​ไป​มอบ​ให้​แก่​​เด็ก​นักเรียน​ตาบอด เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2539

และอีกหนึ่งบทบาทที่ชัดเจนคือการช่วยเหลือเด็กและสังคม โดยก่อตั้งมูลนิธิ Heal The World Foundation ตามชื่อเพลง "Heal the World" ในอัลบั้ม Dangerous (1991) โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่เด็กๆ ทั่วโลก เขามักจะเดินทางไปมอบเงินให้กับมูลนิธิต่างๆ ในแต่ละประเทศที่เขาไปเล่นคอนเสิร์ต โดยเมื่อครั้งที่ไมเคิลเดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2536 (1993) และครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2539 (1996) ไมเคิลก็ได้บริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลต่างๆ รวมทั้งเข้าเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและโรงเรียนสอนคนตาบอดด้วย

ไมเคิล แจ็คสัน เดินทาง​มา​มอบ​เงิน​สมทบ​ทุน​มูลนิธิ นสพ.​ไทย​รัฐ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2539
ไมเคิล แจ็คสัน เดินทาง​มา​มอบ​เงิน​สมทบ​ทุน​มูลนิธิ นสพ.​ไทย​รัฐ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2539

เมื่อโลกต้องสูญเสียราชาเพลงป๊อปอย่างไม่มีวันกลับจึงสร้างความเศร้าโศกเสียใจต่อคนทั่วโลก เพราะเป็นศิลปินชื่อดังระดับโลกที่ทรงอิทธิพลในวงการเพลงระดับโลกที่แท้จริง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี บทเพลงต่างๆ รวมไปถึงท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของไมเคิล ก็ยังเป็นที่จดจำและถูกพูดถึงเสมอจนถึงปัจจุบัน.

ผู้เขียน : Penguin บินได้
กราฟิก : Taechita Vijitgrittapong
ภาพ : นสพ.ไทยรัฐ, อินเทอร์เน็ต