แม้ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 สถานการณ์ช่องทีวีดิจิทัลของไทยจะโดนโควิด-19 เล่นงานจนสั่นสะเทือนทั้งวงการเพราะเม็ดเงินโฆษณาจากสปอนเซอร์ลดลง สินค้าต่างๆ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดงบในการซื้อโฆษณาจึงน้อยลง
รายงานข่าวระบุ ในช่วงวิกฤติโควิด เม็ดเงินโฆษณาลดลง 10% จาก 10,756 ล้านบาทเหลือ 9,700 ล้านบาท แต่ในวิกฤติดังกล่าวกลับเป็นโอกาสของช่องทีวีดิจิทัลต่างๆ เพราะพบว่า คนดูโทรทัศน์เพิ่มขึ้น 15% เรตติ้งเฉลี่ยทีวีดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 20%
ช่องไหนยืนหนึ่ง!! ไพรม์ไทม์เวลาทองเรียกเรตติ้ง
ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ยังยืนหนึ่งในการเรียกเรตติ้ง แม้พฤติกรรมผู้บริโภคอาจจะเปลี่ยนไป การดูโทรทัศน์ถูกปรับตามไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล แต่ "ไพรม์ไทม์" ก็ยังเป็นช่วงเวลาทองที่จะเรียกเรตติ้งให้แต่ละช่องทีวีดิจิทัลได้เป็นอย่างดี
หลายคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าเวลาไพรม์ไทม์ๆ ที่ชอบพูดถึงกันนี่คือช่วงเวลาไหนกันแน่ ไพรม์ไทม์ (prime time) คือ ช่วงเวลายอดนิยม สำหรับวงการโทรทัศน์คือช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุด เป็นช่วงเวลาที่สถานีโทรทัศน์ทำรายได้จากค่าโฆษณามากที่สุด
สำหรับเวลาไพรม์ไทม์ในไทย คือช่วงเวลา 19.00-22.30 น. ของทุกวัน และเนื้อหาที่ได้รับความนิยมส่วนมากในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ได้แก่ ละคร รายการข่าว และรายการวาไรตี้
และความที่เป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่มีผู้ชมมากที่สุด และช่องทำรายได้จากค่าโฆษณาได้มากที่สุด วันนี้จึงชวนมาดูกันหน่อยว่า ช่องไหนทำได้ดีบ้างในช่วงเวลานี้
ซึ่งหากเปิดเรตติ้งทีวีดิจิทัลในปี 2563 ที่เดินทางมา 7 เดือน จาก 18 ช่อง 10 อันดับช่องทีวีดิจิทัลที่ติดอันดับ TOP ในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ 19.00-22.30 น. มีดังนี้
1.ช่อง 7 5.686
2.ช่อง 3 3.147
3.ไทยรัฐทีวี 2.658
4.โมโน 29 2.497
5.อมรินทร์ทีวี 2.271
6.ช่องวัน 1.884
7.เวิร์คพอยท์ทีวี 1.693
8.ช่อง 8 0.680
9.เนชั่นทีวี 0.519
10.โมเดิร์นไนน์ทีวี 0.473
...
ที่มา : นีลเส็น
ดูที่ชาร์ตเรตติ้งเฉลี่ย 7 เดือนแล้ว ก็แน่นอนไม่พลิกโผว่า เรตติ้งในช่วงไพรม์ไทม์อันดับหนึ่งยังตกเป็นของยักษ์ใหญ่เจ้าเดิม "ช่อง 7" ที่ยังอยู่ในแรงกิ้งอย่างเหนียวแน่น ได้เรตติ้งไป 5.686 ทิ้งห่างอันดับสองอย่างอีกช่องยักษ์ใหญ่ "ช่อง 3" พอดู
จริงๆ การรั้งอันดับสองไม่ใช่เรื่องน่าตกใจของช่อง 3 เพราะเรตติ้งเรียงอันดับแบบนี้มาเนิ่นนาน ช่อง 7 ที่หนึ่ง ช่อง 3 ที่สอง แต่สิ่งที่น่ากังวลของช่อง 3 น่าจะเป็นตัวเลขเรตติ้งที่ช่อง 7 ฉีกทิ้งห่างเกินไป โดยช่อง 3 ได้ 3.147 ห่างจากช่อง 7 ที่ได้ 5.686 ห่างกันถึง 2.539 ซึ่งอีก 5 เดือนหลังของปีต่อจากนี้ช่อง 3 จะต้องเร่งสปีดตัวเองขยับช่องว่างให้เข้ามาใกล้ที่สุด ไม่ใช่โดนทิ้งห่างไปอีก
มาดูที่อันดับสาม งานนี้อันดับมีเปลี่ยนเล็กน้อย ที่ผ่านมาช่อง "โมโน 29" ที่มีจุดแข็งอย่างภาพยนตร์ฮอลลีวูดระดับบล็อกบลัสเตอร์ยืนระยะอยู่ในอันดับสามแบบไม่ค่อยมีใครก้าวขึ้นมาท้าชิงเท่าไร แต่ 7 เดือนแรกของปี 2563 "ไทยรัฐทีวี" ก้าวขึ้นมาคว้าอันดับ 3 ไปครอง ได้เรตติ้ง 2.658 ห่างจากช่อง 3 อันดับสองเพียง 0.489 ขณะที่โมโนทีวีอันดับสี่ ก็จี้มาที่ 2.497
ขณะที่อันดับห้าตกเป็นของ "อมรินทร์ทีวี" เรตติ้งอยู่ที่ 2.271 ซึ่งที่ผ่านมา สงครามข่าวของช่องอมรินทร์ทีวีและไทยรัฐทีวีถูกจับตามองว่าขับเคี่ยวกันมาตลอด เพราะรายการข่าวถือเป็นไม้เด็ดช่วงไพรม์ไทม์ทั้งสองช่อง แต่สุดท้ายเมื่อถึงเวลาทีเด็ดทีขาด ไทยรัฐทีวี ฉีกหนีชนะ อมรินทร์ทีวี ไปด้วยเรตติ้ง 2.658 ต่อ 2.271
ล้วงลึก เจาะข้อมูล ว่าด้วยเรตติ้งไทยรัฐทีวี
การก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสามบนชาร์ตเรตติ้งช่วงเวลาไพรม์ไทม์ในช่วง 7 เดือนแรกของ "ไทยรัฐทีวี" หากลงลึกลงไปดูเรตติ้งรายเดือน ในเดือน ก.ค. ไทยรัฐเรตติ้งอยู่ที่ 3.115 จากเดือน ม.ค. ได้ 1.990 ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนเติบโตขึ้นถึง 57%
จุดนี้แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลดีต่อเรตต้ิงช่องไทยรัฐทีวี เพราะมีอัตราการเติบโตของเรตติ้งในเส้นไพรม์ไทม์สูงขึ้นอย่างโตเนี่อง โดยสามารถทำได้ถึง 2.539 ในเดือน มี.ค. และโตเป็น 2.894 ในเดือน เม.ย. ซึ่งในเดือนเม.ย.ที่คนไทยอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ไทยรัฐทีวี มีเรตติ้งเป็นอันดับสองในชาร์ตเรตติ้งในช่วงเวลาไพรม์ไทม์
ซึ่งรายการที่ทำเรตติ้งยืนหนึ่งในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของ ไทยรัฐทีวี คือรายการ “ไทยรัฐนิวส์โชว์” โดยในวันที่ 19 มิ.ย. สามารถทำเรตต้ิงได้สูงสุดของช่องอยู่ที่ 4.488 จากข่าว “หมอปลาขึ้นภูเหล็กไฟ จุดพบร่างน้องชมพู่”
...
เจาะลึกขยี้กันลงไปอีก! ย้อนไปในเดือน ม.ค.63 เรตติ้งไทยรัฐทีวีในช่วงไพรม์ไทม์อยู่ที่อันดับห้า ในเดือน ก.พ. อันดับขยับมาอยู่ที่สี่ เดือน มี.ค.คงที่อันดับสี่ เดือน เม.ย.พุ่งขึ้นมาถึงอันดับสอง ก่อนที่ พ.ค.จะมาอยู่อันดับสาม และยืนระยะคงที่ได้ถึงเดือน ก.ค.ส่งให้ค่าเฉลี่ย 7 เดือนแรกของปี 2020 เรตติ้งช่อง 32 ไทยรัฐทีวี รั้งอยู่อันดับสาม
และหากลงลึกไปยังที่มาของเรตติ้งจะพบว่า ไทยรัฐทีวี ก้าวสู้จุด “ป่าล้อมเมือง” เข้าไปทัชใจคนต่างจังหวัดได้เรียบร้อย เพราะช่องไทยรัฐทำเรตติ้งได้ดีในต่างจังหวัดทั้งตัวเมือง (Urban) และชนบท (Rural)
โดยพิจารณาตัวเรตต้ิงในไตรมาสแรกของปี 2020 ในวันธรรมดาทำเรตติ้งกทม.ได้ 2.2 /ตัวเมือง 2.30 ชนบท 2.15 และในไตรมาสสอง กทม.ได้ 2.9 ตัวเมือง 3.40 ชนบท 3.00
ไทยรัฐทีวีมีฐานผู้ชมกลุ่มในเมืองและชนบทเติบโตสูงขึ้นในช่วงไพรม์ไตรมาสสอง ทั้งวันธรรมดาและสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะวันธรรมดา เติบโตจากไตรมาสแรก สูงที่สุดในกลุ่มคนเมืองถึง 113% รองมาคือ ชนบทที่เติบโต 90% และกทม.เติบโตขึ้น 92% ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเสนอข่าว “น้องชมพู่” ซึ่งเป็นประเด็นที่คนไทยให้ความสนใจ
...
จุดแข็งแต่ละช่อง สร้างความต่างโกยเรตติ้ง
จุดแข็งที่เป็นจุดขายของแต่ละช่อง เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจในการโกยความนิยม ถ้ามองจาก Top 5 ในชาร์ตเรตติ้ง ช่อง 7 กับช่อง 3 ถือเป็นช่องใหญ่ที่ยืนหยัดในสังคมไทยในมาหลายทศวรรษ จุดยืนของช่องในใจผู้ชมแข็งปั๋ง การยืนหยัดในเรตติ้งอันดับหนึ่งและอันดับสองเป็นเรื่องที่โค่นยาก ก็คงต้องถือเป็นโจทย์ใหญ่ของช่องดิจิทัลอื่นๆ ที่ต้องพยายามขึ้นไปเบียดทั้งสองช่องให้ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ แทรกซึม
แต่หากดูที่อันดับสาม สี่ ห้า จะเห็นเลยว่าช่องที่มีจุดยืนของแบรนด์ที่ชัดเจนจะรอด! ภาษาการตลาดก็คือช่องต้องมี Brand Positioning ชัดเจน วางตำแหน่งตัวเองแตกต่างกับช่องคู่แข่ง ต้องมีจุดยืนของช่องชัดว่า ถ้าผู้ชมนึกถึงช่องนี้ ต้องนึกถึงอะไร
ไทยรัฐทีวี=ข่าว นึกถึงข่าว เวลาเกิดเหตุการณ์สถานการณ์ร้อน นึกถึงช่องไทยรัฐทีวี
โมโนทีวี=หนัง หาหนังหาซีรีส์ดู ต้องนึกถึงช่องโมโน
อมรินทร์ทีวี=พุทธอภิวรรณ ทุบโต๊ะข่าวของ พุทธอภิวรรณ คือสิ่งที่ผู้ชมนึกถึงอมรินทร์ทีวี
แน่นอน หลายช่องอาจเน้นความหลากหลาย ละครก็จะเอา รายการวาไรตี้ก็ด้วย ข่าวก็หวังแบ่งชิ้นเค้กด้วยคน แต่สุดท้ายมันกลายเป็นเป็ด ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่สุดสักทาง อาจถึงเวลาที่แต่ละช่องต้องเริ่มสร้างจุดขายให้ตัวเองให้แข็งแกร่งสักเรื่อง อยู่ตัวแล้วจึงค่อยๆ ขยายไปยังฐานอื่น
เพราะไม่งั้น อาจกลายเป็นอยากได้หมดแต่อดทุกทาง.
ผู้เขียน : ดินสอเขียนฟ้า
กราฟิก : Supassara Taiyansuwan
...