กลับมาอีกครั้งกับซิงเกิ้ลที่ 11 ของ UrBoyTJ (ยัวร์บอยทีเจ) หนุ่มฮิพฮอพสุดคูล ที่ปล่อยซิงเกิ้ลส่วนตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละเพลงที่เขาทำนั้นก็ได้แรงบันดาลใจต่างๆ กัน ล่าสุดกับซิงเกิ้ล "รังเกียจกันไหม" เป็นเพลงที่เปิดเผยตัวตนของตนเอง ซึ่งทีเจเคยออกมาบอกว่า ตนเองเป็นโรคซึมเศร้า และเขาก็ได้เอาเรื่องราวของตนเองที่ผ่านมา มาแต่งเป็นเพลง
ทีเจ ได้เล่าอีกมุมของโรคซึมเศร้าที่เขาเป็น ให้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ได้ฟังว่า มันเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ช่วงที่ไม่มีงาน ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง เขารู้สึกว้าเหว่ มองไปทางไหนก็รู้สึกไม่มีใครรัก จนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายก็กลับมาดึงสติได้ แล้วก็แต่งเพลงออกมา จนดังมาถึงทุกวันนี้...
มาเป็นนักร้องอิสระนานหรือยัง? “2 ปีแล้วครับ ก่อนหน้านั้นอยู่กับค่ายอาร์เอสครับ” ที่มาของเพลง รังเกียจกันไหม? “สำหรับเพลงนี้เป็นเพลงที่เขียนขึ้นมาจากชีวิตของผมจริงๆ ในด้านหนึ่งที่คนยังไม่เคยเห็นมาก่อน หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมเป็นคนเฮฮาสนุกสนาน จากเพลงหลายๆ เพลงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น เขาก่อน, วายร้าย
...
แต่พอมาถึงเพลงนี้ ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ต่างกันออกไปจากอันนั้น เพราะรู้สึกว่าเราก็โตขึ้นแล้ว และเราอยากจะสื่อสารอีกมุมหนึ่ง ที่คนอยากจะเห็น และไม่เคยได้ฟัง
ผมก็อยากจะฝากเพลงนี้ไว้ให้ทุกคนได้ฟังกันด้วย เพราะว่าเป็นเพลงที่ทำให้หลายๆ คนได้เห็นผมอีกด้านหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สำหรับมิวสิกวิดีโอก็สำคัญสำหรับผมมาก เพราะมันเป็นการอธิบายโรคซึมเศร้าของผมอย่างชัดเจน ทุกการกระทำของมิวสิกวิดีโอคือการกระทำที่ผมเคยทำจริงๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการร้องไห้ การทำลายข้าวของต่างๆ อยากให้ทุกคนเข้าไปดู จะทำให้ทุกคนเข้าใจผมมากขึ้นครับ”
ตัวทีเจเองเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ตัวเราเพิ่งเปิดเผยออกมา? “คือผมเป็นมา 2 ปีแล้วครับ แต่ผมไม่พูด เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปพูด หรือว่าประกาศให้ใครรู้ ถ้าไม่มีใครถาม ผมก็ไม่บอก มันคืออะไร แต่ว่ามันมีช่วงหนึ่งที่มีกระแสดราม่ามากมายต่างๆ เข้ามา ผมก็เลยบอกไปว่าเหตุผลที่ผมคิดมากหรือว่าโมโหร้ายเพราะอะไร คือตอนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า”
ที่เราเปิดเพราะตอนนั้นนักร้องนำวงลินคิน พาร์ค ฆ่าตัวตายด้วยโรคซึมเศร้ารึเปล่า? “ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่า ผมพูดก่อนหรือหลังที่เขาฆ่าตัวตาย แต่ผมออกมาพูดตอนที่เขาฆ่าตัวตายว่า ผมเข้าใจความรู้สึกของเขา รู้สึกเสียใจเพราะว่าผมก็เคยผ่านจุดนั้นมาเหมือนกัน แต่ว่าผมโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่”
เราเคยมีคิดฆ่าตัวตายไหม? “เคยครับ ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เอาแล้วครับ จนแอดมิทโรงพยาบาลครับ” อะไรที่ทำให้เราคิดไปถึงจุดนั้นได้? “คือการเป็นโรคซึมเศร้ามันเป็นโรคที่หลายคนมองว่ามันไม่ร้ายแรง แต่สำหรับผมมันร้ายแรงเหมือนโรคมะเร็งหรือโรคอื่นๆ เลย
เพราะว่าเวลาเราเป็นโรคซึมเศร้าแล้วการอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่ด้วย มันจะเฟลทุกๆ อย่าง เอาเก็บมาคิดรวมๆ กันคิดมาก จนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองไร้ค่า แล้วก็แบบจะอยู่ไปทำไม ทำไมต้องอยู่ ไม่มีใครรักเราเลย ทำไมทุกคนต้องปล่อยให้เราอยู่คนเดียว เครียดกับปัญหาทุกอย่าง จนทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากอยู่แล้ว”
ตอนนั้นเรามีงานไหม? “ไม่มีครับ เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังหมดสัญญากับค่ายใหญ่ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อกับชีวิต” อะไรเป็นเหตุทำให้ลุกขึ้นมาแต่งเพลง ออกอัลบั้ม ออกซิงเกิ้ลเอง? “ก็หลังจากที่แอดมิทโรงพยาบาลแล้วผมก็ไปหาจิตแพทย์ที่เขารักษาโรคซึมเศร้าโดยเฉพาะ แล้วก็เริ่มทำการรักษาขึ้นมา ประมาณช่วงเดือนแรกก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้วก็เริ่มรู้สึกจะมองเห็นทางที่จะไปต่อ ก็เลยเริ่มที่จะกลับมาทำเพลงใหม่”
...
ที่ช่วงนั้นเราไม่มีงานเพราะค่ายเก่าดองงานด้วยรึเปล่า? “ใช่ครับ” และวงก็แตกแยกไป? “ใช่ครับ คือผมเป็นโรคซึมเศร้ามา 2 ปีแล้วครับ จนปัจจุบันและตอนนี้ก็ไม่หาย มันไม่หายขาดครับ เพราะว่ามันต้องรักษาไปเรื่อยๆ มันดีขึ้นแต่มันไม่หายขาด” อะไรที่ช่วยขับกล่อมจิตใจเราให้ดีขึ้น? “หลายๆ อย่างมันเป็นองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ เพื่อนที่เราคบหา หรือว่ายาที่เรากิน”
มีเคยมุ่งคิดที่จะไปพึ่งยาเสพติดไหม? “ไม่มีครับ ผมไม่เคยครับ แม่ผมเคยพูดไว้ว่า ลูกจะทำอะไรก็ได้ แต่แม่ขอว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเท่านั้นพอ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาขอในชีวิต และผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปยุ่งกับมัน ผมรู้สึกรักแม่ผมมากกว่าที่จะเอาชีวิตไปวุ่นวายกับสิ่งที่ไร้สาระ”
บางคนอาจจะมองว่า เราเป็นนักร้อง แล้วอาจจะไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ช่วยบอกอะไรหน่อย ให้เขาเข้าใจ? “ผมว่ามันไร้สาระครับ ผมว่ามันแบบไม่เห็นเกี่ยวเลยว่า การเป็นศิลปิน หรือการเป็นอาร์ตติส หรือการเป็นอะไร จะต้องมาใช้สารเสพติด ผมก็บอกเลยว่า ตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้ที่ผมทำมางานศิลปะของผม ไม่ว่าจะเพลงหรืออะไรก็ตาม ผมไม่ได้ใช้ยาหรืออะไรช่วย
...
นอกจากยาที่จิตแพทย์ผมสั่งให้กินทุกคืน มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่า ว่าเราสามารถที่จะครีเอตงานออกมาได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งอย่างอื่นมั้ย ผมก็เข้าใจคนที่ทำงานมานาน ตัน คิดอะไรไม่ออก ก็ต้องหาทางเลือกใหม่ที่จะหาช่องทางให้ตัวเอง ผมก็เข้าใจเขา ผมไม่ได้เป็นจุดนั้น”
การแต่งเพลงของเรา อะไรเป็นแรงบันดาลใจ? “คือสำหรับผมนะครับ เรื่องรอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นสังคม หรือคนรัก อะไรต่างๆ มันเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงของเราหมดเลย คือวันนึงถ้าเรารู้สึกไม่ว่าจะเขียนเพลงเกี่ยวกับอะไรดี เราก็จะไปพบเจอเพื่อนหรือสังคมใหม่ๆ เพื่อที่จะเรียนรู้ว่าแบบคนในสังคมเขาใช้ชีวิตยังไง คิดยังไง ทำอะไร ก็เลยไม่รู้สึกว่ามันยากอ่ะ แค่เราต้องเรียนรู้เท่านั้นเอง”
เพลงที่ออกมาแต่ละเพลง ดังหมดเลย ถือว่าประสบความสำเร็จไหม? “ก็ถือว่าระดับหนึ่งครับ ผมถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง ยังอยากที่จะไปให้ไกลมากกว่านี้” ความฝันสูงสุดของเราคืออะไร? “ก็คืออยากจะออกอัลบั้มที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แล้วก็ขายทั่วโลกเลย ก็เริ่มทำไว้บ้างแล้วครับ”
...
รอยสักเราเยอะ มีสักมาเพิ่มไหม? “ไม่มีครับ อันเก่าหมดเลย” บางคนอาจจะมองว่า การมีรอยสักทำให้ดูน่ากลัวเกินไป แต่ตัวเรามองว่ายังไง? “มองเป็นศิลปะครับ เหมือนการที่คนชอบถ่ายรูป การที่ศิลปินชอบวาดภาพลงบนกระดาษ แต่ผมชอบวาดลงบนตัวของตัวเอง และรู้สึกว่ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร ก็เลยชอบและทำครับ”
มีคนทักท้วงไหมว่ามันเยอะเกินไปนะ? “มีแม่ครับ ที่บอกว่าเยอะ แต่หลังๆ เขารับได้แล้วครับ ช่วงแรกเขาเป็นคนหัวโบราณ เขาก็ไม่ค่อยชอบแบบนี้ แต่นานๆ ไปเขาก็เข้าใจว่ามันเป็นศิลปะ มันเป็นสิ่งที่เราชอบ เราอยากทำและในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ามันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ไม่ได้ทำให้สังคมดีขึ้นหรือแย่ลง แค่แบบมันอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นเองครับ ซึ่งแต่ละอันมันมีความหมายนะครับ มันเป็นช่วงเวลาของผม ณ ช่วงนั้นที่เรารู้สึกว่าเรากำลังอยากบอกอะไรกับตัวเอง”
ตอนที่เราเป็นโรคซึมเศร้า แม่เรารู้ไหม? “ผมไม่ได้บอกครับ เพราะว่ากลัวเขาเครียด กลัวเขาคิดมาก ผมเลยไม่ได้บอกอะไร ผมแยกกันอยู่กับแม่ครับ แม่ผมอยู่อังกฤษ ผมก็เลยไม่ได้บอก และเขาก็ไม่ได้สังเกต” เราอยู่ที่เมืองไทยคนเดียว? “ใช่ครับ” ใช้ชีวิตยังไง เหงาบ้างไหม? “ก็นิดหน่อยครับ แต่ตอนนี้ดีขึ้น”
มีแฟนไหม? “ไม่มีครับ คือผมเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมาก และยากที่จะเข้าใจ คือผมไม่มีเวลาให้ ผมเคยมีแฟนนะครับ แต่รู้สึกว่าเขางี่เง่า เขาไม่เข้าใจว่าเราไม่มีเวลาให้ และเขาต้องการให้เรามีเวลาให้ให้ได้ แต่เราทำไม่ได้อ่ะ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจก็เลยทำให้ไปด้วยกันไม่ได้ ก็เลยคิดว่าอยู่คนเดียวดีกว่า มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น และเราก็ไม่ได้ขนาดที่อยากจะมี”
มีแฟนคบกันนานสุดกี่ปี? “ไม่เกินปี” แสดงว่าเราเป็นคนมีแฟนน้อยมาก? “ใช่ครับ” ณ ปัจจุบันนี้ก็เลยไม่คิดที่จะขวนขวายหา? “ไม่ครับ เพราะผมรู้สึก ถ้ายิ่งพยายามหามันยิ่งไม่เจอ มันยิ่งกลายเป็นเจอกันแค่ชั่วคราว มันไม่ได้เจอคนที่จริงจัง จริงใจจริงๆ ครับ”
มีคนเข้ามาคุยไหม? “มีครับ ก็คุยเป็นเพื่อน เพราะรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันมันดีกว่า เส้นความสัมพันธ์ของเพื่อนมันสบายใจกว่า ไม่ต้องมาก้าวก่ายล้ำเส้นของชีวิตกันและกัน”
เราไม่ลองปรับตัวดูเหรอ? “สำหรับเพื่อน ผมได้อยู่แล้ว สามารถแฮงก์เอาต์กับเพื่อนได้ ถ้าสำหรับกับแฟน ผมรู้สึกว่ามันควรจะเป็นการปรับเข้าหากันทั้งสองฝ่าย บางทีเขาน่าจะเข้าใจความเป็นเรา ถ้าจะคบเราจะเป็นอย่างนี้นะ เขารับได้มั้ย ถ้ารับไม่ได้ ก็อย่าเลยดีกว่า” ตอนนี้เข้าใจโลกมากขึ้นมั้ย? “ก็ถือว่าไม่เข้าใจหรอกครับ ก็ถือว่าโตขึ้นๆ เริ่มผ่านประสบการณ์ที่ใครหลายคนบอกมา แต่เราไม่เคยเชื่อ”
คนเห็นเรามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ตอนนี้ตัวทีเจดูอ้วนขึ้น? “ใช่ครับ เพราะว่าแม่ผมชอบให้ผมอ้วน เขารู้สึกว่าผมเป็นเด็กที่สมบูรณ์ คือเมื่อก่อนผมผอมมาก จนแม่ผมพยายามทำให้ผมอ้วนให้ได้ ทุกวันนี้อ้วนสมใจเขา เขาก็ดีใจ อะไรที่ทำให้แม่ดีใจได้ ผมก็ดีใจครับ คือพ่อกับแม่ผมหย่ากันมาตั้งแต่ผมยังเด็ก และผมอยู่กับแม่ตลอด
ผมรักแม่มาก สนิทกับแม่มากที่สุด อะไรที่ทำให้เขาสบายใจได้ ผมก็อยากทำ คือเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ได้ดูแลเขา” เจอกันบ่อยไหม? “ปีนึงจะได้เจอครั้งนึง แม่เขาจะบินมาหาทุกปีครับ” เครียดไหมที่เราอ้วนขึ้น? “ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นครับ เพราะเราเป็นศิลปินที่ขายงานตัวเอง ไม่ได้ขายหน้าตาครับ”.