หน้าหนังดูไม่น่าระทึกขวัญเลย แต่เชื่อเถอะว่ามันระทึกจิตมาก โดยเฉพาะจิตสำนึกของมนุษย์อย่างเราๆ ว่ารู้ผิดชอบชั่วดีกันแค่ไหน
แน่นอนว่าเราเข้าโรงไปด้วยความคาดหวัง แค่รายชื่อนักแสดงนำทั้ง 4 คนก็ชวนให้ตื่นเต้นแล้ว เพราะก็ตัวพ่อตัวแม่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ซอลคยองกู (Memoir of a Murderer, 2017), จางดงกอน (Arthdal Chronicles, 2019-2023), คิมฮีแอ (The World of the Married, 2020), และ คลอเดีย คิม (Gyeongseong Creature, 2023-2024) ซึ่งทั้งสี่ก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวัง เกินหวังเสียด้วยซ้ำ ทั้งเพราะฝีมือการแสดง และเนื้อเรื่องที่ทำให้ใจกระตุกอย่างช่วยไม่ได้
A Normal Family เป็นเรื่องราวของ 2 ครอบครัว ที่หัวหน้าครอบครัวฝ่ายชาย แจวาน (ซอลคยองกู) และ แจกยู (จางดงกอน) เป็นพี่น้องกัน ทำให้ลูกๆ ของทั้งสองบ้าน เป็นลูกพี่ลูกน้องกันโดยสายเลือด โดย แจวาน พี่ชายคนโต เป็นทนายหนุ่มใหญ่ที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน เขามีลูกติด เป็นลูกสาวคนเดียว และเพิ่งแต่งงานใหม่กับ จีซู (คลอเดีย คิม) ภรรยาสาวที่เพิ่งมีลูกให้เขาอีกคน
ส่วน แจกยู น้องชายคนเล็ก กุมารแพทย์หนุ่มผู้อารี เขามีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอย่าง ยอนกยอง (คิมฮีแอ) นักสังคมสงเคราะห์สาวที่เดินทางไปช่วยเหลือเด็กๆ มาแล้วทั่วโลก ทั้งคู่มีลูกชาย รุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของ แจวาน โดยทั้งคู่ต่างก็สนิทสนมกันดี ตามประสาลูกพี่ลูกน้องสายเลือดเดียวกัน
...
แม้ว่าความสัมพันธ์ของสองครอบครัวจะลุ่มๆ ดอนๆ และเต็มไปด้วยช่องว่าง โดยเฉพาะเรื่องไลฟ์สไตล์ และฐานะทางการเงินแค่ไหน แต่สายสัมพันธ์พี่น้องของทั้งสองรุ่นก็ตัดกันไม่ขาด รุ่นพ่อก็พยายามหาเวลามาเจอและสังสรรค์ ส่วนรุ่นลูกก็คอยช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะลูกสาวของแจวานที่เป็นสาวแสบซ่า ก็มักจะช่วยกันเพื่อนอันธพาลออกจากลูกชายของแจกยูเสมอ
ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปด้วยดีตามครรลอง ถ้าหากว่า แจวาน กับ แจกยู รวมถึงภรรยาทั้งสองของพวกเขาจะไม่ค้นพบว่าลูกสาวลูกชายสุดที่รักจะก่อเหตุอันน่าตกใจ!
A Normal Family เปิดเรื่องมาด้วยฉากอุบัติเหตุบีบคั้นหัวใจคนเป็นพ่อแม่ รวมถึงไปถึงบีบเค้นจิตสำนึกของผู้ชมอย่างเราว่าควรทำอย่างไร หากคนผิดไม่ได้รับผิดอย่างที่ควร
เราว่าหนังฮุกได้ดี ปลุกปั่นอารมณ์กันตั้งแต่เริ่มถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะอุบัติเหตุที่ว่าเป็นเรื่องของ คนอื่น ที่เราอาจจะก้าวผ่านมันได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับการยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ต่างๆ ที่เราคงโพล่งกันออกไปได้ง่ายๆ หรือใช้มันตัดสินว่าเรื่องมันควรจะจบแบบไหน
คำถามก็คือ หากเรื่องเลวร้ายที่ว่าเกิดกับเรา หรือคนที่เรารัก เราแคร์ล่ะ เราจะก้าวข้ามมันไปได้ง่ายๆ หรือไม่?
เราว่าหนังออกแบบตัวละครได้ดี เป็นคาแรกเตอร์ที่จะทำให้เรามองเห็นธีมหลักของเรื่องได้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แจวาน ทนายหนุ่มที่มักพลิกเรื่องดำให้เป็นขาวเพื่อเงิน แจกยู กุมารแพทย์หนุ่มที่มักทนไม่ได้กับเรื่องคนไข้กับค่ารักษาพยาบาลที่แสนจะหน้าเลือด ยอนกยอง นักสังคมสงเคราะห์สาวที่ร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเมื่อเห็นภาพเด็กๆ โดนทารุณกรรม และ จีซู ภรรยาสาวของแจวานที่ต้องกล้ำกลืนกับเรื่องสถานะทางสังคมที่มักโดนคู่สะใภ้อย่างยอนกยองค่อนขอดตลอดเวลา
ตัวละครเกือบทั้งหมด (อาจจะยกเว้น จีซู) คือตัวละครที่ต่างก็ต้องยึด หรือต้องมี อุดมการณ์ หรือ จริยธรรม บางอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก่อนหน้า แทบทุกตัวละครก็สามารถจัดการ หรือตัดสินใจได้แบบไม่ลังเล กระทั่งเกิดเรื่องบ้าบอกับลูกสาวและลูกชายของตัวเอง ก็ราวกับฟ้าถล่มตรงหน้า หลักการใดๆ ที่เคยยึด ไม่สามารถใช้การได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เหลือเพียง จิตสำนึก และความรู้ผิดชอบชั่วดี เท่านั้น แต่ก็ถูกสั่นคลอนอย่างแรง
เราว่าหนังมี ความระทึกขวัญ ในแบบที่ไม่ได้มีฉากเลือดสาด หรือฆาตกรรมอันรุนแรง แต่จิตใจดำมืดของตัวละครรุ่นลูก รวมถึงสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวละครรุ่นพ่อแม่ต่างหาก ที่ทำให้เราลุ้นระทึกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะไปจบที่จุดไหน
ส่วนตัวคิดว่ามู้ดครึ่งหลังของเรื่องนั้นน่าสนใจมาก การพยายามเดาความนึกคิดของตัวละครหลักทั้ง 4 คน เป็นเรื่องชวนระทึกไม่แพ้การตามล่าฆาตกรสุดโหดในเรื่องไหนๆ ดูจนจบก็คิดได้ว่า คนเรานี่ตัดสินกันแค่คาแรกเตอร์หลักๆ หรือสิ่งที่เขาเป็นมาตลอดไม่ได้ แต่ต้องรอดูเมื่อเกิดสถานการณ์เลวร้าย หรือเกิดวิกฤตในชีวิตของเขาต่างหาก ตัวตนที่แท้จริงถึงจะออกมาให้เห็น
...
เราคิดว่าสิ่งที่หนังต้องการสื่อนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อน ออกจะ Universal หรือเป็นสากลด้วยซ้ำ ว่าด้วยเรื่อง จิตสำนึก และความรู้ผิดชอบชั่วดี ที่ปัจจุบันถูก ปล่อยเบลอ ด้วยเหตุผล(หรือข้ออ้าง)ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน สถานะทางสังคม ความเห็นแก่ตัว หรือแม้แต่ความรัก โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ก็ถูกใช้มาอ้างความชอบธรรมที่จะละเลยสิ่งที่ควรทำเพื่อความถูกต้อง
หนังดีเลยล่ะ เราคิดว่าสารที่ต้องการสื่อมันทรงพลังมาก แน่นอนว่าความดีความชอบต้องยกให้โครงหลักที่ดัดแปลงจากนวนิยาย The Dinner ของนักเขียนชาวดัตช์ Herman Koch แต่ทีมสร้างของเกาหลี นำทีมโดยผู้กำกับ ฮอจินโฮ ก็ทำได้ดีมากๆ ในการนำมาปรับให้ร่วมสมัย โดยเฉพาะการนำเสนอประเด็นต่างๆ ที่ทำดี ทำถึง จนอยากจะยืนปรบมือให้ตอนดูจบ (แต่ก็ละอายแก่ใจ เพราะตอนจบมันสะเทือนอารมณ์มากๆ)
เอาเป็นว่าอยากแนะนำให้ดู หนังได้รับเลือกให้ไปเปิดตัวและเข้าฉายในเทศกาลหลายแห่งช่วงปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ใหม่ชนโรงมาก แต่รับรองได้ว่าหนังไม่เชย แถมร่วมสมัย และน่าจะทำให้คุณๆ ต้องกลับไปนั่งคิดนอนคิดอีกครั้งว่า ความรู้ผิดชอบชั่วดี มันวัดกันยังไงนะ?
จนกว่าจะพบกันใหม่
...