- หากคุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับดนตรีป๊อปดาดๆ ที่คาดเดาได้ทั้งจากฝั่งอเมริกา, ยุโรป หรือเอเชีย เราขอแนะนำดนตรีพื้นเมืองอันน่า ‘ตื่นหู’ จากทวีปแอฟริกา ผ่านค่ายเพลงชื่อ Sahel Sounds (ซาเฮล ซาวด์ส) ที่ออกผลงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 60 อัลบั้ม ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ก่อตั้งมา
- อันที่จริง ค่ายเพลงอิสระเล็กจ้อยค่ายนี้ไม่ได้มาจากไอเดียของคนในท้องถิ่น หากแต่มาจาก คริสโตเฟอร์ เคิร์กลีย์ นักดนตรีหนุ่มชาวอเมริกันที่ตั้งใจสร้างสรรค์ค่ายนี้ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายคือการค้นหาศิลปินพื้นเมืองเก่งๆ ของที่นั่น, รวบรวมไฟล์เพลงจากการออกเดินทางไปบันทึกเสียงตามสถานที่ต่างๆ และนำมาเผยแพร่ให้ผู้คนทั่วโลกได้ลองเปิดใจรับฟัง
- โดยเขาตั้งใจที่จะสร้างให้ผลงานของศิลปินในค่ายมีศักดิ์ศรีของ ‘ความเป็นศิลปะ’ ทัดเทียมกับงานดนตรีจากโลกกระแสหลัก เพื่อให้ผู้ฟังเลิกมองว่ามันเป็น ‘ของแปลก’ แต่เป็นเพียงศิลปะดนตรีในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไพเราะและสามารถเป็นที่นิยมบนโลกได้เช่นกัน

...
หากคุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับดนตรีป๊อปดาดๆ ที่คาดเดาได้ทั้งจากฝั่งอเมริกา, ยุโรป หรือเอเชีย เราขอแนะนำดนตรีพื้นเมืองอันน่า ‘ตื่นหู’ จากทวีปแอฟริกา ผ่านค่ายเพลงชื่อ Sahel Sounds (ซาเฮล ซาวด์ส) ที่ออกผลงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 60 อัลบั้ม ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ก่อตั้งมา
อันที่จริง ค่ายเพลงอิสระเล็กจ้อยแห่งนี้ไม่ได้มาจากไอเดียของคนในท้องถิ่นที่เป็นชื่อค่าย หากแต่มาจาก คริสโตเฟอร์ เคิร์กลีย์ นักดนตรีหนุ่มชาวอเมริกันที่ตั้งใจสร้างสรรค์ค่ายนี้ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายคือการค้นหาศิลปินพื้นเมืองเก่งๆ ของที่นั่น, รวบรวมไฟล์เพลงจากการออกเดินทางไปบันทึกเสียงตามสถานที่ต่างๆ และนำมาเผยแพร่ให้ผู้คนทั่วโลกได้ลองเปิดใจรับฟัง ‘เสียง’ ในแบบของคนแอฟริกัน ที่มี ‘มรดกทางดนตรี’ อันเป็นเอกลักษณ์ไม่ต่างจากศิลปินของภูมิภาคอื่นบนโลกใบนี้
ย้อนกลับไปในปี 2008 มันเริ่มจากการที่เคิร์กลีย์-ผู้ประทับใจกับดนตรีของประเทศมาลีจากแผ่นซีดีที่เพื่อนให้-ตัดสินใจออกเดินทางมายังประเทศมอริเตเนียเพื่อควานหาดนตรีท้องถิ่นแท้ๆ มาบันทึก ‘เสียง’ ที่เขาชื่นชอบเอาไว้ด้วยตัวเอง แต่กลายเป็นว่าเขาเทียวอัดเสียงอยู่ในพื้นที่แถบแอฟริกาตะวันตก-ซึ่งก็รวมถึงมาลีและไนเจอร์-อย่างเพลิดเพลินอยู่นานเป็นปีๆ โดยนอกจากจะได้เพื่อนใหม่เป็นนักดนตรีท้องถิ่นมากมายแล้ว เขาก็ยังได้ทักษะการสื่อสารผ่านภาษาฝรั่งเศสและภาษาอื่นๆ เป็นของแถมอีกด้วย ซึ่งระหว่างนั้นเอง ในช่วงเดือนมกราคม 2009 ชายหนุ่มก็เริ่มรวบรวมไฟล์เพลงทั้งหมดเพื่ออัปโหลดให้คนอื่นๆ ได้ฟังผ่านบล็อกส่วนตัวของเขาบนโลกออนไลน์

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งการทักษะที่เขาได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ก็คือการค้นหาและแลกเปลี่ยนบทเพลงระหว่างกันผ่านโทรศัพท์มือถือ -อันเป็นอุปกรณ์ดิจิตอลยอดนิยมของชาวแอฟริกันที่ในยุคนั้นยังปราศจากการใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต- โดยผู้คนที่นั่นจะ ‘ส่งต่อ’ เพลงที่พวกเขาบรรเลงหรือบันทึกไว้ผ่านการเปิดสัญญาณบลูทูธ (Bluetooth) แล้วไปยืนอยู่ข้างๆ กันขณะต้องรับ-ส่งไฟล์เพลง ซึ่งเคิร์กลีย์ให้ความเห็นว่า “เครือข่ายของการแชร์ไฟล์ในลักษณะนี้จะไม่ได้ถูกควบคุมผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แต่จะถูกกำหนดเส้นทางผ่านผู้คนจริงๆ ที่ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งหากใครได้เพลงสักเพลงมาจากเมืองไหนสักเมือง เขาก็ต้องขึ้นรถบัสไปยังต่างเมืองเพื่อเจอเพื่อนๆ ก่อน เขาจึงจะสามารถแชร์เพลงนั้นออกไปได้” ดังนั้น เขาจึงสามารถวัด ‘ความฮิต’ ของบทเพลงนั้นๆ ได้จากการที่พวกมันถูกเปิดฟังอย่างหนาหูในเมืองที่มีคนพลุกพล่าน เช่น กาโอ, บามาโก ของประเทศมาลี หรือเลกอส ของประเทศไนจีเรีย ซึ่งล้วนมีตลาดไฟล์เพลง MP3 เป็นแหล่งรวมตัวของคนรักเสียงดนตรีอย่างเป็นรูปธรรม

...

หลังเดินทางกลับมายังเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เคิร์กลีย์ก็พบว่า ไฟล์เพลงท้องถิ่นที่เขาเผยแพร่ไว้ในโลกออนไลน์ รวมถึงซีดีรวมไฟล์ที่เขาอัดแจกจ่ายคนไปทั่วนั้น ได้รับความสนใจจากผู้ฟังเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาต้องบินกลับไปตามหา ‘ศิลปินนิรนาม’ ที่สร้างผลงานเหล่านั้นขึ้นมาให้เจอ พร้อมกับตัดสินใจปลุกปั้นค่ายเพลงอิสระอย่าง Sahel Sounds เพื่อหมายจะสร้างเม็ดเงินให้แก่ศิลปินลับแลกลุ่มนี้ ที่ปกติมักมีรายได้แค่จากการเล่นเพลงตามงานแต่งหรือเทศกาลทางศาสนาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมือกีตาร์สายบลูส์ เอ็มดู ม็อกตาร์, วงดนตรีหญิงล้วน Les Filles de Illighadad (เลส์ ฟีย์ส เดอ อิลลีกาแดด), มือคีย์บอร์ด ฮามา หรือนักเล่นออร์แกนรุ่นบุกเบิกอย่าง แมมมาน ซานี -- โดยมี Music from Saharan Cellphones หรือ ‘ดนตรีจากมือถือในแถบทะเลทรายซาฮารา’ อัลบั้มอย่างเป็นทางการชุดแรกของค่ายในปี 2011 ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายมาจากบรรดาไฟล์เพลงที่เขาเคยปล่อยลงอินเทอร์เน็ต
...

และแม้เคิร์กลีย์จะเป็นคนอเมริกัน แต่เขากลับตั้งใจที่จะสร้างให้ผลงานของศิลปินในค่ายมีศักดิ์ศรีของ ‘ความเป็นศิลปะ’ ทัดเทียมกับงานดนตรีจากโลกกระแสหลัก เพื่อให้ผู้ฟังเลิกมองว่ามันเป็น ‘ของแปลก’ แต่เป็นเพียงศิลปะดนตรีในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไพเราะและสามารถเป็นที่นิยมบนโลกได้เช่นกัน “ผมอยากให้ค่ายนี้เป็นหนทางในการขจัด ‘ความรู้สึกผิดแปลก’ เหล่านี้ออกไป ผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยเสียงดนตรี” เจ้าของ Sahel Sounds กล่าว “ผมอยากให้งานเพลงของค่ายเป็นเหมือนกับ ‘คำเชิญชวน’ ให้ผู้คนได้ลองเข้ามาเปิดใจเรียนรู้อะไรบางอย่าง” โดยวิธีการบันทึกเสียงของค่ายยังคงเน้นที่การเดินทางไปตามพื้นที่ต่างๆ ของแอฟริกาตะวันตก แล้วใช้ไมโครโฟนอัดเสียงการขับร้องเพลง-บรรเลงดนตรีของผู้คนเอาไว้ ก่อนจะนำมาปรับแต่งคุณภาพไฟล์อีกเล็กน้อยในโปรแกรมทำเพลงอย่าง Fruity Loops ซึ่งถือเป็นแนวคิดของเคิร์กลีย์ที่อยากจะเก็บ ‘สุ้มเสียงสดๆ อันเปี่ยมชีวิตชีวา’ ของศิลปินแต่ละรายโดยพยายามหลีกเลี่ยงการปรุงแต่งให้มากที่สุดนั่นเอง
...
นอกจากนี้ เขายังผลักดันค่ายไปไกลกว่านั้นด้วยการสร้าง ‘ภาพยนตร์’ เพื่อให้ผู้คนได้รู้จักศิลปินของตัวเองมากขึ้น โดยมี Rain the Color of Blue with a Little Red in It (2015) เป็นหัวหอกนำขบวน ซึ่งตัวหนังก็ว่าด้วยเส้นทางอันยากลำบากของนักดนตรีชาวไนเจอร์ (แสดงนำ-และแต่งเพลงประกอบ-โดย เอ็มดู ม็อกตาร์ มือกีตาร์บลูส์คนดังของค่าย ที่เคยมีชีวิตอีกด้านหนึ่งเป็นคนขับแท็กซี่) โดยมันถือเป็นหนังฟิกชั่นภาษาทวาเร็กเรื่องแรก และยังได้แรงบันดาลใจมาจาก Purple Rain หนังนักดนตรีชีวิตบัดซบที่ศิลปินคนดังอย่าง ปรินซ์ เคยแสดงไว้เมื่อปี 1984 -- ซึ่งในปัจจุบัน ม็อกตาร์ออกอัลบั้มมาแล้วถึง 6 ชุด แถมยังเคยออกทัวร์ในสหรัฐอเมริกา โดยมี Afrique Victime ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ เป็นผลงานชุดล่าสุด
ทุกวันนี้ เทคโนโลยีมือถือในแอฟริกามีพัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการมีอินเทอร์เน็ตเข้าถึงในหลายพื้นที่ และแอปพลิเคชันอย่าง WhatsApp ที่กลายมาเป็นที่นิยมแพร่หลาย จนทำให้คนที่นั่นสามารถแลกเปลี่ยนไฟล์เพลงกันผ่านมือถือได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งบลูทูธ และทำให้เคิร์กลีย์สามารถรวมเพลงทำอัลบั้มรายเดือนที่มีชื่อว่า Music from Saharan WhatsApp เมื่อปีที่แล้วได้มากถึง 11 ชุด โดยเป็นการหารายได้ช่วยเหลือศิลปินท้องถิ่นในช่วงโควิด-19 ผ่านการอัปโหลดขึ้น Bandcamp ที่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังสามารถสมทบทุนสนับสนุนศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบได้
“มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเล่าเรื่องราวอะไรของพวกเขาให้โลกภายนอกได้รับรู้บ้าง -- โลกที่ไม่ใช่แค่โลกตะวันตกเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวถึงการดูแล ‘ศิลปินพื้นเมือง’ ที่กลายมาเป็น ‘เพื่อน’ ของเขาเหล่านี้ ผ่านการกระจายผลงานเพลงไปยังเครือข่ายพันธมิตร ทั้งในสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, สเปน, ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ
“เพราะในวันหนึ่งมันอาจกลายเป็นคลังข้อมูลสำคัญ (ทางด้านศิลปะดนตรี ชาติพันธุ์ และประวัติศาสตร์) ที่คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้น่ะครับ”.
อ้างอิง: DailyMaverick, Sahel Sounds (1, 2), Impose, Portland Mercury, The Vinyl Factory