ได้ออกนอกจักรวาล “ไทบ้าน” เป็นครั้งแรก สำหรับ ด้งเด้ง-ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร พระเอก 700 ล้าน กอดคอคู่หูสุดฮา ตาต้า-ชาติชาย ชินศรี มาปล่อยความม่วน ป่วน ฮา ในภาพยนตร์ตลก แอ็กชัน ดราม่า “ผู้บ่าวนิกะห์” จากค่าย Monwichit พาตะลุยดงแขกวันนี้ ในโรงภาพยนตร์ แถมงานนี้ 2 หนุ่ม ด้งเด้ง–ตาต้า เล่าเบื้องหลังสนุกสนาน ส่วนสถานะหัวใจเป็นสายคลั่งรักทั้งคู่ ชม “ภรรยา” คอยเป็นหลังบ้านที่ดี ใน “คนดังนั่งคุย”

ตัดสินใจรับเล่นหนังเรื่องนี้เพราะอะไร

ด้งเด้ง “ต้องการหาอะไรใหม่ๆ ทำผมว่ามันท้าทายดี เป็นการทำงานนอกจักรวาลเรื่องแรกเลย ผมไม่ค่อยได้ทำงานกับคนอื่น กลัวไม่ถูกใจคนอื่น” เจอพี่เกรียง ผู้กำกับ กล่อมยังไงถึงตัดสินใจเล่น “เพราะมีเพื่อนผม (ตาต้า) เล่นด้วย อย่างน้อยๆ มีเพื่อนทำงาน ผมเน้นสนุก ไม่กดดันเวลาทำงาน”

ตาต้า “ผมก็เหมือนกัน เหตุผลแรกเพราะเค้า (ด้งเด้ง) เป็นพระเอกด้วย เรารู้งานนี้มีเพื่อน ปัจจัยที่สองเรารับเพราะอยากเป็นตัวแทนในการหาคำตอบ คนต่างศาสนารักกัน ยิ่งเราเป็นชาวพุทธแล้วต้องแต่งงานกับสาวมุสลิม เชื่อเลยว่าคนไทยส่วนใหญ่ตั้งคำถามว่าถ้ารักกันต้องทำยังไง เราเลยเป็นตัวแทนตรงนี้เพื่อหาคำตอบ”

...

ด้งเด้ง “ใช่ เพราะมีหลายคอมเมนต์ เป็นคนอีสานไปได้แฟนที่โน่นจะต้องทำยังไง บางคนยังคุยๆกันยังไม่ตัดสินใจกัน ขอเป็นตัวแทนให้ดูว่าเป็นประมาณไหน”

กับคาแรกเตอร์เรื่องนี้ล่ะ

ด้งเด้ง “ผมรับบทเป็น บักไข่ เป็นคนอีสานแอบชอบพอกับ โซเฟีย สาวมุสลิม ไปเจอกันที่มหาวิทยาลัย เรียนจบเค้าก็ต้องกลับบ้านเค้าเราก็อยู่ไม่ได้ คิดถึงเค้าอยากใช้ชีวิตกับเค้าก็เลยต้องตามไปมันเลยเกิดเรื่องนี้ขึ้น” ต้องกลับไปใส่ชุดนักศึกษารู้สึกยังไงบ้าง

ด้งเด้ง “รู้สึกเรียนไม่จบเหมือนเดิม (หัวเราะ) ก็คิดถึงชุดนักศึกษา” กว่าจะเรียนจบมาได้ใช้เวลานานเหรอ

ด้งเด้ง “ผมเรียนไม่จบครับ”

ตาต้า “ชีวิตจริงพวกเรา 2 คนเรียนไม่จบทั้งคู่เลย” จริงเหรอ? “จริงๆเรื่องนี้พูดได้เพราะพวกผมไม่ได้ซีเรียสเลย มีสื่อที่มาสัมภาษณ์ก็ถามเรื่องนี้เรียนจบอะไรกันมาก็บอกตรงๆ ว่าไม่จบ พยายามแล้ว ด้วยความที่เราทำงานแล้วทำให้โฟกัสเรื่องเรียนยาก”

ด้งเด้ง “เราไม่มีความสามารถที่จะทำอะไร 2 อย่างพร้อมกัน” เลือกสายเรียนที่ยากหรือเปล่า 

ตาต้า “ไม่นะ ผมเลือกสายที่ชอบด้วย ผมเรียนดนตรี ด้งเด้งก็เป็นสายที่เขาชอบนะ” ด้งเด้ง “ตอนแรกที่ผมเรียน ม.มหาสารคาม ผมเรียนสถาปัตย์ ส่วนต้าก็เรียนดนตรี ดุริยางคศิลป์ ก็ไม่จบเลยนัดกัน 2 คนเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯก็ไม่จบอีก”

พอเราเรียนไม่จบอย่างที่ตั้งใจ ลึกๆแอบนอยด์บ้างมั้ย

ตาต้า “ไม่เป็นๆ” เจองานแสดง งานเพลงที่ชอบเลยติดใจรึ

ด้งเด้ง “ตอนแรกก็ไม่ได้รักแสดงด้วยนะ ”

ตาต้า “ตอนแรกที่เราทำเพราะเราแค่ได้ทำกับเพื่อนๆแค่สนุกกัน เหมือนเป็นกิจกรรมกลุ่มยามว่างมารู้ตัวอีกทีก็รักงานในสิ่งที่ทำไปแล้ว” มารู้สึกตอนไหนที่กลายเป็นขาดไม่ได้

ตาต้า “ตอนเงินหมดครับ (หัวเราะ)”

ด้งเด้ง “ผู้คนเลยที่ทำให้ผมรักในอาชีพนี้ ผมรู้สึกว่าเวลาไปไหนเขาทักทาย เขายิ้มใส่ เขายอมรับ เหมือนไปเจอแต่ละคนพอทักได้คุยมันมีรอยยิ้ม มันคือความสุขในตอนนั้น”

ตอนนี้ไปไหนคนเรียกเราพระเอกหลายร้อยล้านรู้สึกยังไง

ด้งเด้ง “เฉยๆ มันก็แค่ตัวเลข การันตีได้ไม่ทุกอย่าง หรอก สุดท้ายที่เขาดูเราเพราะชอบในตัวตนของเรา”

ตาต้า “วู้ ตอบดีว่ะ สุดท้ายคนที่รักเราไม่มีใครรักเราเพราะเราดังเป็นพระเอก 700 ล้าน เขาติดตามเราตั้งแต่ภาคแรกๆแล้ว 

เขารักเราตัวตนของเรามากกว่า” จากหนังที่เราเล่นรายได้เกิน 100 ล้าน สร้างความกดดันกับหนังเรื่องอื่นๆมั้ย ด้งเด้ง “มันมาพร้อมความคาดหวังแต่เราไม่อยากให้คาดหวัง เราจะบอกเสมอว่าอย่ามาคาดหวังกับเรานะ สิ่งที่เราทำก็ทำเต็มที่นะ แต่ละคน แต่ละองค์กร แต่ละกอง ทีมงาน ผู้กำกับ แม่ครัว พ่อครัว เขาเต็มที่กันหมดเพราะเขาอยากให้หนังไปได้ดี เพื่ออะไรรู้มั้ยครับ ผมก็เคยถามพวกเค้า คำตอบคือเพื่อจะได้มีทุนทำหนังต่อในสิ่งที่ตัวเองรัก”

...

จะว่าไปกับหนัง ผู้บ่าวนิกะห์ ทำให้ได้มุมมองหรือสกิลใหม่ๆ ขนาดไหน

ตาต้า “ผมได้ไปออกกำลังกายเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เลยเพราะผมเข้า รพ. ถ่ายๆอยู่เข้า รพ.กลางคันเลยต้องเปลี่ยนรูปแบบซีนนั้นโดยปริยาย ผมเป็นความดันสูง ใจเต้นเร็ว มีในตัวอย่างอยู่ผมวิ่งหนีแพะ รู้เลยว่าร่างกายไม่ไหว หลังจากนั้นผมออกกำลังกายทุกวันนี่คือปลดล็อกตัวเอง ออกกำลังกาย เพื่อรักษาสุขภาพ”

ด้งเด้ง “ผมได้ไปเที่ยวที่ใหม่ๆ ได้ไปดูอะไรที่ใหม่ๆ เพราะว่าแถบอีสานไปหมดแล้ว แต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เราไม่เคยได้ไปเลย ที่เราได้รับสารมาคือ...ไม่กล้าไป  ถ้าเราไปเองไม่ตัดสินใจไปแน่นอน เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่อันนี้เรามีโอกาสไป”

ตาต้า “ทะเลสวยมาก ถ้าเราพูดกันปกติ จะมีโอกาสได้ไปไหมถ้าไม่ได้เล่นหนัง”

ด้งเด้ง “ มันมีความสุขเราก็อยากกลับไปเที่ยวอีก ปัตตานีน่าอยู่มาก”

นอกจากหนังตอนนี้งานมีวางโปรเจกต์

ด้งเด้ง “ปีหน้าผมมีทำบริษัทกับเพื่อนอยู่ด้วย บริษัท เซียน สตูดิโอ มีหนังที่ทำเองกับเพื่อน เซียนหรั่งเป็นผู้กำกับ 1 เรื่อง ไทบ้าน 1 เรื่อง สัปเหร่อ 2 ปีหน้ามีประมาณ 2 เรื่อง” ขยับขยายทำเอง “ทำเองมาตลอดนะ เซียนหรั่งทำหนังมา 2  เรื่อง ตั้งแต่ รักหนูมั้ย เล่นด้วยกัน ส่วนมากพวกผมก็ทำกันเอง ที่บอกไม่ค่อยร่วมงานกับคนอื่น ทำกันเอง กลัวไปนิสัยไม่ดีใส่เค้า” ทั้งงานแสดง คอนเสิร์ต ไหนจะครอบครัวแยกร่างยังไงก่อน “ก็ต้องทำให้ดีทุกหน้าที่ เหนื่อยหน่อยแต่อดทน” ตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อ ลูก 2 แต่ยิ่งมีลูก กลายเป็นว่ายิ่งฮอตเลย “พอได้หาเงินอยู่ครับ (หัวเราะ) ลูกคนโต 2 ขวบ คนเล็ก 1 ขวบ ยอมรับเวลาให้ครอบครัวมีน้อย ยังดีที่ว่าลูกยังจำหน้าผมได้ พอมีเวลาว่างผมกลับบ้านไปหาลูกตลอด ต้องยกเครดิตให้ภรรยา ที่เขาทำให้ลูกจำหน้าผมได้ มีวิดีโอคอลทุกวัน” ภรรยา (กี้–เจนจิรา) ไม่น้อยใจเราเหรอที่ไม่มีเวลาให้ “บางครั้งนะ แต่เขาเข้าใจนะ”

...

จากลุคของตาต้าเป็นคนคลั่งรัก กิ๊ฟ-ชฎาพร มากเลยมีแต่คนอิจฉา

“ใครอิจฉาครับ (หัวเราะ) แต่ว่าเราก็บอกรักเขาทุกวันนั่นแหละ อย่างด้งเด้งเขาจะรู้ เคยทักผม ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่จัดกระเป๋า อาบน้ำ สระผม ไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้ แต่ตอนนี้เราโฟกัสอะไรง่ายๆขึ้น เขาเป็นคนจัดเตรียมให้เรา ดูแลทุกอย่าง เราเลยเอาเวลาตรงนี้ไปคิดเรื่องการทำงาน เขาเสียสละเวลาส่วนตัวมาจัดแจงอะไรให้เรา”

ด้งเด้ง “เหมือนกันครับ แฟนผมเค้าก็อยู่กับลูก ยอมรับน้ำใจเค้านะเขาเสียสละ”

ตาต้า “ต้องยกเครดิตให้เมียเราสองคน” ต้าแต่งแล้วเหรอเห็นใช้คำว่าเมีย 

ตาต้า “ยังครับ ผมว่าทุกคนก็รู้ว่าเราอยู่ด้วยกันโดยที่พ่อแม่รับรู้ ผมก็เลยจะให้เกียรติเขา เค้าเป็นคู่ชีวิตของเรา ผมถือว่าเป็นการให้เกียรติเค้าทั้งต่อหน้าและลับหลังครับ”

ทำงานแบบนี้เจอคนเยอะๆ แฟนๆไว้ใจกันขนาดไหน

ด้งเด้ง “เขาก็ไว้ใจแหละ นับถือใจเขาจริงๆที่ไว้ใจเรา”

...

ตาต้า “มองกลับกัน เราต้องยกเครดิตให้เมียเราสองคน แฟนเราทำงานอย่างนั้นเราจะรู้สึกยังไง ผมเป็นผู้เป็นคนได้เพราะเมียครับ” เงินทุกบาททุกสตางค์อยู่ที่เมียหมดสิ ด้งเด้ง “คนละกระเป๋าครับ (หัวเราะ)”

ตาต้า “เวลาผมทำงานเมียผมจะโอนให้พันนึง เป็นค่าตัว บางวันได้ 500 แต่ถ้าไม่ได้ทำงานก็ไม่ได้ มีแค่ค่าแกร็บไปกลับไม่มีเวลาคิดนอกใจเมีย (หัวเราะ)” ตัดปัญหาไม่มีโอกาสไปเปย์ใคร

ตาต้า “ไม่มีครับ” ด้งเด้ง “ดีนะที่ผมมีลูกเพราะว่าผมจะได้ชัดเจนขึ้น มีเป้าหมาย จริงๆที่ผมทำคืออะไร”

ตาต้า “เป้าหมายผมก็ทำงานให้มีความสุข เอาความสุขตรงนี้ไปใช้กับคนที่เรารัก ไปดูแลคนที่อยู่ข้างหลังเรา”

ด้งเด้ง “เหมือนเรามาทำงานแทนเค้า เขาดูแลเรา เป็นหลังบ้านให้เรา”.

เรื่อง: วรรณี ห่อวโนทยาน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่