หลังจากที่พระเอกหนุ่มกล้ามแน่น อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์ เปิดใจครั้งแรกในรายการ “คุยแซ่บ Show” ถึงสาเหตุที่เลิกกับอดีตภรรยาอย่างนักร้องนักแสดงสาว นัท มีเรีย ล่าสุด อั้ม เปิดใจกับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวถึงสาเหตุที่ทำให้รักครั้งนี้ต้องจบลง

โดย อั้ม อธิชาติ กล่าวว่า อย่างที่คุณนัทให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. เป็นการยุติความสัมพันธ์กันแล้ว ก็เป็นจริงตามนั้น ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่หลายคนยังเข้าใจผิดจากความคลาดเคลื่อนของเวลา ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่าก่อนหน้านี้ที่บอกว่ายังไม่ได้เลิกกัน ปฏิเสธว่าไม่มีมือที่ 3 หาว่าพี่โกหก อันนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัว คนรอบข้าง

เรื่องข่าวที่ลงครั้งแรก 1 ต.ค. วันนั้นใช้ชีวิตตามปกติ ทานข้าวที่บ้านกับคุณนัทในตอนเช้า คุณแม่ยังซื้อกับข้าวเข้าบ้าน พี่ก็ออกไปทำงานและประชุม พอช่วงบ่ายผู้ช่วยขึ้นมาบอกว่าข่าวเต็มทุกฟีดเลยว่านักร้องยุค 90 กับพระเอกดังยุค 90 ส่อแววเตียงหักเลิกรานอกใจ แยกกันอยู่แล้ว ตอนนั้นก็บอกผู้ช่วยว่าไม่ใช่ตน เพราะเราเจอข่าวแบบนี้บ่อย อาจจะไม่ต้องตอบก็ได้ แต่ผู้ช่วยบอกว่ามันค่อนข้างชัดว่าเป็นพี่

...

ตอนนั้นมีนักข่าวหลายสำนักโทรมา พี่ไม่อยากพูดอะไรเพราะตอนนั้นชีวิตปกติมาก ยังไม่มีเรื่องทะเลาะกัน ก็มีคุณแจ็คเกอรีน ไทยรัฐทีวี ติดต่อมา เลยบอกว่าขอคุยสั้นๆ แล้วกัน ก็คุยตามความเป็นจริง พี่ก็บอกว่าไม่ใช่พี่หรือเปล่า เพราะยังอยู่บ้านปกติ

ถามว่ามีการง้อไหม คือวันนั้นไม่ได้ทะเลาะกัน คุยปกติ พอกลับบ้านไปก็โทรหาคุณนัทเพราะยังไม่กลับบ้าน อยู่บ้านญาติ ตอนนั้นดึกแล้ว พี่ก็บอกว่าถ้างั้นพรุ่งนี้คุยกันก็ได้ ตอนเช้าวันที่ 2 ยังไปทำงานอยู่ และโทรหาคุณนัทตอนเที่ยง เลยถามว่าเห็นข่าวไหม คุณนัทบอกเห็นแล้ว แต่ขอแต่งตัวก่อนเพราะกำลังจะไปถ่ายงานต่างจังหวัด ผมก็บอกว่าถ้าว่างแล้วโทรมานะ เพราะเราต้องเจอกับนักข่าว พี่ก็เข้าไปถ่ายงานตอนนั้น พอโทรหาคุณนัทเขาอาจติดธุระอยู่ ยังไม่โทรกลับ

แล้วเนื้อหาข่าวบอกว่าเลิกกันเพราะนอกใจ แยกกันอยู่ พี่ก็ตอบไปตามความจริง แต่หลังจากนั้นมีข้อความในโซเชียล หลายคนก็ตีความว่าทำไมมันไม่เหมือนกัน ซึ่งตนก็บอกทีมงานว่าเป็นปกติของนัทที่เขาโพสต์เรื่องราวต่างๆ มันอาจไม่ใช่หรือเปล่า แต่ก็พยายามไลน์ถามคุณนัท ซึ่งคุณนัทบอกว่าขอเวลาสักพัก เขาอยู่ต่างจังหวัดถ่ายงานอยู่

ตอนนั้นไม่ได้มีประเด็น ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่พอหลังจากเราได้คุยวันที่ 2 คุณนัทบอกว่าขอเวลา ตนก็รู้สึกเอ๊ะ มันไม่ใช่แล้ว ข่าวมีมาก่อนที่จะเกิดขึ้นในบ้าน พี่เลยขอยังไม่คุยกับใครทั้งสิ้น พี่ขอคุยให้ชัดเจนก่อน เพราะตอนนั้นพี่ตอบตามไทม์ไลน์ ตามความจริง แต่หลายคนว่าทำไมโกหก พี่ไม่ได้โกหก พี่พูดไปตามนี้ แต่หลังจากนั้นวันที่ 5 ต.ค. มีการพูดคุยทางโทรศัพท์ในระดับหนึ่ง จนวันที่ 9 ต.ค. เรานั่งคุยที่บ้านอย่างจริงจัง เป็นการยุติความสัมพันธ์

ถามว่าการเป็นข่าวมีผลทำให้เกิดการยุติความสัมพันธ์ไหม อั้ม บอกว่า อันนี้ตอบไม่ได้เลย แต่วันนั้นที่คุยกันในระหว่างคนสองคน คุณนัทบอกว่าคิดมาดีแล้วในระยะนึง หลังๆ เป้าหมายในชีวิตแตกต่างกัน ไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน เรายุติตอนนี้ คืนชีวิตกันตอนนี้ เรายังสามารถเป็นเพื่อนพบเจอกันได้ เรายังมีความรู้สึกดีๆ กันอยู่ ดีกว่ามันจะไปถึงขนาดหักล้างกันมากกว่านี้

พี่เลยถามคุณนัทว่าที่มีข่าวลงเวลานี้ แล้วคนตีความว่าผมมีมือที่ 3 คุณนัทมีอะไรมั้ย คิดในใจหรือเปล่า คุณนัทบอกกับพี่ว่าไม่มี เป็นเรื่องคนสองคนเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับมือที่ 3 พี่เลยบอกว่าถ้างั้นมันเป็นเรื่องใหญ่นะ เราคงจะต้องคุย นักข่าวคงถาม เราจะตอบยังไง คุณนัทก็บอกว่าตอบตามความเป็นจริงนี่แหละว่าเรายุติความสัมพันธ์ด้วยเรื่องคนสองคนเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องมือที่ 3 พี่ก็ตอบตามที่เราตกลงภายในทั้งหมด

ถามว่าก่อนหน้านี้มีสัญญาณไหมว่าเราจะต้องแยกกันอยู่ พระเอกดังตอบว่า มันไม่มีสัญญาณขนาดนั้น แต่จะมีสัญญาณเช่นครอบครัวฉันน้อยใจบ้าง เป็นอย่างนี้มาตลอด ฉันคิดแบบนี้ เธอไม่ทำแบบนั้น มันเป็นเรื่องปกติของคนในครอบครัว บางช่วงก็มีเรื่องราวไม่เข้าใจกัน ก็คุยกัน ปรับกันได้นิดหน่อยก็เกิดขึ้นใหม่ มันเป็นแบบนี้เสมอ เราไม่ได้บอกว่าเราดีในทุกเรื่อง ข้อเสียมี ผิดพลาดหลายครั้ง แต่เรื่องราวนี้ต้องบอกว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจากในหัวข้อนี้ ก็เลยพูดในหัวข้อนี้

...

ถามว่าช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. มีง้อกันไหม อั้ม บอกว่า การที่เราคุยเรื่องนี้ได้ ใน 15 ปีเราไม่เคยคุยเรื่องนี้แบบจริงจัง การที่เราคุยเรื่องนี้ เราก็มองว่ามันคงมีความสะสมกันมา คุณนัทบอกว่าครอบครัวระหว่างเรามีความพยายามกันทั้งคู่ที่จะให้ช่องว่างระหว่างครอบครัวเราน้อยลง แต่เรามองว่ามีทั้งทุกข์สุข ฉะนั้นเราก็พยายามปรับกันมาก่อนหน้านี้ มันจูนกันตลอด เราอยู่บนพื้นฐานความจริง ไม่ใช่ไม่คุยกัน แต่ระหว่างที่รอก็สอบถามจากเพื่อนสนิท หรือพระอาจารย์ที่เรานับถือทั้งคู่ ท่านบอกว่าได้คุยกันแล้ว มันเป็นเรื่องสะสมที่มีมายาวนาน

ถามว่าหลังจากที่นัทให้สัมภาษณ์ เรามีสงสัยในคำตอบของเขาไหม อั้ม บอกว่า ไม่ได้สงสัย เพราะเราเข้าใจ 15 ปีคนเป็นครอบครัวจริงๆ บางเรื่องมันละเอียดอ่อนจริงๆ เราบอกว่าเราเข้าใจครอบครัวเขา แต่จริงๆ ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก แต่เราเป็นคนพบเจอในสิ่งนั้น พี่เน้นย้ำเสมอว่าข้อผิดพลาดมีเยอะแยะ เรายอมรับ แต่สิ่งที่กำลังบอกว่าไม่ว่าจะเป็นก่อนเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ พี่พูดตามไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นจริงๆ 

...

การยุติความสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งที่ต่างคนปรารถนา แต่มันเกิดขึ้นแล้ว อยากให้เคารพสิ่งนี้จริงๆ เราดูแลกันมา มีทั้งทุกข์สุข อย่าทำให้กระทบกันเลย คอมเมนต์จากคนภายนอกเข้าใจได้ว่าทุกคนต่างมีความชอบไม่ชอบ แต่อย่าทำลายความสัมพันธ์ อย่าทำลายคนรอบข้าง อย่าทำลายความเห็นต่าง เพราะรายละเอียดเยอะเกินกว่าที่เราจะเข้าใจจากภายนอกจริงๆ พอถามว่าแสดงว่ายังไม่ได้คุยกันตั้งแต่หลังสัมภาษณ์ อั้ม ตอบว่า ยังไม่ได้คุยกับคุณนัทส่วนตัว แต่คุยงานกับผู้ช่วยบ้าง

เมื่อถามว่าคนติดใจเรื่องที่นัทให้สัมภาษณ์เรื่องมือที่ 3 ซึ่งนัทบอกว่ามันเหนือการควบคุม เลยทำให้ทุกคนตีความไปว่ามันมีบุคคลที่ 3 เกี่ยวข้อง อั้ม บอกว่า ของพี่ไม่มีบุคคลที่ 3 ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3 ในเชิงชู้สาว ในสิ่งที่คุยกับคุณนัท เราไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้เลย และพี่เคยถาม ไม่มีประเด็นในหัวข้อนี้ แต่สิ่งที่คุณนัทตอบในวันนั้น พี่ก็ต้องตอบว่าไม่ได้ยินด้วยตัวเอง แต่ความเข้าใจเป็นไปได้ว่าหลังจากทื่เราแยกย้ายกันแล้วในวันที่ 13 ต.ค. คุณนัทไม่รู้ว่าพี่อาจจะไปเจอใครหรือเปล่า มันนอกเหนือการควบคุม อาจจะเป็นไปได้ เพราะพี่ไม่สามารถรู้ได้ว่าหลังจากไม่ได้คุยกันแล้ว ความเคลื่อนไหวในชีวิตของคุณนัทจะเป็นยังไงก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

...

ส่วนประเด็นที่ทำลูกด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ได้อย่างไรในเมื่อไม่ได้จดทะเบียน อั้ม เคลียร์ว่า เรื่องนี้ค่อนข้างนานมาก แต่วันนี้เรารับรู้รับทราบและยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในการที่ต้องจดทะเบียนก่อนการทำ พี่บอกผู้ช่วยหรือทีมงานที่เกี่ยวข้องว่าถ้ามีเหตุใดที่สามารถรับผิดชอบแก้ไข รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าเราไม่รู้จริงๆ เราจำไม่ได้จริงๆ เพราะมันนานแล้ว ก็ขอรายละเอียดให้หน่อยว่าต้องทำอย่างไร

คนมองว่าการที่ไม่มีลูก ทำให้ต้องมาถึงวันนี้ อั้ม บอกว่า การมีลูกเป็นเป้าหมายครอบครัว ต้องบอกว่าเรามีเป้าหมายร่วมกันว่าอยากมีน้องเพื่อเป็นการสร้างครอบครัว แต่การที่มีไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าเราเข้าใจกันทั้งคู่ถึงการมีและไม่มี ถ้าจะมองว่าเป็นความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งหรือเปล่า เรามีความสุขกับเป้าหมายนั้นร่วมกันมา และสิ่งที่เกิดขึ้นพี่ตอบได้ในฐานะที่พี่รู้เท่านั้น

เรื่องข่าวลือกับ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ที่ถูกโยงเข้ามา อั้ม บอกว่า จริงๆ ถูกโยงไปทุกที่ กับเจนี่สนิทกันมานานมากแล้วตั้งแต่เด็กๆ เป็นเหมือนเพื่อนผู้ชาย เพราะเจนี่มีความเป็นเพื่อนผู้ชายนิดนึง ช่วงที่มีข่าวออกมา เราต้องทำงานด้วยกัน ต้องเดินทางไปทำบุญ ซึ่งมีแค่ครั้งเดียว และไปกันหลายคนมาก พอมีข่าวไม่ได้คุยกับเจนี่เลย วันนั้นเจอกันในรายการก็บอกว่าข่าวลงอีกแล้ว มันอาจจะเป็นช่วงที่เขามีเรื่องความเปราะบางด้วยก็ได้ แต่เราบอกว่าถ้ามีโอกาสวันนึงก็พูดว่ามันไม่มีอะไร เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ถามว่าคิดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อั้ม บอกว่า เราเสียใจ ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจากทุกเหตุผลก็ตาม ซึ่ง ณ วันนี้ เราพูดคุยตกลงด้วยความเข้าใจ เรามีเป้าหมายต่อครอบครัวเราอย่างไร เราไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น ณ วันนี้สิ่งที่มีโอกาสพูด อยากพูดแค่วันนี้เท่านั้น ไม่อยากพูดอีก เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น แต่บางเรื่องมันมีประเด็นที่ส่งผลต่อคนรอบข้าง พี่พูดไปในสิ่งที่พูด แต่คนจะเข้าใจแบบไหน พี่ถือว่าพี่ทำในสิ่งที่ได้ทำแล้ว

ส่วนเรื่องคอมเมนต์ที่รุนแรง ทำให้ต้องแจ้งความ อั้ม ตอบว่า เราอยู่ในวงการ แต่ในส่วนครอบครัวมันมีขอบเขตเช่นกัน จะพูดถึงตนยังไงก็เข้าใจ ไม่ได้สนใจ แต่อะไรที่เกินขอบเขต กระทบครอบครัว พี่ก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อความถูกต้อง

เพราะฉะนั้นข่าวต่างๆ ที่มีตามฟีดที่เป็นเขาเล่าว่า ฉันคิดว่า พี่ถามคำถามเดียว แล้วถ้ามันไม่ใช่แบบนั้น คุณจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำอย่างไร นอกจากบอกว่าไม่เป็นไร ฉันไม่สนใจ ไม่ใช่แอคเคานต์ฉัน หน้าตาฉันไม่โชว์ แต่คนรอบข้างล่ะ เราต้องการความถูกต้องใช่ไหม แล้วเราใช้วิธีทื่มันถูกต้องหรือเปล่า ฉะนั้นถ้าหลังวันนี้ที่พี่พูดไปแล้ว ถ้ายังมีคอมเมนต์ใดๆ ที่คิดว่าฉันคิดถูก เอาข้อมูลหลักฐานเหล่านั้นมาคุยต่อหน้าพี่บนการตรวจสอบที่ถูกต้อง ถ้าไม่เป็นตามนั้น ถ้าเป็นผลกระทบต่อคนรอบข้าง ถ้าไม่จริง ทุกคนก็ต้องมีผลกระทบของตัวเองเช่นกัน

อั้ม กล่าวต่อว่า ไม่ได้น้อยใจ เข้าใจเรื่องราวต่างๆ มันเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ต้องทำคือเมื่อแยกย้ายกัน เราต้องทำหน้าที่รักษาความรู้สึกที่ดีต่อกัน สิ่งนี้มันมีคุณค่ามากกว่าอย่างอื่น ถามว่าวันที่แยกย้ายกันได้พูดขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาไหม วันนั้นที่เจอกันก็ได้บอก วันที่จะออกจากบ้านก็ได้เขียนบอกว่าอะไรเป็นอย่างไร ขอบคุณและขอโทษทุกเรื่อง ซึ่งวันที่ย้ายออกจากบ้านก็ไม่ได้เจอกัน เพราะหลังจากที่คุยเลยบอกคุณนัทว่าขอเวลาเก็บของ 3-4 วัน คุณนัทเลยอยู่บ้านญาติเพื่อให้ผมมีเวลาในการเก็บของ

ถามว่าทำใจกับการเลิกกันนานไหม อั้ม ตอบว่า ถามว่าตกใจไหมก็ครึ่งนึง เพราะการอยู่ในครอบครัว เรารู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวครอบครัวเป็นยังไง แต่แค่รู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมสื่อถึง...เรื่องราวภายนอกมันเกิดขึ้นก่อนเรื่องราวภายในบ้าน เรื่องราวเกิดขึ้นตามหลังสื่อ ถ้ามันเกิดขึ้นก่อนคนภายนอกรู้ เราเข้าใจได้

แต่คราวนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นอะไรก็ตาม พี่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นไปแล้ว แต่ถามว่าช็อกมั้ย เรียกว่าไม่ทันคาดคิดแล้วกันในสิ่งที่เกิดขึ้น ถามว่าเยียวยามั้ยไม่ต้อง เพราะมันไม่มีเรื่องอะไรที่ทะเลาะบาดหมางกัน คุณนัทยังอวยพรให้โชคดี เราผ่านการเป็นครอบครัว พยายามมีลูก แต่พอไม่มีลูกของเราเอง มันเลยมีเป้าหมายในการเติบโต ในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน

ถามว่าพอจะรู้ไหมที่นัทมีเนื้องอก อั้ม บอกว่า ทราบมาตลอด อาจจะเป็นโรคประจำตัวแบบนึงก็ได้ เราพยายามดูแลกันมา คุณนัทควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย มีการดูแลรักษาหลายรูปแบบ

ส่วนเรื่องมุมมองความรักหลังจากนี้ อั้ม บอกว่า ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่รักมีทั้งทุกข์และสุข เราต้องยอมรับในสิ่งนี้ให้ได้ อย่างที่บอกว่าเราคุยกันแล้ว ตกลงด้วยวาจาแบบนี้ ฉะนั้นการตีความใดๆ ที่ทำให้ความรักที่มีเกิดผลกระทบ อย่าทำเลย ถ้าจะรักคุณนัทก็อย่าทำ ถ้าจะเอาใจช่วยในสิ่งที่เราเป็นก็อย่าทำ เพราะแต่ละคนมีเหตุผลของตัวเอง ส่วนสิ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องจัดการบางเรื่องอยู่ ก็มีโอกาสเจอกันทักทายถามสารทุกข์สุขดิบ คนที่เป็นเพื่อนคุณนัทก็ยังเป็นเพื่อนผม ยังเป็นเพื่อนรอบข้างกันอยู่

เวลาที่เลิกคนมักมองผู้ชายผิด รู้สึกยังไง อั้ม บอกว่า ไม่รู้สึกยังไง เข้าใจ ถ้าติอะไรตนก็ทำได้ไม่มีปัญหา เราเป็นผู้ชายก็ต้องยอมรับในสิ่งนั้น เราคือผู้นำครอบครัว ถ้ารักษาไม่ได้ก็เรานั่นแหละ วันนี้พูดตามเรื่องที่เกิดขึ้น ขอพื้นที่ให้คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพี่หรือคุณนัท 

ส่วนชีวิตหลังจากนี้ คุณนัทมีครอบครัวที่ต้องดูแล พี่ก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล เราต่างดูแลครอบครัวของตัวเอง มีโอกาสก็นัดทานข้าว เจอกันได้บ้าง วันนี้อยากให้มันจบ พูดแล้วขอให้เข้าใจตามนี้ เพราะต้องบอกว่าคำว่าเรื่องราวครอบครัวสองคนอย่าให้กระเทือนจนถึงกลายเป็นเรื่องปัญหาอื่นๆ เลย 

ถามว่าพร้อมมูฟออนไหม จะเรียกมูฟออนไม่ได้ เพราะมันก็คือใช้ชีวิตตามปกติ แค่มูฟออกมาจากบ้าน อยู่กับคุณแม่ คุณแม่ก็ไปๆ มาๆ เราก็อยู่ตามปกติ ทำงาน ถามว่าเฮิร์ตไหม มันก็มีอยู่แล้ว เชื่อว่าคุณนัทก็เป็น ปัจจุบันยังรัก ยังระลึกถึงกัน ปรารถนาดีต่อกันในทุกเรื่อง 

ส่วนเรื่องดำเนินคดี ก่อนหน้านี้ไม่เป็นไร เราเข้าใจ แต่หลังจากนี้ขออย่าทำเกินขอบเขตเลย ตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ แต่อนาคตก็ต้องดูผลกระทบก่อน ไม่ได้บอกจะต้องฟ้อง แต่ถ้าเกินเลยขอบเขตมากๆ ต้องเข้ากระบวนการที่ถูกต้อง

คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม