กระแสชื่นชมล้นหลามกับความทำถึง! ของภาพยนตร์เรื่อง “วิมานหนาม” ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์โดยค่ายจีดีเอช ร่วมกับใจ สตูดิโอ ผลงานการกำกับโดยบอส-นฤเบศ กูโน นำแสดงโดย เจฟ ซาเตอร์, อิงฟ้า วราหะ ร่วมด้วยเต้ย-พงศกร, เก่ง-หฤษฎ์, สีดา พัวพิมล ที่ฟาดกันไม่ยั้งจนสร้างกระแสบอกต่อ พารายได้ พุ่งขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในสิ่งที่หลายคนชื่นชมคือฝีมือการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของสาวสวยมากความสามารถ “อิงฟ้า วราหะ” ที่สลัดลุคนางงามรับบทโหม๋ สาวสู้ชีวิต น้องสาวของ “เสก” ที่ถูกเก็บมาเลี้ยง และเป็นคนดูแล “แม่แสง” กระทั่งถึงวันที่ “เสก” จากไป “โหม๋” จึงได้รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของครั้งแรกในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือสวนทุเรียน ที่ครอบครัวเธอมีสิทธิ์ครอบครอง เรียกว่าทิ่มแทงฟาดฟันที่ไปสุดทุกอารมณ์ เลยชวนอิงฟ้าเปิดใจอีกแง่มุมของหนัง เริ่มจาก...

การทำงานในหนัง “วิมานหนาม”?

“วิมานหนามถือเป็นหนังเรื่องแรกในชีวิต ได้พลิกบทบาทเป็น โหม๋ ตอนแรกกังวลว่าจะเล่นได้ถึงอย่างที่พี่บอส-นฤเบศ ผู้กำกับ วางไว้มั้ย เพราะมีเรื่องการไต่อารมณ์เยอะมากแต่พอลงมือทำจริงๆ สิ่งที่คิดพังทลายไปตั้งแต่วันแรกที่เจอพี่บอสเลย ไม่กดดัน ไม่เครียด และรู้สึกสนุกค่ะ ท้าทายมากๆ เหมือนสลัดความเป็นนางงามออกไป ถือเป็นอีกเรื่องที่ยากที่สุด เอเนอร์จีของแต่ละคนที่เล่นในเรื่องนี้เยอะมากๆ มีทางเดียวคือเราต้องสู้ สู้ด้วยเอเนอร์จี ทำให้เกิดความสนุก รู้สึกคุ้มค่า ถือเป็นประสบการณ์ สำหรับฟ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้ไม่กลัวเรื่องไหนอีกเลย เพราะจบเรื่องนี้ไป ไปถ่ายบางกอกคณิกา ไปถ่ายคลับฟรายเดย์ ทำให้รู้สึกว่า พอเราเริ่มต้นจากจุดที่ยากมากๆแล้วเราทำได้ มันทำให้ก้าวต่อไปเราสามารถเดินไปอย่างมีภูมิคุ้มกัน ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถเป็นนักแสดงได้นะ นอกจากเป็นนักร้อง นางงาม”

...

คำว่าหนังเรื่องแรกในชีวิตมันมีความหมายยังไงกับเรา?

“ก็เตรียมหนักเหมือนกันสำหรับเรื่องนี้ค่ะ แล้วก็แบบว่าเวิร์กช็อปกันค่อนข้างเป็นเดือนกว่าจะได้ไปถ่ายกัน ทำการบ้านกันเรื่องของการแสดง มันก็มีความรู้สึกภูมิใจกับโอกาสที่เราได้ ว่าครั้งนึงเนาะเราเคยแต่ไปดูภาพยนตร์ แล้ววันนี้มีเราอยู่ในจอก็ทำให้เต็มที่ที่สุด แล้วก็รู้สึกว่าเราถ่ายเสร็จเราจะต้องไม่เสียดายกับทุกฉากทุกอย่างที่เราเล่นไป”

หลายคนแซวว่าในเรื่องหน้าสดไม่ห่วงสวย ได้แต่งหน้ามั้ย?

“มันก็แต่งนะ แต่งให้ดูมีอายุมากขึ้นนิดนึง เติมร่องแก้มให้ผิวเข้มขึ้นหรือให้มันดูเหมือนว่าเราผ่านการทำงานมาเยอะ โดนแดด ด้วยคาแรกเตอร์เราไม่รู้จักเรื่องของเครื่องสำอางเรื่องของการดูแลตัวเองอยู่แล้วด้วย ก็ทำให้ภาพมันออกมาสมบูรณ์ที่สุด”

ด้วยความเป็นคนสวย เห็นตัวเองในเรื่องตอนแรกเป็นไง?

“ตกใจ ด้วยความที่ตาเรามันค่อน ข้างจะมีความเป็นหอยแครงอยู่แล้วเนอะ แล้วในเรื่องคือมันต้องร้องไห้แบบโชกโชน หลายๆคนก็มีแซว บ้าง แต่จริงๆสำหรับหนูมันไม่ได้จะต้องมานั่งห่วงเราไม่ได้สวย คือเราไม่ได้รู้สึกว่าเราสวยอะไรขนาดนั้น เราอยากขายเรื่องของความสามารถ มากกว่าให้คนเชื่อเราจะรู้สึกดีกว่า”

เล่าถึงฉากในทีเซอร์ช็อตสะดุ้ง ถูก “เจฟ” ปาทุเรียนหน่อย?

“ซีนนั้นถ่ายกันตั้งแต่สี่ทุ่มจนเกือบๆ 6 โมงเช้า ของอีกวัน เป็นซีนที่ยากที่สุด ไม่ได้ยากเรื่องการแสดงอย่างเดียว องค์รวมทุกอย่างมันต้องได้ แล้วต้องส่งจริงๆ ตอนเจฟปาลูกทุเรียนก็เสียวนะ แต่ด้วยความที่รีแอ็กมันต้องไม่รู้มาก่อน มันก็ยาก ก็ต้องให้เค้าปามาเลยเดี๋ยวเราหลบ”

ร่วมงาน กับเจฟ ซาเตอร์ เป็นอย่างไรบ้าง?

“ตอนแรก ไม่กล้าคุยเพราะไม่เคยร่วมงานกัน แล้วเค้ามีอารมณ์ศิลปิน ซึ่งเราก็มี แต่เค้าออกแนวอินโทรเวิร์ต ไม่รู้จะเข้าหายังไงดี พอได้ละลายพฤติกรรม ผ่านการเวิร์กช็อป ก็ได้รู้ว่าเธอเป็นคนบ้าคนหนึ่ง (หัวเราะ) ซึ่งเราก็บ้าเหมือนกัน เรียกว่าเหมือนเป็นเคมีปีศาจ”

มีอะไรที่เราเซอร์ไพรส์ในตัวเจฟ?

“เยอะเลย ไม่คิดว่าเขาจะบ้าระห่ำขนาดนี้ คือคนเรามันจะมีความดาร์กในตัวแต่ก็ไม่คิดว่าเค้าจะเอาออกมาได้เยอะขนาดนี้ มันก็เลยทำให้พอเค้าส่งมาเลยทำให้หนูรู้ว่าเราก็ดาร์กได้มากเหมือนกัน ฉันก็มีของฉัน เลยยิ่งสนุกสนาน”

...

แล้วกับแม่สีดา พัวพิมล?

“แม่นี่คือมาเป็นปรมาจารย์ไปเลยนะเพราะว่าบางทีหัวเราะกันอยู่แต่พอเข้าฉากแม่ร้องไห้ได้เลย  เค้าเป็นคนที่ส่งอารมณ์ดีมากเป็นคนที่เล่นแล้วก็อิน จนหนูลืมไปเลยว่านี่คือแม่สีดา เป็นแม่แสงสมบูรณ์แบบมาก  อยากให้ดูเพราะเรื่องนี้เป็นการกลับมาของแม่สีดา คุ้มค่าที่รอผลงานของแม่”

หนังเล่าเรื่องความเท่าเทียม อินในการถ่ายทอดมั้ย?

“ความเท่าเทียมในหนังไม่ได้ตีแผ่แค่เรื่องสมรสเท่าเทียมในกลุ่ม LGBTQIA+ แต่มีความเท่าเทียมในเรื่องฐานะ เรื่องความเป็นมนุษย์ หลากหลายอย่างที่รวม เป็นอารมณ์ในแต่ละซีนในภาพยนตร์ หนูว่าเรื่องนี้คุ้มกับคนดู  มู้ดเรื่องดี ความลำบากของการถ่ายทำโลเกชันต่างๆ ทุกคนทุ่มทุนกันสุดๆ ยังไงก็คุ้มค่าค่ะ”

รู้สึกว่าเราโตเร็วมั้ย เราอยู่วงการไม่กี่ปีแต่บทที่เข้ามามันยาก และท้าทาย?

“โตเร็วมาก โตเร็ว ความโชคดีของหนูคือหนูได้ทำงานกับคนที่น่ารัก ได้ร่วมงานกับพี่บอส นักแสดงทุกคน ทีมงาน ตากล้อง เราอยู่กันแบบเป็นครอบครัว เพราะฉะนั้นพอเราทำงานความกดดันเรามันลดน้อยลงไป มันทำให้เราทำงานไปด้วยความสนุก”

...

ถึงตอนนี้คำว่านางเอกร้อยล้านคงไม่เกินจริงแล้ว เราฝันถึงโมเมนต์นี้มั้ย?

“ฝันค่ะ ฝันเพราะว่าอยากให้เรื่องนี้ไปได้ไกลที่สุด นอกเหนือจากคนไทยถึงอยากให้คนทั่วโลกได้ดูหนังของคนไทยที่เราทำภาพแบบนี้ ทำเนื้อเรื่องแบบนี้ อยากให้ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าถามถึงเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ ก็มีหลักๆเลยก็เรื่องแรกเลยที่เห็นกันชัดๆ King of Fruit  ของเรา ด้วยโลเกชันจริงๆ สวนทุเรียนจริงๆด้วย แล้วก็เรื่องของการสะท้อนสังคมกฎหมายสมรสเท่าเทียม”

ตอนถ่ายอยู่ในโหมดของการฟาดฟันตลอดเวลา ชีวิตเราช่วงนั้นเป็นไง?

“ทำให้เรารู้ว่าโอ้โหเราสามารถที่จะทำให้ตัวเองดาร์กไปได้มากแค่ไหน ในเรื่องของความโมโห ความเสียใจ ความต่อสู้ ความเป็นนักสู้ของเรา ก็สนุกค่ะ”

การใช้ชีวิตช่วงนั้นคนรอบข้างรู้สึกว่าเราเหมือนโหม๋อยู่กับตัวเรามั้ย?

“มีค่ะ มีช่วงนึงที่เราไม่ได้ถึงขั้นโวยวายแต่ว่าเหมือนเก็บเนื้อเก็บตัวมากขึ้น รู้สึกว่าอยู่กับตัวเองเยอะเกินไป นิ่งมากขึ้น แล้วก็ตาเราแบบว่ายังเป็นโหม๋ ด้วยความที่เวลาโหม๋แสดงความรู้สึกเค้าจะไม่ค่อยพูด จะออกมาทางตา ก็ติดมาใช้เหมือนกันตอนช่วงที่สลับคิวมาถ่ายงานที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นไปๆมาๆ”

ยากมั้ยที่ต้องคงความเป็นโหม๋ไว้กับตัวไปด้วย?

“ยากค่ะ เพราะพอมันเป็นภาพยนตร์จอมันใหญ่ทุกอย่างมันเล่นละเอียดมาก แล้วเราจะมี การเก็บดีเทล ค่อนข้างเยอะนิดนึง”

ติดมาแบบที่คนรอบตัวทักเราเลยมั้ย?

“เช่นบางทีเวลาหนูไม่พอใจอะไร หนูจะหันไปพูดเลยว่า อันนี้ไม่เอา กลับกลายเป็นว่าแบบผ่านไปแล้วมอง ก็จะมีการเตือนๆกันบ้างว่าเฮ้ย คนอื่นเค้าไม่รู้เนอะ  เดี๋ยวเค้ามองเราไม่ดีได้ อย่างที่บอกว่าหลังจากที่หนูถ่ายเรื่องนี้เสร็จ หนูไปถ่ายบางกอกคณิกาต่อ เลยต้องเอาความเป็นแม่กุหลาบกลับมา แต่ว่าพอเราอยู่กับแม่กุหลาบนานๆก็ทำให้ให้ดีลีตตัวโหม๋ออกไปได้เหมือนกัน”

...

กับหลากหลายคำชื่นชม ทั้งตั้ง-ตะวันวาด ช่างภาพ ชมว่าเราเป็นนักแสดงที่ดีที่สุด และอื่นๆเวลาที่เราทำอะไรไปแล้วมันถึง รู้สึกยังไง?

“มันหายเหนื่อยค่ะ อย่างที่บอกว่ามันเหนื่อยจริงๆ เรื่องนี้มันโหดมากเรื่องของอากาศ กลางวันก็ร้อน กลางคืนก็หนาวมาก มันหลายอย่าง แล้วก็พอเราได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ และจากใครหลายๆคนเนี่ย มันทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราตั้งใจไปมันไม่สูญเปล่า เพราะหลังจากหนูถ่ายเรื่องนี้กลับไปคือหนูแบบทั้งผิวไหม้ ทั้งอะไร เรากลับมารีบูตตัวเอง หนักมากเพราะตอนถ่ายเราก็ปล่อยเต็มที่ ก็หายเหนื่อยคุ้มค่า”

ศิลปินนักแสดงหลายคนการทำงานที่เจอแต่งานยากและเข้ามาอย่างรวดเร็วแทบจะไม่มีช่วงเวลานิ่งๆให้ตัวเอง เราใช้ช่วงเวลาไหนในการพัฒนาตัวเองไปด้วย?

“หนูว่าในช่วงการพัฒนาของหนูก็อยู่ในช่วงการทำงาน เพราะว่าเราได้ทำงานกับคนที่เป็นมืออาชีพ อย่างการถ่ายทำวิมานหนาม ทุกคนก็เป็นแบบมืออาชีพ แล้วมาเจอบางกอกคณิกา ทุกคนก็รุ่นใหญ่ สอนเราไปในตัวด้วย นั่งคุยกันเรื่องของละครด้วย เรื่องของการใช้ชีวิต  เหมือนในระหว่างที่เราทำงานเราได้เรียนรู้อะไรไปด้วย ก็ทำให้เราแบบไปได้ไวเหมือนกัน”

“โหม๋” สู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับให้อะไรกับ “อิงฟ้า” ในด้านความแข็งแกร่งในการใช้ชีวิตบ้าง?

“ได้ความสะใจ (ยิ้ม) ว่าคนเรามันสู้ไปได้มากถึงแค่ไหนถึงได้เข้าใจคำว่าหมาจนตรอกมันเป็นยังไง เรื่องนี้มันทำให้เราเห็นเลยว่าคนที่มันสู้แบบหมาจนตรอกแล้ว มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วอะมันเป็นยังไง”

แล้วการสู้ชีวิตกว่าจะเป็นอิงฟ้าวันนี้ล่ะ?

“ก็มีความสะใจเหมือนกัน มันก็สู้จนตรอกเหมือนกันนะกว่าเราจะมาถึงทุกวันนี้ ตอนประกวดตอนอะไร แล้วก็ความสะใจคือในเรื่องที่เราโดนดราม่าเยอะโดนง่ายมาก สารพัดสารเพ คนตัดสินเรานู่นนี่นั่น แต่พอเรามาถึงวันนี้คนเปิดใจให้เราเยอะขึ้นมากถึงแม้มันอาจจะไม่ 100% แต่ว่ามันก็ยังมากขึ้นเรื่อยๆที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้รับพลังงานบวกเวลาที่เราแบบเข้าไปอ่าน มันก็หายเหนื่อยเหมือนเป็นการตอบกลับด้วยความสำเร็จ เราไม่ได้ไปด่าใครกลับว่าเรานู่นนี่นั่น แต่เราตอบกลับเค้าด้วยความสำเร็จว่าเฮ้ยวันนั้นที่บอกว่าเราไม่สมตำแหน่ง วันนี้เราทำให้เห็นว่าวันนั้นก็ควรจะเป็นเรามันถูกต้องแล้ว”.