ครั้งแรก หนิง ปณิตา คุณแม่สายสตรองที่วันนี้ขอเปิดชีวิตหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเต็มตัว ! ด้าน น้องณิริน ลูกสาววัย 11 ขวบ ย้อนเล่าเหตุการณ์ในวัย 9 ขวบโดนเพื่อนบูลลี่หนักจนสูญเสียความมั่นใจ เก็บตัวเงียบ! พร้อมเปิดความสนิทคู่แม่ลูกและความแสบของน้องณิรินที่กล้าขัดใจแม่หนิง จนทำให้แม่หนิงงอนหนักมาก แล้วอะไรที่ทำให้แม่หนิงถึงกับต้องปาดน้ำตา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ ณิริน คิดการใหญ่ขัดคำสั่งแม่หนิงจนทำให้แม่หนิงหัวร้อน ในรายการ "คุยแซ่บ Show สเปเชียล" ทางช่อง One31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และบูม สุภาพร เป็นพิธีกร
มรสุมชีวิตผ่านไปแล้ว?
หนิง : จะว่าผ่านไปมั้ยก็ไม่เชิงเพราะชีวิตคนเรามันจะมีเรื่องใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา อยู่ที่ว่าเรามองเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กหรือว่าเป็นเรื่องใหญ่
ตอนนี้พี่หนิงรับบทเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว 100% เลย?
หนิง : จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ ก็เรียกได้ว่าปัญหาที่เราจะต้องเคลียร์แต่ละปัญหาในเรื่องส่วนตัว และแน่นอนที่สุดเรื่องส่วนตัวของคนที่เป็นครอบครัวมันก็เป็นเรื่องของครอบครัวด้วย แล้วส่วนสำคัญที่สุดก็คือดันว่าปัญหาเกิดขึ้นในช่วงณิรินเองกำลังเข้าสู่วัยรุ่น ถ้าตอนที่เราเกิดปัญหาในช่วงณิรินเด็กๆ มันอาจจะง่าย แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นช่วงที่เขาเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็จะมีความเป็นวัยรุ่นของเขา เรื่องราวของเขา ฮอร์โมนแปรปรวนของเขา อะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน เลยรู้สึกว่ามันหนักจังเลยสำหรับเรา
...
พี่หนิงใช้วิธียังไง?
หนิง : ใช้วิธีปิดเรื่องทุกเรื่องไม่ให้เขารู้เรื่อง แล้วเวลาเกิดเรื่องอะไรก็จะพยายามอธิบายให้เขาฟัง ทำอะไรก็ได้ที่ให้รู้สึกว่าเขาสบายใจที่สุด แล้วเขาอยากได้ยินอะไร ปกป้องรอบด้านเลย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าตัวหนิงเองล้ม เหนื่อย เหมือนพังเอง ก็มีการคุยกับจิตแพทย์ สุดท้ายคำตอบที่ดีที่สุด สอนให้เขาเรียนรู้จากความจริงที่เกิดขึ้นในมุมที่เบาที่สุด
พอรับรู้เรื่องแล้วณิรินจัดการกับตัวเองยังไง?
ณิริน : พอหนูรู้เรื่องตอนแรกก็เสียใจ ก็คือนั่งคุยกัน 3 คน เหตุผลอะไรที่จะทำให้เขาแยกเพราะหนูไม่เข้าใจ ณ ตอนนั้น แต่ว่าหม่ามี้ก็อธิบายให้ฟังว่าการที่พ่อแม่แยกทางกันมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่มันแย่ มันคือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเกือบทุกครอบครัวในโลก มันก็คือเรื่องปกติเพราะยังไงเขาก็รักเราเหมือนเดิม เขาแค่เปลี่ยนสถานะกลายเป็นเพื่อนกัน หนูก็ยังได้เจอคุณปู่ คุณย่า ยังได้ทำอะไรเหมือนเดิม แค่พ่อกับแม่เป็นเพื่อนกัน หนูก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าถ้าเขาแยกกันปัญหามันจะไม่เยอะกว่าเดิม เขาจะไม่มานั่งทะเลาะกันทุกวัน
หนิง : แต่ว่าในมุมของเด็กเขาไม่ได้สามารถจะเข้าใจได้ในแค่วันเดียวนะ สมมติว่า 1 เดือนในคำพูดคำเดิมเขาจะเข้าใจแบบนี้ ผ่านมาอีก 2 เดือนเขาจะเข้าใจดีขึ้น ผ่านมาอีก 3 เดือนเขาจะค่อยๆ เข้าใจ เหมือนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา แล้วต้องทำให้เรื่องใหม่ต้องกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเขา
แล้วเขาจะได้เรียนรู้ต่อไปในอนาคตว่าเวลาเรามีเรื่องอะไรเข้ามาต่อให้ไม่ใช่เรื่องนี้ ทุกอย่างคือเรื่องใหม่และมันจะดีขึ้นตามสเตป ดังนั้นอย่ากังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด อันนี้ต้องพยายามใจเย็นและพูดกับเขาในทุกๆ วัน มันไม่ใช่แค่เราพูดนะ คำพูดไม่มีประโยชน์เลย การกระทำมีประโยชน์ที่สุด มันเลยทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเราเองเยอะ ใช้คำว่าเยอะมาก โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
เราต้องโฟกัสลูกเรามากขึ้นกว่าเดิมมั้ย?
หนิง : มากขึ้นกว่าเดิม ใช้คำว่าหลายๆ เท่าตัวได้เลย
ลูกเราเข้าใจเราทุกอย่าง คนเป็นแม่รู้สึกยังไงบ้าง?
หนิง : คำพูดเขา เขาเข้าใจเพราะเขาไม่อยากทำให้เราต้องมีห่วง ต้องกังวล เด็กคือเด็กเขาไม่ได้เข้าใจทั้งหมดหรอก แต่ความโชคดีที่สุดของหนิง หนิงมีคนรอบๆ ข้างที่ทำงานกันเป็นทีม อันนี้เป็นความโชคดีที่สุด ไม่รู้จะขอบคุณยังไง แต่ในช่วงกระบวนการ 2 ปีที่ผ่านมาที่มีปัญหาทุกคนจะรู้ว่าเขาจะมีเวย์หลุดๆ ที่บางทีเขาไม่เข้าใจตัวเขาเอง แล้วเขาก็จะแสดงพฤติกรรมหรือแสดงอะไรบางอย่างออกไปให้ดูว่าสิ่งนี้มันไม่น่ารัก แต่ทุกคนก็เข้าใจเขา แต่หนิงกลับมาก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาฟังว่าทุกคนพร้อมจะเป็นเบาะให้หนู ฉะนั้นหนูต้องน่ารักด้วย ความรักของหนูไม่ได้หายไปเลย แถมเพิ่มเยอะมากขึ้นด้วยจากที่ทุกคนชื่นชมเขา อยากจะเห็นการเจริญเติบโต ลิตเติ้ลณิรินของพวกเรา
ปัญหาที่เกิดอีกที่ก็คือที่โรงเรียน การโดนบูลลี่ โดนยังไงบ้าง?
ณิริน : มันเริ่มจากตอนหนูอยู่ปี 5 เหมือนตอนนั้นเป็นคลาสว่ายน้ำ มีเพื่อนคนนึงเขาตะโกนขึ้นมาว่ารู้มั้ยว่าพ่อแม่ของณิรินเขาเลิกกันนะ ตะโกนต่อหน้าเพื่อนๆ ครู อันนั้นหนูก็รู้สึกว่าจะมายุ่งเรื่องบ้านเราทำไม แต่หนูก็ไม่ได้พูดอะไร ก็ปล่อยให้เขาพูดไป เพราะเราไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้ว แล้วก็อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งเขาก็มาบอกเราว่าหนูไม่เก่งอะไรสักอย่าง เล่นเปียโนแย่ ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง หนูก็เลยเสียความมั่นใจไปตรงนั้น ก็เลยไม่กล้าทำอะไรในโรงเรียน เก็บตัว ปิดหน้า ไม่มีตัวตนในโรงเรียน
...
ตอนนั้นรับมือยังไง?
ณิริน : หนูคิดว่าถ้าหนูเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเขา ไปบอกว่าหนูไม่ได้เป็นแบบนี้นะ หนูจะยิ่งเครียด เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ หนูก็ไม่ยุ่ง หนูก็อยู่ส่วนของหนู เขาก็อยู่ส่วนของเขา ถ้าเขาจะมายุ่งกับหนูก็ปล่อยให้เขายุ่งไป หนูไม่ได้ทำอะไรผิด
หนิง : เหตุการณ์นี้ก็พอจะรู้มาคร่าวๆ แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด ส่วนตัวหนิงเองเชื่อเสมอว่า เราส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียน ไปเรียนหนังสือ และไปเรียนรู้สังคมที่จะปรับตัวและโตขึ้นไปใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้นสังคมโรงเรียนผู้ปกครองไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นสังคมโรงเรียนกลายเป็นสังคมผู้ปกครอง ซึ่งทุกวันนี้มันแทบจะเป็นแบบนั้น
เรารู้คร่าวๆ แล้วก็ปล่อยทั้งที่เราเจ็บนะ แล้วต้องฝืนใจไปถามตะล่อมๆ ทางนั้นทางนี้ ยืนดูอยู่นิ่งๆ ใจแข็งๆ ว่าเขาจะเผชิญมันไปได้ยังไง หลังจากนั้นเขาเผชิญทุกอย่างไปได้ดีหมดเลยนะ แต่เชื่อมั้ยว่าเพิ่งมาทราบเรื่องเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ว่าเขาไปร้องไห้กับเพื่อนสนิทเขาคนหนึ่งในมุมตึกโรงเรียนแล้วไม่เข้าเรียน
...
แล้วทุกครั้งที่โทรไปหาพี่เนิร์สแล้วโทรมาบอกว่าหนูปวดท้อง หนูปวดหัว ให้คุณแม่มารับกลับบ้าน นั่นคือเขาไม่ไหวแล้วที่โรงเรียน แต่มารู้เรื่องนี้ทีหลังจากที่ผ่านไปแล้วนะ เราเล่าสู่กันฟังได้เพื่อเป็นการถอดบทเรียนที่ว่าบางทีผู้ปกครองเองต้องดูแล เวลามีเรื่องราวอะไรต้องอย่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งสักเท่าไร
เลือกที่จะไม่บอกคุณแม่เพราะว่า?
ณิริน : คือหม่ามี้ก็ทำงานเยอะ มันจะเครียด หนูรู้เลยล้านเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าหนูบอกแม่ แม่ต้องโทรไปปรึกษาน้าๆ น้าๆ เขาก็มีลูก มีงาน มีอะไรต้องทำ หนูก็เกรงใจหม่ามี้แล้วก็น้าๆ หนูก็เงียบไม่ได้พูดอะไร
แล้วตอนนั้นยังอยากไปโรงเรียนมั้ย?
ณิริน : หนูแค่รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียน ก็ไปปกติ ไม่ได้มีคิดว่าอยากไปไม่ไป หนูก็ยังมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่หนูสนิท เขาก็ช่วยหนู อยากไปโรงเรียนเพราะอยากเจอเพื่อนกลุ่มนี้
หนิง : หนิงใช้วิธีซึมๆ เข้าไปอยู่ในแก๊งเด็กแล้วก็ไปฟังเด็กๆ คุยถึงลูกเรา แล้วก็ประมวลผลและกลับมาบอกณิรินว่า ณิรินยังอยากไปโรงเรียนอยู่อีกมั้ย ถ้าไม่อยากไปย้ายโรงเรียน เขาส่ายหน้า เพราะถ้าเขาย้าย เขาต้องไปเริ่มใหม่ แล้วไม่รู้ว่าที่ใหม่มันจะหนักกว่าเดิม นี่คือคำตอบของลูก เขาสู้ แล้วก็บอกกับเขาว่า ชีวิตณิรินโคตรมีค่าเลย ฉะนั้นใครจะมาบูลลี่เราไม่ได้
ต่อให้เราไม่เก่ง เราก็ต้องพยายามฝึกฝน เราอาจจะไม่เก่งจริงก็ได้ ใครว่าอะไรกลับมาดูตัวเอง ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ มั้ย ถ้าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชีวิตคนเราถ้าเรายอมรับว่าเราผิด เรายอมรับว่าเราเป็น เราจะแก้ไขได้ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วมีอีโก้ เราจะแก้ไขไม่ได้ เขาก็ยอมรับบางเรื่องว่าเขาเป็นกระต่ายกับเต่า
...
คือยังไง?
หนิง : เวลาเขาไปเรียนอะไรใดๆ สมมติเรียนเปียโนครูจะบอกว่าหูดีมาก ฟังดีมาก บางคนเพลงเพลงนึงใช้เวลาเรียนชั่วโมงนึง ยัยนี่ 15 นาทีจำทุกอย่างได้หมดแต่ไม่ซ้อม ฉะนั้นก็ต้องฝึก แต่ถ้าคิดว่าใช่แล้วไม่ต้องสนใจเลย และสิ่งที่หนูทำอยู่ทุกวันนี้ทำผิดมั้ย ถ้าไม่ผิดเรามีคุณค่าส่องแสงมันออกมา แต่ใช้เวลา 1 ปีกว่าเขาจะเข้าใจเรื่องพวกนี้
ณิริน : ขี้เกียจ ยอมรับว่าขี้เกียจ
มีอะไรมาจุดประกายให้เราลุกขึ้นสู้?
ณิริน : คือหนูโดนบูลลี่บ่อยจนหนูเริ่มไม่ไหวแล้ว ตอนแรกคิดว่าควรย้ายโรงเรียนมั้ยที่แม่มาบอกกับหนู แต่ก็กลับมานั่งคิดกับตัวเองอีกทีว่าสิ่งที่หนูพูดกับแม่ไปวันนั้น หนูเอากลับมาคิดใหม่ว่าควรมั้ย หนูก็คิดว่าไม่ควร ถ้ามีปัญหาตรงนี้ก็แก้ตรงนี้ไม่ใช่ไปมีที่อื่น กลายเป็นว่ามันจะไม่มีอะไรแก้ได้เลย หนูรู้สึกแบบนั้น หนูก็กลับมาคุยกับแม่ว่าทำยังไงดี แม่ก็บอกว่าหนูลองทำอะไรสักอย่างในโรงเรียนมั้ย ร้องเพลงหรือว่าเปียโนทำอะไรก็ได้ที่หนูชอบ หนูว่าก็น่าจะโอเค
คือโรงเรียนหนูทุกปีสำหรับปี 6 จะมีละครเวทีทุกปี แต่ละปีมันจะเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ ปีนี้เป็นอาลาดิน วันนั้นเป็นห้องออดิชันพอดีเลยตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปไปออดิชัน หนูคิดว่าถ้าหนูออดิชันแล้วหนูได้ หนูจะข้ามสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหนูไปได้เลย หนูก็เลยลองเข้าไปออดิชัน ซึ่งหนูคิดว่าหนูไม่มีทางได้อยู่แล้ว หนูก็แค่ทำดีที่สุด ซึ่งหนูก็ได้เล่นเป็นจัสมิน หนูกลับมาบอกแม่ว่ามันมีออดิชันหนูได้เข้าไฟนอลนะ หนูว่าหนูไม่ได้ หม่ามี้ก็ลองเชียร์ดูแล้วกัน
อีกสองอาทิตย์ผ่านมาเขาก็ประกาศผล เขาก็พูดขึ้นมาว่าณิรินเป็นจัสมิน 1 นะ แล้วเพื่อนอีกคนเป็นจัสมิน 2 หนูก็กลับมาบอกหม่ามี้ว่าใจเย็นๆ นะ อย่าเพิ่งกรี๊ดนะ หนูได้เป็นจัสมิน อีก 5 นาทีทุกคนโทรมาหาหนูมิสคอลเป็นสิบๆ สาย มีน้า ปู่ ย่า ตา ยาย มาหมดเลยทุกคนเลย หนูก็ไม่คิดว่าหนูได้ ก็ยังช็อกกับตรงนั้นอยู่ วันที่ได้โชว์รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็มีความมั่นใจขึ้นมา รู้สึกว่าถ้าหนูทำตรงนี้ได้ เพื่อนที่เขาเคยบูลลี่เรา เขาก็จะได้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูด
ความรู้สึกที่ลูกบอกว่าแม่ใจเย็นๆ นะ แม่หนูได้เป็นจัสมิน?
หนิง : มันไม่ได้ต้องการให้ลูกขึ้นไปโชว์บนเวที ไม่ต้องการให้ลูกทำอะไรแล้วเด่น แต่เรารู้ว่านี่คือความสุขของเขา แล้วเขาก้าวผ่านมันไปอีกสเตปนึง เราก็รู้ว่าความสุขของเขาในการร้อง การเต้น ที่ผ่านมาเหมือนเราเคยยั้งเขาเอาไว้ คือทุกคนจะเข้าใจว่าเราอยากให้ลูกเป็นดารา เป็นศิลปิน แต่ในความเป็นจริง เราดึงเอาไว้ตลอดทุกครั้งที่เขาทำ เราไม่อยากให้เขาทำเยอะ อยากให้เขาเรียนหนังสือ อยากให้ใช้ชีวิต
แต่ทุกครั้งที่มีงานคอนเนกชันหนิงอันนี้ปฏิเสธไม่ได้ อันนี้เขาอยากทำเอง เดินไปขอผู้ใหญ่เอง เราเลยรู้สึกว่าเขาหาตัวตนเขาเจอ แล้วเขามีความสุขกับมัน เขาก้าวผ่านมันไปอีกหนึ่งสเตป อีกแค่สเตปเดียวนะ แต่หลังจากนี้มันก็ต้องมีสเตปของการจะจริงจังกับมันแค่ไหน จะเดินหน้าต่อไปในอนาคตยังไง ก็เป็นอีกสเตปของชีวิต
ณิริน : หนูรู้สึกว่าพอหนูโชว์วันนั้นหนูก็ตกใจนะ แล้วก็รู้สึกว่าหนูเลือกถูกมั้ย เพราะบ้านอื่นเขามากันแค่ 4-5 คน บ้านอื่นจะมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า คุณยาย น้า แค่นั้นไม่เกิน 10 แต่แม่แห่กองเชียร์มาประมาณ 20 คน แล้วโรงเรียนหนูจะแยกพื้นที่ข้างล่างจะมีสามส่วน ข้างบนอีกสอง ข้างบนเดินขึ้นบันไดไป 10 กว่าส่วน
แล้วมันก็จะมีส่วนที่อยู่ข้างซ้ายของเวที แล้วมันจะมีตรงกลางแล้วตรงกลางตรงนั้นมันจะมี 50 กว่าที่นั่ง คือทั้งหมด 50 กว่าที่นั่งตรงนั้นบ้านหนูหมดเลยแล้วนั่งตรงตรงกลางแถวแรกจนไปถึงแถวที่สี่ หนูอยู่บนเวทีจะชอบหันมาดูครอบครัวว่าเขาทำอะไรกันอยู่ หนูเห็นอาม่านั่งสวดมนต์ แล้วนั่งเหลือกตามอง หนูก็ฮึบแล้วค่อยมาขำหลังเวที (หัวเราะ)
ที่ถูกบูลลี่เล่นเปียโนไม่เก่ง เล่นดนตรีไม่เก่ง ตอนนี้เป็นยังไง?
ณิริน : ตอนนี้มีวงดนตรีชื่อวง Clover ช่วยไปกดไลค์ให้หนูหน่อยนะคะ เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปเป็นแบนด์ของผู้หญิง ขอบคุณหม่ามี้นะคะที่ซัพพอร์ตหนู
เรื่องสีผมมีความผิดพลาดเหมือนกันในความเนี้ยบ?
หนิง : เรื่องสีผมเป็นอะไรที่ตอนนี้ยังไม่หายโกรธกันนะในขณะที่นั่งสัมภาษณ์กัน
หนูขออนุญาตแม่ทำสีผม?
หนิง : หนูเล่าเอง
ณิริน : อย่ากดดันหนูนะ หนูพูดความจริงแล้วค่ะ
หนิง : โกหก
ณิริน : หนูกำลังจะเล่า ค่อยๆ ไป ใจเย็นๆ นะคะ ก็คือเหมือนวันนั้นหนูเห็นเพื่อนหนูไปต่างประเทศทำสีผมทำสีแดงสีนู่นสีนั่น หนูก็อยากทำ ก็เลยขอว่าหม่ามี้ขา หนูขอทำสีผมได้ไหม แม่ก็บอกว่าเดี๋ยวฉันคิดดูก่อน อีกวันหนูถามหม่ามี้ไม่ให้ แล้วหนูไปเดินห้างกับเพื่อน หนูก็เลยแอบซื้อที่ย้อมผมมา ทำเองที่บ้านค่ะ
หนิง : แล้วพอหนิงเห็นสีผมปุ๊บ ณิรินทำไมมันแดงขนาดนี้
ณิริน : หนูบอกว่าหนูใช้บีทรูท
แล้วแม่เชื่อไหม?
หนิง : เขาบอกว่าเขาใช้บีทรูท เอ๊ะ บีทรูทเป็นผลไม้ มันไม่สามารถจะติดได้ขนาดนี้นะณิริน
ณิริน : แต่หนูใช้มะนาวด้วยมันกัดผมมันก็เลยเข้าไปเป็นสีนี้
หนิง : เขาบอกว่าดูมาจาก TikTok แล้วเราก็ถูกหมอจิตแพทย์บอกกับเราว่าเราอย่าไปคิดว่าตัวเราจะรู้ทุกเรื่อง รู้ทุกอย่างในวัยเราแบบนี้ วัยเขาเป็นแบบนี้ เราต้องฟังเขาเยอะๆ ต้องเชื่อในความเป็นเขาเยอะๆ ว่าคนละวัยต่างวัย เราก็คิดว่าวิธีการแบบนี้มันก็อาจจะมีก็ได้นะ มันก็ตงิดๆ ทุกอย่างอยู่ในหัว
ณิริน : สับบีทรูทเสร็จแล้วเอาไปต้มเพื่อให้น้ำมันออกเสร็จแล้วผสมกับครีมนวดผม เสร็จแล้วเอาบีทรูทไปบดแล้วก็ผสมกับครีมนวดผมแล้วบีบมะนาวแล้วเอาใส่หัว
หนิง : ซึ่งเขาทำแบบนั้นแล้วจริงๆ ตาม TikTok แต่มันไม่รอด สีมันไม่ติด เขาก็เลยเอาสีมาย้อม แต่เขาบอกว่าเขาทำแบบนั้น เราก็เชื่อไปเต็มหัวใจ แต่ข้างในมันตงิดๆ เราอยู่คุยแซ่บฯ ระหว่างทำผมก็ถามว่าพี่ๆ บีทรูทกับมะนาวมันติดผมได้มั้ย ไม่ได้ หนิงไปฟังมาจากที่ไหน โทรไปหาคนทำสีผม เชอร์รี่ๆ ไอ้บีทรูทกับมะนาวมันติดสีผมได้มั้ย ไม่ได้แม่ จนไปเห็นอีกล่องสีมันอยู่ในถังขยะ เราก็เชื่อเพราะพยายามฟังสิ่งที่หมอบอกแล้วเราก็ปรับปรุงตัวเรา เราก็ต้องฟังเด็กเยอะๆ เด็กไม่ได้ผิดเสมอ แล้วมันหลายครั้งมันเกิดแบบนั้นจริงๆ ที่เราพูดไปเสร็จแล้วณิรินถูกแล้วหนิงก็มาขอโทษเขา
แล้วทำยังไงพอแม่ไปเจอสี?
ณิริน : โกหกไม่ได้แล้วไงคะ ก็หม่ามี้รู้แล้ว หนูก็นั่งคุยว่าขอโทษค่ะ หนูอยากทำจริงๆ ก็อธิบายเหตุผลว่าเพื่อนทำแล้วรู้สึกโดดเดี่ยว แล้วเพื่อนก็ทำทุกคน หนูทำมันก็ต้องเฟดออกอยู่แล้ว เดี๋ยวผมดำก็ขึ้นมา
หนิง : ต้องบอกว่าแยกเป็น 2 ส่วนนะ ไม่ห้ามแต่ห้ามโกหก แล้วที่ไม่ให้ทำมีเหตุผลในการไม่ให้ทำ 1.ผมเสีย 2.ก่อนที่เพื่อนจะทำ เขาทำนำหน้าเพื่อนไปก่อนแล้ว ซึ่ง ณ วันนั้นเราห้ามเขาแล้วว่าณิรินห้ามทำนะ แต่ยูทำไปแล้ว แล้วถ้ามาทำพร้อมกับเพื่อนก็จะอยู่ในกลุ่มเดียวกับเพื่อนแล้วไงนั่นคือเหตุผลที่เราสอนเขา
เขาทำตั้งแต่ตอน 9 ขวบ แต่ตอนนั้นที่ยอมให้เขาทำเพราะเขาก็มีปัญหาเรื่องราวในชีวิตเขา เรารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ได้ผิดอะไรกับใคร แล้วมันก็ทำให้เขามีความสุข บางเรื่องเราก็เบาๆ ปล่อยเขาไปบ้าง แต่มีการพูดเหตุผลวันนั้นว่าถ้าทำวันนั้นเดี๋ยวเวลาเพื่อนๆ เขาได้ทำกัน ยูจะไม่ได้ทำแล้วนะ เขารับข้อเสนอตรงนั้นไปแล้ว พอมาถึงวันนี้เขาใช้วิธีการโกหก แต่ถ้าวันนู้นเขาไม่ทำ เขามาทำวันนี้พร้อมเพื่อนเขา หนิงอนุญาตอยู่แล้ว 100% มันมีเหตุและมีผลที่จะต้องสอนเขา เวลา สถานการณ์ตอนไหนคือเหมาะ เด็กอย่าให้ตามแฟชั่นมากเกินไปต้องดูสถานการณ์ว่าแค่ไหนถึงเหมาะแค่ไหนถึงควรแล้วได้แค่ไหน
บอกรักกันนิดนึงได้มั้ย?
ณิริน : ขอบคุณนะคะที่ซัพพอร์ตหนูเวลาหนูเสียใจ หนูรักแม่ค่ะ
หนิง : หนิงพูดกับณิรินทุกวัน เราเป็นแม่ลูกที่พูดว่ารักทุกวัน อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการกระทำ พยายามทำให้เขารู้ว่าในทุกๆ วันที่หนิงทำในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะทำงาน ไม่ว่าบางวันที่จะเล่นหรือทุกๆ สิ่งที่เขาทำหนิงทำเพื่อเขา ดื้อให้น้อยๆ เถียงน้อยๆ
ณิริน : หม่ามี้บ่นนิดเดียวก็ได้นะคะ เดี๋ยวเจ็บคอ
พี่หนิงอยากให้เขาโตมาเป็นแบบไหน?
หนิง : ให้มีความสุขแล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ให้หาเลี้ยงตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร มีความสุขในแบบของเขา ไม่ต้องรวย ไม่ต้องเป็นคุณหนู ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ให้ใช้ชีวิตได้รอดแล้วไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ไม่ต้องให้ใครมาหลอกเราให้เราต้องร้องไห้ให้เจ็บ ให้เขาแข็งแรง มันยากมากนะ แต่เชื่อว่าแม่ๆ ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุข แล้วก็ไม่เจ็บปวดเหมือนที่เราโดน เหมือนที่เราเป็น
วันนี้ลูกอยากจะขออะไรพี่หนิงอย่างหนึ่ง?
ณิริน : หม่ามี้ไม่ว่าหนูเรื่องสีผมได้มั้ย ไม่โกรธหนูเรื่องสีผมได้มั้ย ไม่บ่นหนูเรื่องสีผมได้มั้ยคะ
หนิง : มันก็ผ่านไปแล้ว มันเป็นบทลงโทษว่าถ้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเราหัดที่จะโกหก การโกหกมันคือความไม่ซื่อสัตย์ ถ้าเรื่องเล็กน้อยเรายังทำ แล้วถ้ามันลามไปเรื่องใหญ่แล้วมันมีผลกระทบกับอะไร วันนั้นมันจะไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องที่เรากำลังฝึกเขาอยู่เหมือนกัน
ณิริน : หนูขอโทษหม่ามี้ หนูจะไม่โกหกอีก
หนิง : วันนี้วันแม่ ขอส่งความรักให้แม่ๆ ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ พลังของมนุษย์แม่จะทำให้ลูกเรารอด แล้วก็เป็นคนดีของสังคมได้ ขอให้แม่ๆ ทุกคนบนโลกนี้ไม่ต้องกลัวกับอะไร ขอให้เชื่อในพลังของความเป็นแม่
คลิกเพื่ออ่าน ข่าวบันเทิง เพิ่มเติม