"ผมไม่ใช่คนซุปเปอร์ฉลาด แต่เมื่อผมได้สัมภาษณ์แขกรับเชิญ ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้กับผม ตลอด 20 กว่าปี มีประมาณ 2,000 กว่าคน ผมมีอาจารย์มากถึงขนาดนี้ ผมต้องฉลาดขึ้นบ้างล่ะวะ"

ถ่อมตัว อาจจะเป็นความรู้สึกเมื่อเราได้ยินประโยคนี้จากปาก 'ดู๋ สัญญา คุณากร' พิธีกรมากฝีมือ ย้อนแย้งกับภาพบนเวทีที่เราเห็นว่า สามารถรับมือกับแขกรับเชิญทุกคนได้อยู่หมัด เรามองเห็นแววตาชื่นชมและขอบคุณขณะพูดประโยคนี้ชัดเจน 

EP.นี้ ชีวิต บาดแผล ปรัชญาความรัก ทุกคำตอบของ 'ดู๋ สัญญา' เราสัญญาคุณจะไม่เคยได้ยินที่ไหน Thairath Talk ที่แรก!

ผมเป็นพิธีกร

ไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์ 

Thairath Talk : ผมไม่เห็นพี่ดู๋ออกรายการสัมภาษณ์บ่อยนัก เพราะอะไรครับ

บางทีผมไม่สัมภาษณ์บ่อยนัก เพราะชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรพิสดาร บางทีฟังจนจบไม่มีน้ำตาไหลเลยไม่มีตอนตื่นเต้นเลย พี่มาทำไมเนี่ย เรื่องเล่าผมเยอะก็จริง แต่ไม่ดุเดือดไปสร้างเป็นหนังไม่ได้ มันเรียบง่ายเกินไป มันไม่ดราม่า

Thairath Talk : ชีวิตจริงเบื้องหลังกล้องเป็นอย่างไรครับ ผมได้ยินลูกน้องพี่ดู๋บอกว่า พี่ดุมาก

บางช่วงก็มีคนบอก ผมก็ฟังทุกอันนะ เคยมีดุ แต่ดุของผมคือเรื่องงานเท่านั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ผมไม่เชื่อวิธีการที่ดุด้วยเรื่องส่วนตัว ถ้าทำซ้ำแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็ต้องมีคุยกันหน่อย ตามปกติก็ไม่ดุอยู่แล้ว

...

Thairath Talk : หลังกล้องพี่ดู๋เป็นผู้ชายธรรมดาที่โลกไม่ทันสังเกตไหม

มีคนเคยบอกผมว่า “เวลาพี่มากองถ่ายพี่ช่วยทำตัวให้ดูเหมือนคนในวงการบันเทิงหน่อย” (หัวเราะ) ผมเคยไปกองถ่าย ทีมงานเขาล้อ เห็นชุดผมขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อก ทีมงานแซวกลับมา เอาของมาส่งไปเข้าทางโน้น (ยิ้ม)

ผมว่าคนอยู่หน้ากล้องหลังกล้องก็คนธรรมดาเหมือนกันทั้งสิ้น ก็มีชีวิตคล้ายๆ กัน ไปเดินท้องถนนก็เหมือนคนอื่น นักแสดง พิธีกร สามารถขึ้นไปเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้ แต่ถ้าคุณเป็นซุปเปอร์สตาร์คือคุณทำสิ่งนี้จนกลายเป็นอีกแบบนึง แต่ผมเป็นนักแสดง พิธีกร ไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์นะ

Thairath Talk : ไม่ใช่ว่าเราถ่อมตัวนะ

ไม่ได้ถ่อมตัวนะ ผมเล่าตามสภาพจริง


ผมไม่ได้ฉลาด
แขกรับเชิญคือครู

Thairath Talk : เวลาที่เราเป็นพิธีกร มันเติมเต็มชีวิตให้กับเราไหม

มันยิ่งกว่าคำว่าเติมเต็มครับ ผมพูดได้เลยว่า 1. ผมไม่ใช่คนซุปเปอร์ฉลาด 2. ผมไม่ใช่คนรู้เรื่องอะไรมาก แต่เมื่อผมได้สัมภาษณ์แขกรับเชิญ ช่วยเพิ่มพูนความรู้ความเข้าให้กับผม ผมคำนวณว่าผมเคยสัมภาษณ์แขกมาทั้งหมดตลอด 20 กว่าปี มีประมาณ 2,000 กว่าคน ผมมีอาจารย์มากถึงขนาดนี้ ผมต้องฉลาดขึ้นบ้างล่ะวะ (ยิ้ม) ซึ่งผมต้องขอบคุณแขกรับเชิญทุกท่านที่กรุณามาออกรายการ

ดังนั้นการสัมภาษณ์มันมากกว่าเติมเต็ม มันคือส่วนประกอบที่ผมมีวันนี้ได้เลยล่ะ

Thairath Talk : มีแขกรับเชิญที่ประทับใจไหมครับ

นี่เป็นคำถามที่ผมไม่ชอบที่สุดเลย เพราะทุกอย่างในโลกมันมีดี หาให้เจอยังไงมันก็ต้องมี แขกทุกคนมีดี บางทีมันลำบากกว่าคนนี้ดีกว่าคนนี้

Thairath Talk : ส่วนตัวผมชอบตอนที่พี่ดู๋ไปสัมภาษณ์พี่เบิร์ด ธงไชย มันตลกมาก คุณกล้าเล่นกับพี่เบิร์ดหลายๆ อย่างมาก

แต่ก่อนมันเป็นเรื่องแปลก ตอนนั้นพี่เบิร์ดเป็นเหมือนของหายาก เราจะไปพูดอะไรกับเขายังไงเนี่ย แต่ด้วยความที่ผมเคยเล่นมิวสิกวิดีโอให้พี่เบิร์ดมา 2 เพลง สำหรับผมมีวิธีการคือ หลังจอเราคุยกันปกติ แปลว่าหน้าจอ เราก็คุยแบบนี้ได้ใช่ไหม ผมเลยพยายามทำให้กันเองเหมือนคุยกันปกติ

จริงๆ พี่เบิร์ดเป็นคนที่ Nice มากชอบแกล้งคนโน้นคนนี้ ซึ่งนอกจอเนี่ยมันเป็นเรื่องที่ผมประทับใจมาก เราไปถ่ายทำที่โรงแรมแห่งนึง เรายังไม่ได้กินข้าวทั้งกองถ่ายเลย พี่เบิร์ดบอกว่า “พี่สั่งอาหารไว้ให้กิน” แต่ผมเห็นว่าโรงแรมมันแพง อาหารก็คงแพง ผมบอกลูกน้องอย่ากิน เดี๋ยวเราไปกินข้าวกล่อง ซึ่งพี่เบิร์ดไปตักอาหารใส่จานเอามาให้แม่บ้านกอง กล้องไม่ได้ถ่ายนะ แต่มันประทับใจเรามาก มิน่า เขาถึงได้เป็นซุปเปอร์สตาร์จนถึงทุกวันนี้

...


ถูกไล่หรือเลิก
ตาสว่าง - ที่นี่หมอชิต

Thairath Talk : ผมเคยดูรายการตาสว่าง ทำไมเลิกล่ะ รายการนี้ดีมาก

เอาจริงไหม คือช่องถอน เขาจะเอาช่วงเวลาไปให้คนอื่น มันเป็นไปตามธุรกิจ เขาอยากได้เวลา เขาอยากได้เวลา เขาอยากให้เราออก เราก็ต้องออก

Thairath Talk : รายการนี้เป็นตัวตนของพี่ดู๋ไหมครับ

ทุกรายการเป็นผมหมด ผมใส่ตัวตนจริงเข้าไปในทุกรายการ

Thairath Talk : รายการสัญญามหาชนและรายการที่นี่...หมอชิต มีอายุ 19 ปี วันที่ต้องยกเลิก เกิดเหตุการณ์อะไรครับ

เลิกเองครับ ธุรกิจไม่เอื้อ

...

Thairath Talk : เลิกแบบไม่ร่ำลาผู้ชมเลย คนดูตกใจนะ

ผมคิดว่ารายการ เราเป็นแค่รายการนึงที่อยู่ในพันกว่ารายการ เราไม่ได้เลิกไปอยู่ดาวดวงอื่น ยังอยู่ในธุรกิจนี้ ไม่ต้องงอแง ฟูมฟาย เพราะโลกมันเปลี่ยน เราก็ต้องหาหนทางอื่นต่อไปที่คุณทำได้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น ผมไม่เศร้า ไม่ทุกข์ ไม่ต้องการผู้ชมดราม่า ผมก็แค่หายไป สิ่งที่ผมเสียใจคือ ลูกน้องผม

บาดแผลในใจ
พิธีกร

Thairath Talk : บาดแผลตั้งแต่ทำรายการสัมภาษณ์มา ที่อรู้สึกว่าผิดพลาด อยากไปแก้ไข

มีอยู่แล้วล่ะ คนเราไม่ได้ดีตลอด ส่วนมากมันเกิดจากความรู้ของเราจริงๆ ยกตัวอย่าง เราเอาหมูมาแสดงโชว์สามารถวิ่งกระโดดลอดห่วงไฟได้ ผมก็ระวังมากนะ ลองให้หมูวิ่งกับห้องส่ง ให้คนลองปรบมือ ซ้อมหมดทุกอย่างหมูโดดดีมากเพอร์เฟกต์ เสร็จเอาหมูไปเก็บตัวในห้องแอร์อย่างดี รอเวลารายการเริ่มซึ่งเป็นรายการสดตอน 21.00 น.

หมูหลับสบายตั้งแต่บ่ายถึง 3 ทุ่ม กำลังหลับสนิท ถึงคิวเจ้าของเอาหมูออกมา ทีนี้หมูเพิ่งตื่น วิ่งมั่วไปหมด ไม่มีตัวไหนกระโดดข้ามห่วงไฟเลย เฉี่ยวห่วงไฟจนไฟไหม้หูหมู ควันขึ้นเลย ผมตะโกนเลย “เห้ย ดับไฟหูหมู” ในรายการ

...

Thairath Talk : แล้วเรื่องที่สะเทือนใจมีไหมครับ

มีนักแสดงสุภาพสตรีท่านนึง เราคุยกันก่อนออกรายการถึงการศึกษาในอดีต แล้วผมก็ไปพูดเหมือนกระทบใจเขา แล้วน้องเขาเสียใจ เหมือนไปคิดไม่ตรงกับเขา เล่าด้วยเจตนาอะไรหรือเปล่า เขาก็ร้องไห้ ผมก็เสียใจนะถึงทุกวันนี้

Thairath Talk : ได้ขอโทษเขาไหม

ขอโทษ ซึ่งเขาก็หาย แต่เราก็ยังไม่สบายใจอยู่ มันเป็นบทเรียนที่เราหลีกเลี่ยงได้ก็จงหลีกเลี่ยงเถอะ

เงินทอง ชื่อเสียง
สำคัญไหม

Thairath Talk : ชื่อเสียงเงินทองยังจำเป็นสำหรับสัญญา คุณากร ไหมครับ

ไม่มากครับ ผมไม่ได้มีชื่อเสียงมากนะ ขี่จักรยานใส่แมสก์ไปซ่อม คนก็รู้จักเรานะ แต่ไม่กรี๊ดกร๊าด คือชื่อเสียงเป็นประโยชน์ เพราะเขารู้จักเรา แต่เราก็ต้องทำตัวให้มันดีเป็นการรักษาชื่อเสียง

ส่วนเงินทอง ถ้าสามารถใช้ชีวิตได้แล้ว ก็ถือว่ารวยแล้ว นั่นคือเรามีพอใช้แล้วแปลว่าเรารวยแล้ว แต่ถ้าเราตะกายจะเอาอีก ถึงมีหมื่นล้านคุณก็ไม่พอใจหรอก จะเอาทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ซึ่งผมไม่ได้อยากได้ของใคร ผมมีพอแล้ว

Thairath Talk : คำว่ามีพอแล้ว พี่ดู๋รู้สึกมานานยังครับ

นานแล้ว ชีวิตมันโอเคแล้ว ผมเองก็ไม่ได้อยากกินข้าววันละ 8 มื้อ ก็กินได้แค่วันละ 2-3 มื้อ คุณจะนอนเตียงเป็นเอเคอร์ทำไมในเมื่อตัวคุณมีแค่นี้ จะกลิ้งได้สักแค่ไหน

Thairath Talk : ในวัย 56 ปีของพี่ดู๋ สัญญา มีอะไรที่เปลี่ยนไปเมื่อย้อนกลับไปในวัย 50 ปี

เปลี่ยนพอสมควร เพราะตอนอายุ 50 ปี ผมยังเป็นเจ้าของรายการ เป็นผู้ผลิต เป็นคนทำรายการของตัวเอง แล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นมันจะต้องเป็นไปตามแผน ถ้าไม่เป็นไปตามแผนคงจะเป็นทุกข์มาก แต่เมื่อเราเจอ Technology Disrupt เราจะอยู่อย่างยากลำบากขึ้น แม้กระทั่งเชิงธุรกิจโทรทัศน์ ยิ่งพวกบริษัทเล็กๆ ที่ผลิตรายการเดียว ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มจะอยู่ไม่ได้ แล้วผมก็ค้นพบว่าผมไม่เสียใจมาก ไม่เป็นทุกข์มากกับความเปลี่ยนแปลง เพราะผมก็รู้สึกโลกก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรในโลกที่อยู่ตลอดไป ซึ่งถ้าผมอายุน้อยกว่านี้ผมก็คงไม่คิดแบบนั้น ผมก็คงเป็นทุกข์ เสียใจ แต่ผมไม่เป็นมาก ผมเดาว่าด้วยอายุที่มากขึ้น วิธีโลกมองก็จะแตกต่างไปจากเดิม

วิถีชีวิตก็จะเปลี่ยนไป ถ้าอยากเป็นเถ้าแก่ก็ต้องทำงานหนัก แล้วก็ต้องหาความสุขจากการทำงานหนักนั้น ชีวิตเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น แต่ผมค้นพบว่าในวันนี้ไม่ต้องทำขนาดนั้น ทำกำลังพอดีแล้วมีชีวิตด้านอื่น มีเวลาสร้างทักษะด้านอื่น ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขดีเหมือนกัน

Thairath Talk : มีอะไรที่เราสูญเสียไปไหมในวัย 56 ปี

คนทุกคนจะสูญเสียอะไรไปสักอย่างเสมอ เช่น สายตายาว หัวหงอก ถ้าเรามองว่าเป็นการสูญเสีย เป็นการมองแบบสร้างความไม่สบายใจ แต่ถ้ามองเป็นการเปลี่ยนแปลง มันคือเรื่องธรรมดา อะไรที่เสียไปแล้ว ยังไงมันก็ไม่กลับมา จงอยู่กับ 56 ปี อย่างเป็นสุข จงหาวันนี้ที่มีความสุขจะดีกว่า

นิยามรัก
เวลามีจำกัด ทุกนาทีสำคัญ

Thairath Talk : ความรักในวัย 56 ปี มันเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนไหม

ไม่นะ มันเลยช่วงระแวงวอแว มันเลยไปนานแล้ว มันอยู่กันแบบมองหน้าก็เข้าใจกันแล้ว มันตกผลึกแล้วเรื่องความเข้าใจกัน ตอนผมอายุน้อยๆ 20 ปี 30 ปี ผมให้ครอบครัวเป็นอันดับสอง งานเป็นอับดับ 1 เช่นว่าถ้าผมมีธุระกับครอบครัววันนั้น แต่มีงานเข้ามา ผมเลือกไปทำงานก่อน แต่ทุกวันนี้ผมไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ซึ่งไม่ผิดทั้งยุคนั้นและยุคนี้ เป็นความเปลี่ยนแปลงของวัยมากกว่า

Thairath Talk : วิธีครองรักของพี่ดู๋

พระพุทธเจ้าสอนว่า คนทุกคนเกิดมาต้องตาย แต่เราใช้ชีวิตเหมือนเป็นอมตะ ทั้งที่จริงๆ คุณเช่ามา เดี๋ยวคุณก็หยุดแล้ว ถ้านำมาปรับใช้กับความรักคือ คุณรักใคร ไม่ว่าพ่อแม่หรือครอบครัว เพราะฉะนั้นเวลาจำกัดที่มีอยู่ อย่าเอาไปใช้ในการทะเลาะกัน หรือสร้างความไม่ดีมาถึงครอบครัว จนทำให้ทุกวินาทีนั้นเกิดประโยชน์สูงสุดสิ


ผมไม่เชื่อเรื่องฟลุก
เกษียณ สัญญา

Thairath Talk : วันนี้มีสัญญาได้ ถือว่าฟลุกไหมครับ

ไม่ฟลุกครับ ผมไม่เชื่อเรื่องฟลุก

Thairath Talk : คิดเรื่องเกษียณไว้บ้างไหมครับ

มีแวบๆ เข้ามา ผมได้ฟังศาสตร์พระราชาของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 เรื่องเกษตรพอเพียง วิถีชีวิตแบบที่มีภูมิคุ้มกัน อยู่รอดในกำลังตัวเองมันเป็นอย่างไร แล้วผมก็รู้สึกอิน ไม่แน่ผมอาจจะไปทำเกษตรแบบนั้นในที่ที่ผมมีอยู่ ในอนาคตโลกจะอยู่ในกำมือของผู้ผลิตอาหาร ไม่ใช่ผู้ผลิตอาวุธ ไม่ใช่ผู้ผลิตเทคโนโลยีอย่างเดียว อาหารจะกลายเป็นสิ่งสำคัญ ประเทศที่ร่ำรวยจากอย่างอื่นแต่ต้องขออาหารจากประเทศอื่น ผมมองว่ามันน่าจะเป็นกลไกที่อยู่ได้ดีแบบยั่งยืน