ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 พ.ค.59 ปิดที่ 1,424.28 จุด เพิ่มขึ้น 0.16 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 67,210.28 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,607.89 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน โดยเฉพาะความชัดเจนกรอบเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 32% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกลางเดือน มิ.ย. และมีโอกาส 52% ที่จะปรับขึ้นในการประชุมปลายเดือน ก.ค.นี้
บล.ทิสโก้มองว่า ความกังวลที่ว่าหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้น เชื่อว่าจากสภาพคล่องของเงินทุนที่ล้นโลก และเงินที่ลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากจะไหลเข้ามาตลาดหุ้นมากขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติที่ขายหุ้นไทยออกไปแล้วกว่า 2-3 แสนล้านบาท
และอาจจะเห็นกระแสเงินทุนไหลกลับเข้ามาลงทุนรอบใหม่ หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างสมเหตุสมผลกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญหนุนเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
สำหรับทิศทางตลาดระยะสั้น คาดหุ้นไทยแกว่งกรอบแคบ รอความชัดเจนกรอบเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟด ส่วนราคาน้ำมันโลกที่ใกล้ระดับ 50 เหรียญ/บาร์เรล มองว่า upside เริ่มจำกัดมากแล้ว
แนะกลยุทธ์การลงทุน มองดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวลง ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่เป็นเป้าหมายของต่างชาติ เลือกหุ้น ADVANC-DTAC-KBANK-CK เด่น และหุ้นที่ราคายังไม่ได้ปรับขึ้นมาก อย่าง AOT-TASCO ด้านเทคนิคให้แนวรับ 1,420-1,415 จุด ส่วนแนวต้าน 1,430-1,435 จุด
ด้าน บล.โกลเบล็กมองทิศทางตลาดมีโอกาสขึ้นแตะระดับ 1,435-1,440 จุด แม้นักลงทุนมีความกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ตลาดได้ปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัว ใกล้ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าสนับสนุนการส่งออก
หุ้นแนะนำลงทุน ได้แก่ รับเหมาฯ เชียร์ CK คาดว่าไตรมาส 2 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด เนื่องจากเริ่มรับรู้งานส่วนเพิ่มของไซยะบุรีและได้ เงินปันผลจาก TTW ราว 230 ล้านบาทช่วยหนุนผลประกอบการ
ตามด้วยหุ้น IVL ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาฝ้ายเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนรวมทั้งกลุ่มพลังงาน!!
อินเด็กซ์ 51