ประเทศไทยมีวิกฤติติดอยู่ในหลุมดำ”

ถือเป็นโจทย์ใหญ่และยาก แต่ยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง ถึงวิธีพลิกความคิดออกจากกับดักวิกฤติดังกล่าว

โดยส่งสัญญาณไปถึง คสช. รัฐบาล รัฐ ทุนและประชาชน ให้เห็นถึงปัญหารากเหง้าของประเทศและเสนอวิธีแก้ไขพร้อมสรรพ

เริ่มจากเกริ่นถึงจุดเด่นของประเทศว่า เคยมีนักวิชาการชาวญี่ปุ่นเขียนบทความว่าประเทศไทยร่ำรวย มีทรัพยากรสมบูรณ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ มีศาสนา สังคม วัฒนธรรมที่ดี ควรเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก เพราะมีทุกอย่างเหนือกว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์

แต่เรากลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะติดวิกฤตการณ์ที่อยู่ในหลุมดำ ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติการเมือง วิกฤติสังคม วิกฤติสิ่งแวดล้อม วิกฤติศีลธรรม และวิกฤติคุณภาพคน ทุกวิกฤติเชื่อมโยงถึงกันและกันหมด

อาทิ วิกฤติเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเราไม่เคยแก้ปัญหาคนจนและความเหลื่อมล้ำได้ เป็นช่องว่างให้เกิดปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความรุนแรง ปัญหาทางการเมืองและปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา

ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เฉกเช่นเดียวกัน แม้เรามีความอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่สามารถจัดการใช้อย่างเป็นธรรม จนกลายเป็นเรื่องใหญ่นำไปสู่การแย่งทรัพยากร คนจนไร้เรี่ยวแรงจะไปแย่งกับใคร

เอาแค่เฉพาะปัญหาเหมืองทองคำ คนจนต้องไปต่อสู้กับอำนาจรัฐ อำนาจทุนมโหฬาร จะต่อสู้ได้อย่างไร ก็นำไปสู่ความรุนแรงได้

วิกฤติคุณภาพคนเกิดจากระบบการศึกษาที่มีมากว่า 100 ปี ซึ่งเอาคนทั้งประเทศไปนั่งท่องหนังสือ ท่องแล้วลืม ท่องแล้วสูญเปล่าเยอะ ทำงานไม่เป็นสร้างความอ่อนแอให้ประเทศ คนไทยค่อยๆถูกตัดขาดจากรากเหง้าและภูมิปัญญาท้องถิ่น

โดยเฉพาะการนำคนจากชุมชนท้องถิ่น ส่วนใหญ่เป็นลูกชาวนาไปท่องหนังสือ กลับมาทำนาไม่เป็นจนชุมชนท้องถิ่นอ่อนแอ

...

สภาพปัญหาที่มันยากขนาดนี้ จะหวังให้อัศวินขี่ม้าขาวมาแก้ก็ยากเกินไป ไม่มีคนใดคนหนึ่งเข้ามาแก้ได้ ไม่มีรัฐบาลใดจะแก้ได้

ลองมาหลากหลายรัฐบาลแล้วตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง

มีช่องทางเดียวเท่านั้น โดยคนไทยทุกฝ่ายต้องรวมตัวกันแก้ เพื่อออกจากวิกฤติหลุมดำของสังคมไทย เป็นที่มาของแนวคิดประชารัฐ

เรื่องนี้รัฐกลับไม่เข้าใจบทบาทของประชาชนในการพัฒนา คิดว่ามีเฉพาะรัฐเท่านั้น ถ้ายอมรับประชารัฐ เป็นรัฐของประชาชน ยอมรับบทบาทของภาคประชาชน แต่ไม่เกี่ยวกับประชานิยม ซึ่งมีความหมายคนละเรื่องกันเลย

ขณะเดียวกันชนชั้นนำ 5 กลุ่มของประเทศก็ยังไม่เข้าใจกระบวนทัศน์ใหม่ดังกล่าว ทั้ง นักการเมือง นักวิชาการ ข้าราชการ นักธุรกิจและสื่อมวลชน ถ้าคนเหล่านี้เข้าใจ ใช้เวลาแค่ 5 ปี

ก็เห็นหน้าเห็นหลังแล้ว

มาถึงวันนี้ทุกฝ่ายน่าจะพลิกความคิดวิธีการพัฒนาบ้านเมือง ช่วยกันทำให้ประเทศไทยเดินออกจากวิกฤติหลุมดำ แต่ตราบใดที่ยังมีวิธีคิดสร้างพระเจดีย์จากยอด ย่อมสร้างไม่สำเร็จหรือออกจากวิกฤติหลุมดำไม่ได้

ทั้งด้านเศรษฐกิจของไทยซึ่งเป็นระบบฐานทรัพยากร ไม่เหมือนเศรษฐกิจของยุโรปเป็นระบบฐานแย่งชิงคนอื่น เพื่อความสะดวกของเขาเพราะไร้ทรัพยากร

พอมีคนจบจากต่างประเทศกลับมามีตำแหน่งสำคัญ ก็ไปเอาภูมิปัญญาแบบอาณานิคมที่ทำกับประเทศเมืองขึ้นมาใช้กับประเทศไทย เช่น สนับสนุนให้ปลูกพืชเชิงเดียว

นักเศรษฐศาสตร์ก็บอกให้ทำเศรษฐกิจจากข้างบน หวังพึ่งการส่งออก จะได้กระเด็นลงข้างล่าง สุดท้ายมีปัญหาตามมาเพราะเราควบคุมราคาไม่ได้

เมื่อราคาตกต่ำ ทุกรัฐบาลต่างประสบปัญหาสมัชชาคนจนยกขบวนมาเรียกร้องความช่วยเหลือ กลายเป็นความขัดแย้ง ยังไม่รู้จักเข็ดกันอีกหรือด้านการเมืองก็สร้างแต่การเมืองระดับชาติ จนทุกวันนี้จะฆ่ากันตาย เพราะไม่มีฐานรองรับ ไม่เหมือนประเทศสหรัฐอเมริกาที่ยึดฐานท้องถิ่นเป็นตัวตั้งรวมตัวเป็นประเทศ

จุดนี้สำคัญมาก หากพลิกความคิดเปลี่ยนกระบวนการพัฒนาประเทศใหม่ เพื่อสร้างฐานพระเจดีย์หรือฐานของประเทศให้แข็งแรง รับรองใช้เวลาไม่นานประเทศจะเข้มแข็งขึ้น

สำหรับเสาหลักสำคัญที่จะทำฐานรากของประเทศเข้มแข็ง เริ่มจากด้านเศรษฐกิจฐานราก โดยทำให้คนข้างล่างมีสัมมาอาชีพเต็มพื้นที่ พร้อมโยงเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจมหภาคเข้าด้วยกัน

สัมมาอาชีพ ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม มีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ เป็นการกระจายรายได้ไปสู่ทุกๆคน ความร่มเย็นเป็นสุขจะตามมา

ขณะนี้มีในหลายพื้นที่ที่ทำสำเร็จ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ใน จ.ตราด มีเงินรวมในกองทุน 1,300 ล้านบาท ใช้ไม่หมด ต่อไปจะขยายให้ครบ 8,000 ตำบล 80,000 หมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านหายจนหมดจะมีอำนาจซื้อเยอะ เศรษฐกิจข้างบนจะดีตาม

ถ้าจะนำไปขายต่างประเทศก็ทำได้ เวลาราคาสินค้าผันแปรเราก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเศรษฐกิจเดิน 2 ขา ทั้งในและนอกประเทศ

อย่าไปพึ่งพาเฉพาะการส่งออกอย่างเดียว

ยังไม่รวมถึงการเดินหน้าโครงการปลุกพลังเปลี่ยนไทยร้อยโครงการเปลี่ยนประเทศ ซึ่งจะทำอะไรที่ดีเพื่อเปลี่ยนประเทศไทย

เช่น มีมหาวิทยาลัยหอการค้าสอนคนที่มีที่ 1 ไร่ ทำอย่างไรให้มีรายได้ 1 แสนบาทต่อปีและจะเพิ่มเป็น 2 แสนบาทต่อปี ตรงนี้จะผลักดัน ให้รัฐบาลทำให้ประชาชนมีที่ทำกินมากที่สุด ครอบครัวละ 2-3 ไร่

ดังนั้นหากภาครัฐ ภาคประชาชนและภาคธุรกิจร่วมมือกัน มีเป้าหมายสัมมาชีพเต็มพื้นที่ มีวิสาหกิจชุมชน

โดยภาครัฐเสริมด้านนโยบาย ภาคธุรกิจเสริมด้านการจัดการ

ภาคประชาชนเป็นผู้ลงมือทำ แต่จะให้ภาคใดภาคหนึ่งทำย่อมไม่สำเร็จ เป็นที่มาของประชารัฐซึ่งจะร่วมมือกันสามเส้าไม่ใช่การไปแจกเงิน

ไม่ใช่เป็นไปตามอย่างที่บางฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า การออกมาของภาคประชาสังคม ไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้อยู่นานๆไม่เกี่ยวกัน

ภาคประชาชนทำมานานแล้ว “ไม่ใช่กระบวนการประยุทธ์” แต่เป็น “กระบวนการประชาชน” ซึ่งออกมาให้รัฐบาลสนับสนุนกระบวนการประชาชน

เราไม่ได้เล่นการเมือง แต่อยากเห็นความร่วมมือกันระหว่างคนไทยทุกฝ่าย

แต่ท่ามกลางความขัดแย้งในสังคม อาจจะไม่เกิดความร่วมมือของทุกฝ่าย คนที่ไม่ชอบรัฐบาลคงไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดสำคัญอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมีผู้นำชุมชนท้องถิ่นนับแสนคนขับเคลื่อนกันอยู่

ขณะนี้มีเวทีผู้นำท้องถิ่นที่ประชุมกันเป็นประจำทุกเดือน เพื่อขับเคลื่อนและพยายามดึงฝ่ายนโยบายให้ลงมาสนับสนุน

ฉะนั้น รัฐบาลจะสนับสนุนหรือไม่ แต่ละท้องถิ่นก็ขับเคลื่อนกันอยู่แล้ว รัฐบาลไหนเข้ามาก็ยังทำอยู่เช่นนี้ ความหวังอยู่ที่ผู้นำชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง แต่เมื่อรัฐบาลประกาศเป็นนโยบายจะทำให้ข้างล่างทำง่ายสะดวกขึ้น

ทีมข่าวการเมืองถามว่า เมื่อสามเส้าทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจสนับสนุนภาคประชาชนเดินหน้าประชารัฐ ระยะเวลาแค่ 5 ปีจะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากหลุมดำวิกฤติได้จริงหรือ นพ.ประเวศ บอกว่า สังคมอย่าสนใจเฉพาะการเมืองทะเลาะกัน

เพราะคิดว่าเมื่อการเมืองดี ทุกอย่างจะดีตามมา สังเกตได้จากเมื่อนักการเมืองพูดอะไรก็ล้วนเป็นข่าว

แต่การพัฒนาไม่เป็นข่าว ฉะนั้นสังคมควรหันมาสนใจเรื่องการพัฒนานำการเมืองให้มากขึ้น ถ้าการพัฒนาดีย่อมทำให้การเมืองดี ลองนึกภาพดูถ้าชาวบ้านหายจนหมด เป็นตัวของตัวเอง จะเป็นฐานของประชาธิปไตย ย่อมทำให้การเมืองข้างบนดี

เปรียบเหมือนการเล่นฟุตบอลที่แข่งกันอยู่ทั่วโลกไม่เกิดเรื่องขึ้น เพราะมีกติกา มีผู้ตัดสิน ผู้กำกับเส้น และมีคนดูรอบสนามคอยกำกับอีกที

คนดูฟุตบอลก็เหมือนประชาชน ทำไมไม่พลิกความคิดไปพัฒนาให้ประชาชนเข้มแข็งบ้าง ที่ผ่านมาเราสนใจทำรัฐธรรมนูญ กำหนดกติกาการปกครองประเทศมาตลอด แต่ไม่สามารถป้องกันการโกงได้ แม้สร้างองค์กรอิสระขึ้นมาก็ยังโกงได้

โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ยุคธนกิจการเมือง ทุกอย่างล้มหมด ประชาชนออกมาต่อต้านเกิดรัฐประหารวนเวียนอยู่อย่างนี้

ฉะนั้น วันนี้ถึงเวลาจะต้องทำให้คนดู คือ ประชาชนเข้มแข็ง ถึงวันนั้นใครมีเงินเท่าไหร่ย่อมซื้อไม่ได้

ในที่สุดเมื่อประเทศไทยดีขึ้น การเมืองจะดีขึ้น.

ทีมการเมือง