ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การรวมตัวของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการซะที จะเห็นภาพความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคนี้ ที่มีประชากรถึงกว่า 600 ล้านคน

การรวมตัวของอาเซียน เป็นการเริ่มต้นของการเปิดเวทีการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ ที่ไม่เฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน เท่านั้น แต่จะก้าวไปสู่ อาเซียน+3 ที่จะมี จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เข้าร่วม

จะก้าวไปสู่ อาเซียน+6 ที่จะรวมถึง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินโดนีเซีย ที่มองว่า จะเป็นการร่วมกันบนฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การรวมอาเซียนเป็นหนึ่ง จะทำให้เกิดภาพของ เสรีภาพทางการค้า การลงทุน มีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนอย่างเสรีมากขึ้น การเปิดเสรีทางการเงิน การเคลื่อนย้ายภาคแรงงานอย่างเสรี

ประเทศไทยเรา เปิดกว้างทางด้านการค้าต่างประเทศมาก่อนหน้านี้แล้ว เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม

แต่เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านศักยภาพแล้ว ประเทศไทยได้เปรียบมากกว่าประเทศอื่น ทั้งทำเลที่ตั้ง โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สามารถที่จะเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อประเทศต่างๆในอาเซียนด้วยกัน

ภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนสำคัญที่สุด ในการที่จะเชื่อมโยงกับอาเซียน ภาคเอกชนเตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้ อาทิ เจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพีเอฟ มีนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจ

ภายใต้แนวคิด ร่วมคิด ร่วมสร้าง สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

สะท้อนการขับเคลื่อนให้มีความเติบโตที่มุ่งเน้นเฉพาะ ในการร่วมกันสร้างความมั่นคง มุ่งเน้นประสิทธิภาพที่เกิดขึ้น สำหรับการเติบโตของประเทศไทยทั้งภาคการค้า การลงทุน

ภาครัฐเตรียมพร้อมไว้แค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมที่จะเติบโต หรือเติมเต็มเพื่อสร้างเสริมศักยภาพ หากไม่มีการเตรียมพร้อมการเข้าสู่ประตูอาเซียน แม้เราจะไม่เสียเปรียบ

...

แต่ความสูญเปล่าจะเกิดขึ้นและประสิทธิภาพจะลดลง

ความสามารถในเชิงการแข่งขัน ประเทศไทยไม่เป็นรองใคร ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร เทคโนโลยี ความรู้ความสามารถ เพียงแต่ว่าจะเอาจริงเอาจังหรือไม่เท่านั้น

การค้าในอาเซียนที่มีมูลค่าการค้าสูงมาก ถูกจับตามากที่สุด นอกจาก สหรัฐฯและยุโรป แล้ว อาเซียนกำลังจะเป็นแหล่งอาหาร แหล่งการค้าการลงทุน แหล่งอุตสาหกรรมและการผลิต ดาวรุ่งมาแรง

ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ได้มากที่สุดแค่ไหนเท่านั้น.

หมัดเหล็ก
mudlek@hotmail.com