รถขายกาแฟรูปทรงสะดุดตาคันนั้น จอดอยู่หน้าเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม สภาพรถไฮเทค มีทีวีพร้อมเครื่องคาราโอเกะ มีเสียงเพลงลูกทุ่งคุ้นหูล่องลอยมา
สิ้นแสงดาวดุเหว่าเร่าร้อง จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง พี่จำจากน้องคนงาม แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัยสมุทรสงคราม คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
เด็กๆรุ่นใหม่คงไม่รู้ นี่คือ เพลงลาสาวแม่กลอง ต้นฉบับดั้งเดิม ร้องโดย พนม นพพร
ชายวัยกลางคน กางเตียงนอนเล่นข้างรถ เขาชื่อ เลิศ วงษ์สาโรจน์ มีคนไม่มาก ที่รู้ว่าเขาเป็นคนแต่งเพลงนี้
เลิศเกิดที่แม่กลอง เป็นพี่คนโต มีพี่น้อง 9 คน เรียนจบชั้น ป.6 ตั้งแต่ 9 ขวบ ก็ช่วยแม่ขายขนมบัวลอย พายเรือขายขนมจากหน้าวัด เพชรสมุทรฯ (วัดบ้านแหลม) ไปจนถึงปากอ่าว สี่ห้าทุ่ม ถึงกลับบ้าน
โตขึ้นมาหน่อยก็ขับเรือเมล์ วิ่งระหว่างตลาดไปบางจะเกร็งถึงปากอ่าว แล้วมาขับเรือข้ามฟากจากฝั่งตลาดไปฝั่งแสงวนิช ก็ฝั่งตรงข้ามตลาดแม่กลอง ที่มองเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ละครทีวีหลายเรื่องเช่าถ่ายทำกันหลังนั้นแหละ
อายุ 15–16 ปี ก็ออกทะเลที่สมุทรสาคร ทำตั้งแต่เรือโป๊ะ อวนซั้ง อวนดำ อวนติด ตังเก อวนลากมาสุดท้าย 10 ปีทำมาหมด ไปมาหมด ประจวบฯถึงสงขลา
...
จากนั้นไปเกณฑ์ทหารอยู่เกร็ดแก้ว อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ฝึกอยู่ที่นั่น 2 เดือน เขาคัดให้ลงเรือไปอยู่กองเรือกวาดทุ่นระเบิด ชื่อบางแก้วตอนเป็นพลทหารเรือเกณฑ์ นี่เอง...ที่เกิดเพลง ลาสาวแม่กลอง
“วันนั้น 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509” เลิศจำได้แม่นยำ “คิดถึงแฟนที่อยู่นาโคก สมุทรสาคร”
นี่เป็นแฟนคนแรก เจอกันตอนเลิศไปติดโปสเตอร์หนังที่นาโคก
ก็รักชอบกันเรื่อยมา ตอนนั้นมีพื้นฐานเป็นคนร้องเพลง ร้องเองแต่งเองอยู่บ้าง ก็คิดเพลงแต่งให้เขา
ไปดูหนังด้วยกัน นั่งห่างกันเก้าอี้กั้นตัว รักเขา ไม่กล้าถูกตัวเขา
“แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กัน ญาติๆเขาย่องหา” เลิศว่า “เลยเลิก ไม่ได้ เจอกันอีกเลย”
เนื้อเพลงลาสาวแม่กลอง ใช้เวลาเขียน 2 วัน ทำนองก็ใส่เอง ปัญหาของเลิศตอนนั้น
“เราเขียนโน้ตไม่เป็น ร้องให้เขาฟังว่าร้องแบบนี้นะ เขาก็เขียนโน้ตให้ เขาชื่อเกษม สุวรรณเมนะ เป็นเพื่อนอยู่ที่มหาชัย เขาชอบก็ขายให้เขาไป ได้มา 500 บาท”
ตอนเป็นทหารเกณฑ์ ตอนฝึกก่อนจะนอน โดนสั่งให้ร้องเพลง จ่ารู้ว่าเป็นนักร้อง ให้ร้องปากเปล่าหน้าแถวก่อนเข้านอนทุกคืน ผ่านช่วงฝึกวิชาทหาร ได้มีโอกาสเข้าร้องเพลงกับวงดนตรีดุริยางค์ทหารเรือ บางกอกน้อย
สมัยนั้นสถานีวิทยุ พชส.7 อยู่ใต้สะพานพุทธ มีรายการเพลงก็ไปร้อง มีงานถึงจะไปกัน คืนนึงร้อง 2 เพลง ได้ 50 บาท ตอนร้องเพลงใช้ชื่อ เลิศ รณชัย
มาถึงวันนี้ อายุใกล้ 70 ปีเข้าไปแล้ว เลิกร้องมา 30 ปีแล้วมีเหตุที่ทำให้ไม่ร้อง
“ใส่ฟันปลอม ร้องไม่ชัด” เลิศว่า
จบเรื่องความรักความหลัง ที่เป็นแรงดลใจให้เกิดเพลง ลาสาวแม่กลอง พ้นการเป็นทหารเกณฑ์ จึงเกิดความรักครั้งที่สอง
ตอนพบรักกับแฟนคนนี้ เป็นโฆษกอยู่โรงหนังธรรมรัตน ราชบุรี เขาอยู่ร้านตัดเสื้อข้างๆโรงหนัง เขามาชอบเราเอง เพราะว่าเขาบอกว่าหน้า เราไปคล้ายแฟนเก่าเขา เจอสักพักนึง เรามาทำงานกรุงเทพฯ อยู่โรงหนังเฉลิมเกียรติ วงเวียนใหญ่ ได้ปีกว่า ติดต่อคุยกันทางโทรศัพท์
วันหนึ่งเรามาร้องเพลงที่ราชบุรี พอร้องเสร็จแวะไปหาเขา เขามาส่งที่รถเมล์ ออกปากชวน “ไปเที่ยวกรุงเทพฯกันไหม” เขาไม่พูดสักคำ กระโดดขึ้นรถเลย ไปกรุงเทพฯ ไปนอนบ้านน้า ตอนแรกให้นอนกับหลาน เขาไม่นอนมานอนกับเรา พอรุ่งเช้า พาเขากลับมาส่งบ้าน ญาติผู้ใหญ่เขาเป็นชาวนครพนม...ไม่ยอม ต้องทำพิธีไหว้ผี เรื่องของความรักนี่ บทจะยากก็ลงตัวยาก แต่เมื่อถึงเวลาฟ้าอุ้มสม ก็ลงตัวง่าย
รักนี้เป็นรักแท้ อยู่กับเขามาตลอด เราไม่ใช่คนเที่ยว รักเขาคนเดียว จนกระทั่งมีลูก 2 คน
ชีวิตรักสมหวัง ก็มีเรื่องเศร้าสลับฉาก ปี 2542 แฟนขี่รถ จยย.ชนคอสะพาน รถล้มหัวฟาดตอนตี 1 คนมาเจอตี 3 ป่วยอยู่ 6 เดือนกว่า หมดไป 2 แสนกว่า ก็ตาย ตั้งแต่เขาตาย ไม่ได้ยุ่งกับใคร อยู่ของเราคนเดียว
ความจริงตามประสาพ่อม่ายเมียตาย มีสาวแย้มๆเข้ามาให้ลุ้นบ้างอยู่เหมือนกัน แต่เหตุที่ไม่มีเมียใหม่ “หลานไม่ยอมให้มี...ยายใหม่” เลิศว่า “หมอที่เราขับรถยังเชียร์ให้เลย แต่หลานไม่เอา เราก็รักหลาน”
สมัยทำงานราชบุรี เวลาโรงพยาบาลมีงานก็ต้องร้อง ลาสาวแม่กลองนี่ เป็นเพลงประจำตัว ขาดไม่ได้ แต่ปัญหา ชื่อคนแต่งเพลง ลาสาวแม่กลอง ที่บันทึกเป็นทางการ เป็นชื่อของเพื่อน เกษม สุวรรณเมนะ คนส่วนใหญ่ก็รู้กันยังงั้น มาเป็นปัญหาถามกันอีกที เรื่องมาดังอีกที ตอนนักข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสดมาสัมภาษณ์
รายการทีวี สู้แล้วรวย ช่องไอทีวี มาสัมภาษณ์ งานหลังนี้ได้ดัง...แถมได้พัดลมมาอีกตัว
คุยถึงชีวิตวันนี้ บ้านที่ราชบุรีขายไปแล้ว ก็มาอยู่บ้านน้องที่บางคนที ตอนนี้เช่าห้องอยู่เดือนละ 2 พัน
จะอยู่บ้านนั่งๆนอนๆ ก็รำคาญ ตอนนี้ขายกาแฟอย่างเดียว เดือนหนึ่งหยุดสักวัน ขายแก้เหงาไปวันๆ กำไรราวๆ 500-600 บาท ตื่นมาก็เตรียมของ ล้างของ 6 โมงต้มน้ำ ออกจากบ้านเกือบ 2 โมงเช้า ตอนเช้า ทางวัดบางระจันรถเยอะ เพราะมีนักเรียน เลยต้องออกสายหน่อย
ขี่รถถึงหน้าวัดเพชรสมุทรฯ ประมาณ 3 โมงเช้า จอดหน้าธนาคาร ออมสิน ประมาณ 11 โมงกว่า วิ่งมาหน้าเทศบาล บ่าย 2 โมงกว่าๆก็ไปจอดใต้สะพานทางกลับบ้าน แถววัดบางระจัน เอาเตียงผ้าใบไปนอนด้วย ขายไปด้วยแต่นอนไม่หลับ เพราะปวดขา อายุมากเป็นอย่างนี้แหละ ยืนมากปวดมาก ถ้าได้นั่งบ้างก็ค่อยยังชั่ว
นี่คือที่มา ทำไมรถขายกาแฟจึงต้องมีเตียงผูกข้างรถ
ลองถาม รถขายกาแฟคันนี้ทำไมไฮเทคนัก เลิศบอกว่า มันราคา 6 หมื่น ไม่มีใครเขาทำ เพราะมีเพลงฟัง มีหนังให้ดู ร้องคาราโอเกะก็ได้
อายุปูนนี้แล้ว ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว “เหงาเหมือนกัน ลูกก็มาหาบ้าง โทรศัพท์มาคุยบ้าง เดือนสองเดือนก็มาหา” บางวันก็ไปหาลูกบ้าง แต่ไปไม่นาน ค้างคืนสองคืน ไม่อยากไปไหนไกลบ้าน มันเบื่อ
ครอบครัวลูกสาวอยู่บางพลี ลูกชายอยู่โตโยต้าบ้านโป่ง
บางคนว่า สมัยหนุ่มๆร้องเพลง สงสัยมีแฟนเยอะ แฟนน่ะเยอะ แต่ว่าเราไม่ได้ไปทำอะไรเขา หรือไปได้เขา เราเป็นคนคิดมาก อีก อย่างเราก็รักแฟนของเรา เขาเสียไป 16 ปี เรามีเขาคนเดียว
“คิดถึงก็ดูรูป ติดไว้ที่รถขายกาแฟ ใครมาซื้อกาแฟ อยากดู ก็ชี้ให้ดู”
เงินจากเกษียณให้หลานเป็นค่าเล่าเรียน ขึ้นวิทยาลัย เดือนหน้าโรงเรียนเปิด คนโต 20 ปีแล้ว มาถึงก็กระโดดกอดตา วันนั้นไปหาเขาที่จันทบุรี ยืนที่รถทัวร์ พอจะขึ้นรถ มันกระโดดกอด คนมองใหญ่
เลิศบอกทิ้งท้าย จะขายกาแฟต่อไป ขายไม่ไหวเมื่อไหร่ ค่อยไปอยู่กับลูก
ตลอดชีวิตเลิศเคยร้อน เพราะความรักผิดหวัง เคยอุ่นเพราะไอความรักสมหวัง จนถึงวัยและวันที่ผ่านเลย ยาวนานมาจนถึงวันนี้
ดูเหมือน เลิศ วงษ์สาโรจน์ ยังไม่เคยขาดความรักจากหัวใจ... เขาไม่ใช่คนแก่ไร้ญาติขาดลูกหลาน และเปลี่ยวเหงา อย่างที่ใครต่อใครคาดคะเนเอาด้วยสายตาเลย.