ประมาณกลางเดือนกรกฎาคมปี 2556 หรือ 2013 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่จากต่างประเทศที่ทำให้คนไทยเรายิ้มหน้าบานไปตามๆกันอยู่ข่าวหนึ่ง ได้แก่ข่าวที่ว่า “กรุงเทพมหานคร” เป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่มีผู้คนทั่วโลกเดินทางมาเยือนมากที่สุด
จากข้อมูล Master Card Global Destination Cities Index 2013 ที่เผยแพร่ในช่วงเวลาดังกล่าว พบว่า กรุงเทพมหานครคว้าแชมป์ไปครอง โดยเฉือนเอาชนะเมืองดังระดับโลกอย่างลอนดอนของอังกฤษ ปารีสของฝรั่งเศส และนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา ไปอย่างสบายๆ
แม้ว่าในความรู้สึกของเราซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ จะรู้สึกเบื่อๆกรุงเทพฯหลายอย่าง โดยเฉพาะเวลารถติดจะรู้สึกเบื่อมากๆ จนอยากจะหนีไปอยู่เสียที่อื่นๆ แต่เมื่อผลสำรวจออกมาว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเขากลับเห็นตรงข้าม คือเห็นว่ากรุงเทพฯของเราเป็นเมืองที่น่าเที่ยว
คนไทยก็อดที่จะภูมิใจเสียมิได้...รวมทั้งสื่อมวลชนไทยด้วย ถึงขนาดหยิบมาเป็นข่าวพาดหัวรองๆในหน้า 1 อยู่หลายวัน
มาถึงเดือนกรกฎาคมปีนี้ ไม่ใช่แล้วซีครับ บริษัท Master Card แถลงตัวเลขเมื่อ 2-3 วันนี่เองว่า ลอนดอนสามารถแซงกรุงเทพฯขึ้นมาเป็นอันดับ 1 เรียบร้อยโรงเรียนอังกฤษไปซะแล้ว
ในถ้อยแถลงดังกล่าวระบุว่า ลอนดอนจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปีนี้ 18.7 ล้านคน ในขณะที่กรุงเทพฯ จะมี 16.4 ล้านคน
ปารีสเป็นอันดับ 3 โดยมีสิงคโปร์ไล่ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 และดูไบ อยู่อันดับ 5
มาสเตอร์การ์ดระบุไว้ชัดเจนว่า สาเหตุที่กรุงเทพฯเสียแชมป์ให้แก่ลอนดอนเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 6 เดือน จนกระทั่งต้องมีการปฏิวัติรัฐประหาร
ความวุ่นวายดังกล่าวมีผลทำให้จำนวนผู้มาเยือนกรุงเทพฯลดลงไปจากปีก่อนนี้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์ จนต้องสูญเสียแชมป์ให้แก่ลอนดอนในที่สุด
...
แม้ตัวเลขที่ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดหมายเอาไว้แล้ว เพราะไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะค่อนข้างเหงาผิดปกติ
แต่เมื่อตัวเลขออกมาจริงๆ และพบว่าเราต้องเสียตำแหน่งแชมป์ไปจริงๆ ก็อดที่จะใจหายเสียมิได้
มาถึงจุดนี้ ความวุ่นวายจบลงไปแล้ว แม้จะไม่ใช่สิ่งที่คนรักประชาธิปไตยอยากเห็น แต่เมื่อการจบแบบนี้ทำให้บ้านเมืองสงบ และอยู่ในภาวะที่จะเดินหน้าต่อไปได้...ก็ถือว่าเป็นโชคดีของคนไทย
เพราะถ้าไม่จบแบบนี้ กลายเป็นจบแบบปะทะกันวุ่นวาย หลั่งเลือดชะโลมดินอย่างที่เคยเป็นห่วง...ความเสียหายจะเยอะกว่านี้แน่นอน
ทุกวันนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าผลเสียหายข้างเคียงยังมีอยู่ และเป็นต้นทุนที่เราจะต้องจ่ายสำหรับการที่เราจำเป็นต้องใช้ระบอบการปกครองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย อันเป็นแนวทางที่โลกตะวันตกเขาไม่เห็นด้วย
แต่ถ้าเราเดินไปตามโรดแม็ปที่ คสช.แถลงไว้ และกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยตามกำหนดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะขณะนี้ต่างประเทศก็เริ่มเข้าใจเรามากขึ้นกว่าเดิมเยอะ
สิ่งที่เราจะต้องดำเนินการในช่วงต่อไปนี้ก็คือ ทำอย่างไรจะใช้ประโยชน์จากการที่ต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป อันเนื่องมาจากผลกระทบของการปฏิวัติรัฐประหารให้ได้มากที่สุด
ทุกๆฝ่ายที่จะมาร่วมในการออกแบบประเทศใหม่ที่เรียกว่าปฏิรูปประเทศ จะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และสร้างกรอบเอาไว้ให้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อให้การกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในไม่ช้าของเราเป็นการกลับอย่างราบรื่น และสามารถยืนยงต่อไปได้อย่างถาวร
ตลอดเวลาที่ผ่านมาในอดีต เศรษฐกิจของประเทศไทยจะสามารถฟื้นตัวกลับได้อย่างรวดเร็วเสมอ หลายครั้งที่มีอาการซวดเซ แต่เมื่อตั้งหลักได้จะพลิกกลับมาดีวันดีคืนทันที
ยิ่งทางด้านการท่องเที่ยวด้วยแล้ว จะพบว่าฟื้นตัวได้เร็วที่สุด จนสามารถที่จะนำมาใช้เป็นทัพหน้าในการกอบกู้เศรษฐกิจได้ในทุกครั้ง
ผมยังเชื่อว่า ถ้าเราทำไปตามขั้นตอนต่างๆตามโรดแม็ปโดยไม่สะดุด (ซึ่งก็ไม่ควรจะสะดุด) ละก็ ตำแหน่งแชมป์การท่องเที่ยว หรือการเป็นเมืองจุดหมายปลายทางที่ใครๆอยากมาเที่ยว จะกลับมาเป็นของกรุงเทพฯ และของประเทศไทยเราได้อีกในเวลาไม่นานเกินรอ
รวมทั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ฝ่อไปพอสมควรในขณะนี้ด้วยครับ จะกลับมาดีเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิมเสียอีกด้วยซ้ำ.
“ซูม”