เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าวันนี้ (21 เมษายน) เมื่อ 232 ปีที่แล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้กระทำพิธียกเสาหลักเมืองเพื่อก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่แทนกรุงธนบุรี

ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าวันนี้เป็นวันสถาปนากรุงเทพฯ หรือกรุงรัตนโกสินทร์ และในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา ทางราชการได้จัดงานเฉลิมฉลอง ให้เป็นประจำ รวมทั้งปีปัจจุบันก็มีงานที่ท้องสนามหลวงดังที่ผมได้เขียนประชาสัมพันธ์เชิญชวนไว้เมื่อ 2 วันก่อน

ผมคงไม่เขียนเชิญชวนซ้ำหรอกครับ เพราะเหลืองานแค่วันเดียวเท่านั้น และเชื่อว่าจากการที่สื่อทุกแขนงช่วยกันเสนอข่าวตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาคงจะเป็นผลทำให้พี่น้องชาวไทยไปเที่ยวงานนี้จำนวนมาก

แต่ที่ผมหยิบยกมาเขียนถึงอีกในวันนี้ก็เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า ในช่วงปลายๆของเดือนเมษายนนั้น มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทยถึง 2 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรกก็คือ เรื่องราวแห่งความสุขความสมหวัง และการเดินไปสู่อนาคตที่สดใส อันได้แก่ เรื่องสร้างบ้านสร้างเมือง สร้างพระมหานครแห่งใหม่ที่เรากำลังเฉลิมฉลองกันอยู่ในวันนี้

แต่อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเศร้า เรื่องสลดหดหู่ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว และเป็นบาดแผลแห่งความทรงจำบาดแผลหนึ่งของพวกเราชาวไทย

เป็นเรื่องของการ “เสียกรุง” หรือ “กรุงแตก” ไงล่ะครับ...คงจะจำกันได้นะครับว่า กรุงศรีอยุธยาราชธานีเก่าแก่ของเราได้เสียให้แก่กองทัพพม่าโดยสิ้นเชิง ในวันที่ 28 เมษายน 2310...อีก 7 วันข้างหน้าจะครบ 247 ปี

28 เมษายน พ.ศ.2310 เป็นวันที่กองทัพพม่าทะลวงเข้ากรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และได้จัดการเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างในกรุงศรีอยุธยาจนแทบจะหมดสิ้น

ดังนั้น หากเราจะไม่พูดถึงจำนวนปี หรือ พ.ศ. ซึ่งห่างกัน 15 ปี แต่หันมาพูดเน้นๆเฉพาะวันที่หรือเดือน เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

...

ก็จะได้ผลสรุปอย่างที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้นว่า เดือนเมษายนเป็นเดือนแห่งความสุข และความเศร้าระคนกัน ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย

21 เมษายน เป็นวันสร้างกรุงใหม่...จึงเป็นวันแห่งความสุขอย่างยิ่ง เพราะกรุงหรือมหานครแห่งใหม่นี้ ได้เจริญเติบโตมาตามสมควร นำความรุ่งเรืองมาสู่พี่น้องชาวไทยและประเทศไทย อย่างที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

บางช่วงบางตอนอาจมีความทุกข์เกิดขึ้นบ้าง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ทั้ง 9 พระองค์ ได้ส่งผลให้มหานครแห่งนี้และประเทศนี้ผ่านพ้นภัยพิบัติมาได้โดยตลอด

หักกลบลบกันแล้ว คนไทยน่าจะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ และประเทศไทยก็เจริญขึ้นมากกว่าถอยหลังหรือเสื่อมทรุดลง

ส่วน 28 เมษายนหรือวันกรุงแตกนั้น ย่อมเป็นวันแห่งความโศกเศร้าและสูญเสียโดยแท้ เป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงยิ่งและเจ็บปวดยิ่ง

ไม่มีชนชาติไหนในโลกหรอกครับที่จะไม่รู้สึกสลดใจ เมื่อมองย้อนหลังกลับไปแล้วพบว่า เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และบ้านเมืองของเราถูกทำลายแทบไม่เหลือซาก

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่วันนี้ 21 เมษายนเป็นวันแห่งความสุข วันแห่งการสร้างบ้านสร้างเมือง ผมจึงใคร่ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยตักตวงความสุขกันให้เต็มที่ ในโอกาสที่วันครบรอบ 232 ปี เวียนมาถึงจะไปฉลองที่ไหนก็ไปเถิด หรือจะไปเที่ยวเตร่แสวงหาความสุขที่ไหนให้สบายอกสบายใจก็เชิญตามสะดวกเถิด

สำหรับวันที่ 28 เมษายน อีก 7 วันข้างหน้า ซึ่งจะเป็นวันกรุงแตก ครบรอบ 247 ปีนั้น แม้จะเป็นวันแห่งความทุกข์ แต่ผมก็อยากจะให้นำความทุกข์มาเป็นบทเรียนเสียมากกว่า

นั่นคือ ทำอย่างไรจึงจะมิให้เกิดความทุกข์ เช่นเดียวกับการเสียกรุงขึ้นอีก ในวันที่ 28 เมษายน 2557 หรือหลังจากนั้นเป็นต้นไป

กรุงศรีอยุธยาแตกเพราะคนไทยไร้สามัคคี เป็นเหตุผลที่ชัดเจนที่สุด จากการจารึกไว้ในเอกสารประวัติศาสตร์ทุกชิ้นที่ค้นพบภายหลัง

และการไร้สามัคคีทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายนี่แหละ ที่จะเป็นเหตุให้กรุงเทพฯแตก เช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่ไม่ถึงขั้นจะต้องเสียกรุงหรือเสียเอกราชให้ใครเท่านั้น

ทำอย่างไรเราจะให้ผู้ที่อยู่ภายใต้อักษรย่อเหล่านี้...ศอ.รส./กปปส./ นปช./กกต./ปชป./พท./...รู้รักสามัคคีกันได้หนอ?

ประเทศไทยของเราจะได้ไม่แตก และกลับสู่ตัวอักษรย่อที่ดีที่สุด “ส.บ.ม.ย.ห.” สบายมากอย่าห่วง...กันเสียที.

 

“ซูม”